ภาคที่ 5 บทที่ 130 กฎแห่งพลัง (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 130 กฎแห่งพลัง (1)

เมื่อซูเฉินเข้าใจเรื่องนี้แล้ว เขาก็รู้ทันทีว่าเขาต้องทำอย่างไร

หลังจากที่พลังอันไร้ขอบเขตปรากฏขึ้น ซูเฉินก็ไม่ได้พยายามควบคุมมันอีกต่อไป กลับกัน เขาปล่อยให้มันค่อย ๆ เพิ่มลดตามที่ต้องการ พลางพยายามรักษาสภาพอารมณ์ของเขาให้สงบและมั่นคงที่สุด

ครั้งนี้พลังลึกลับไม่ได้หายไปเหมือนคราวก่อน

ถึงกระนั้น ซูเฉินก็ยังไม่เข้าใจมันมากนัก แม้ว่าตอนนี้มันจะเปล่งแสงขึ้นมาแล้วก็ตาม

พลังที่ไร้ขอบเขตนี้ไม่ใช่สสารที่มีอยู่ตามธรรมชาติ และไม่สามารถวิเคราะห์องค์ประกอบของมันได้ ไม่ว่าจะด้วยการแยกส่วนหรือจับตาดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ ดังนั้นมันจึงยากที่จะตามหาหลักการทำงานและวิธีใช้งานมัน

อย่างไรก็ตาม ซูเฉินได้พบว่าแม้ว่าเขาจะมองไม่เห็นหลักการทำงานของมัน แต่เขาก็ยังคงสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้

ใช่ เปลี่ยน !

อย่างน้อยที่สุดมันก็มีการเปลี่ยนแปลง

และรากฐานที่กำหนดการเปลี่ยนแปลงนั้นคืออารมณ์ของซูเฉินเอง

ใช่ อารมณ์ของเขา !

ในที่สุดซูเฉินก็พบว่าอารมณ์ของเขามีอิทธิพลต่อพลังลึกลับนี้

เหตุผลก็คือเพราะซูเฉินมีพลังนี้อยู่ในร่างของเขาอยู่แล้ว

พูดง่าย ๆ ก็คือ พลังลึกลับที่ไร้ขอบเขตนี้ในร่างกายของซูเฉินได้รับผลกระทบจากอารมณ์ของเขา และชิ้นส่วนในมือของเขาก็ได้รับผลกระทบจากพลังในร่างกายของเขา

นี่คือสาเหตุที่อารมณ์ของซูเฉินส่งผลต่อเศษชิ้นส่วนตัวอักษร

“ไม่ใช่พลังต้นกำเนิด ไม่ได้สามารถควบคุมด้วยระบบของพลังต้นกำเนิดใด ๆ เลย แต่กลับได้รับผลกระทบจากจิตสำนึก ถ้าเช่นนั้น… ข้าคิดเช่นนี้ได้หรือไม่ ? ความคิดของข้าคือกุญแจสำคัญในการควบคุมพลังประเภทนี้ ?” ซูเฉินพึมพำกับตัวเอง

ไม่ แค่นี้ยังไม่เพียงพอ

เพราะหากเป็นกรณีนี้ ปรมาจารย์ด้านจิตวิญญาณอาร์คาน่าก็น่าจะเป็นผู้ที่ควบคุมพลังนี้ได้ดีที่สุด

แต่ในความเป็นจริง กลับมีปรมาจารย์ด้านจิตวิญญาณเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่สามารถควบคุมพลังลึกลับนี้ได้ ในทางตรงกันข้าม เหล่าผู้เชี่ยวชาญที่เดินไปตามเส้นทางของพลังต้นกำเนิดจนสุดทาง หลายคนเองก็ได้รับพลังเช่นนี้มาเหมือนกัน

อย่างเช่นเค่อเหลยซีต๋า

เขาไม่ใช่ปรมาจารย์จิตวิญญาณอาร์คาน่า

ถ้าเช่นนั้นจะอธิบายถึงสิ่งนี้ได้อย่างไร ?

ซูเฉินอดไม่ได้ที่จะสงสัย

เมื่อใจของเขาจมลงในอารมณ์สงสัยใคร่รู้ พลังลึกลับในร่างกายของเขาตอบสนองในลักษณะเดียวกัน แม้แต่เศษชิ้นส่วนในมือของเขาก็เปลี่ยนไปเช่นกัน

หัวใจของซูเฉินสั่นวูบ “หรือการที่สามารถควบคุมได้ จะไม่ได้หมายความว่าสามารถใช้มันได้ ? พลังนี้ไม่ได้มาจากพลังวิญญาณงั้นหรือ ?”

สิ่งนี้ช่างน่าสนใจเกินไปจริง ๆ

พลังที่ไม่อาจหยั่งรู้นี้มีความซับซ้อนอย่างเหลือเชื่อ และไม่ง่ายเลยที่ทำความเข้าใจ ถึงชายหนุ่มจะโชคดีได้รับมันมาแต่เขาก็ยังไม่เข้าใจมันเลยจริง ๆ เขายังต้องศึกษาอีกมากหากต้องการควบคุมพลังนี้ให้ได้อย่างสมบูรณ์

อย่างไรก็ตาม…

ประเดี๋ยวก่อน ไม่ใช่ว่ามีผู้สอนที่สมบูรณ์แบบอยู่แถวนี้คนหนึ่งหรอกหรือ ?

ซูเฉินนึกถึงเค่อเหลยซีต๋าขึ้นมาในทันใด

สหายผู้นี้ยังคงนั่งอยู่ข้างนอกนั่นไม่ใช่เหรอ ?

ทำไมไม่ถามเขาเสียล่ะ ?

ในฐานะที่เป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับตำนาน อีกฝ่ายย่อมต้องมีความเข้าใจและเชี่ยวชาญในพลังลึกลับนี้อย่างลึกซึ้งอยู่แล้ว

แต่คงไม่มีทางที่เค่อเหลยซีต๋าจะยอมตอบคำถามของเขาเป็นแน่

เขาคงต้องหาข้อแก้ตัวดี ๆ

ขณะที่ซูเฉินกำลังพยายามคิดแผน เขาก็ได้ยินเค่อเหลยซีต๋าพูดขึ้น “เจ้าหนุ่มมนุษย์นก ข้ามีคำถามที่ไม่สามารถเข้าใจได้ ข้าอยากจะถามความเห็นเจ้าเสียหน่อยได้หรือไม่ ?”

“หือ ?” ซูเฉินตะลึง “ว่ามาสิ”

“เจ้าควบคุมกฎแห่งพลังได้อย่างไร ?”

กฎแห่งพลัง ? มันคืออะไร ?

ซูเฉินกำลังจะถามกลับว่ากฎแห่งพลังคืออะไร ทว่าทันใดนั้นเขาตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายอาจจะหมายถึงพลังลึกลับนั่น

กฎแห่งพลัง ?

นั่นคือชื่อที่ใช้เรียกมันงั้นหรือ ? เค่อเหลยซีต๋าสงสัยว่าเขาควบคุมกฎแห่งพลังนี้ได้อย่างไร ?

ใช่แล้ว เค่อเหลยซีต๋าไม่รู้ว่าซูเฉินมีโทเทมแห่งธาตุดังนั้นอีกฝ่ายคงจะเข้าใจไปว่าเขาฝึกฝนมัน ดังนั้นฝั่งนั้นจึงอยากรู้มากว่าเขาสามารถครอบครองพลังแบบนี้ได้อย่างไร ? แม้ว่าเค่อเหลยซีต๋าจะสามารถระงับความอยากรู้ของเขาได้ในตอนแรก แต่ในที่สุดเขาก็อดที่จะถามออกมาไม่ได้

อดไม่ได้ อดทนความอยากรู้ไม่ได้แล้ว ?

นี่มันสมบูรณ์แบบ !

ซูเฉินแอบยิ้มในใจ

อีกฝ่ายต้องการรู้ว่าเขาได้กฎแห่งพลังนี้มาได้อย่างไร และก็อยากรู้ว่าเขาสามารถใช้มันอย่างไร สถานการณ์ช่วยให้เรื่องต่าง ๆ ง่ายขึ้นมากจริง ๆ

ถึงเวลาทำอะไรสักอย่าง

เมื่อซูเฉินคิดได้เช่นนั้นเขาก็กล่าวขึ้น “ฝึกฝน ข้าจะทำอะไรนอกจากนี้ได้อีก ?”

คำตอบคลุมเครือ ไม่ระบุถึงวิธีการฝึกฝน และปล่อยให้อีกฝ่ายตีความด้วยตัวเอง

โดยหลักการแล้ว คำตอบเช่นนี้จะช่วยให้เขาหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดบางจุดได้ แต่ดูเหมือนว่าเค่อเหลยซีต๋าจะผงะไปกับคำตอบที่ไม่คาดคิดนี้ “ฝึกฝน ? กฎแห่งพลังเป็นสิ่งที่สามารถครอบครองมาได้ด้วยการตระหนักรู้เท่านั้นไม่ใช่หรือ ? เจ้าฝึกฝนมันได้อย่างไรกัน ?”

สามารถครอบครองมาได้ด้วยการตระหนักรู้เท่านั้น ? ไม่อาจฝึกฝนได้ ?

ซูเฉินตกตะลึง

เป็นเช่นนั้นหรือ ?

กฎแห่งพลังจะได้รับอิทธิพลจากจิตวิญญาณตามแต่ละคนไป… ถ้าเขาไม่ใช่ตระหนักรู้จนเข้าใจ แล้วจะเป็นสิ่งใดไปได้อีก ?

ซูเฉินสงบสติอารมณ์และตอบกลับไป “การตระหนักรู้ก็คือการฝึกฝนเช่นกัน แต่เป็นการฝึกฝนจิตวิญญาณ ท่านไม่เข้าใจหลักการนี้หรือ ?”

คำพูดของเขาดูลึกซึ้งและเข้ากับความเป็นจริงอย่างไม่น่าเชื่อ จนแม้แต่เค่อเหลยซีต๋าเองก็ยังอดตกใจไม่ได้เมื่อได้ยินเช่นนั้น

ถึงกระนั้น ดูเหมือนว่าคำอธิบายนี้มีประโยชน์จริง ๆ

เค่อเหลยซีต๋ารู้สึกว่ามันสมเหตุสมผล และพยักหน้าซ้ำ ๆ “นั่นก็สมเหตุสมผล ดูเหมือนว่าวิธีการของข้าจะเคร่งครัดเกินไป”

“ไม่เป็นไร” ซูเฉินกล่าวอย่างใจกว้าง อันที่จริง เขาต้องการถามเค่อเหลยซีต๋าว่าเข้าใจพลังนี้ได้อย่างไร แต่เขาก็ไม่กล้าถามเพราะเขากลัวจะเปิดเผยตัวตนออกไป ดังนั้นเขาจึงรอให้อีกฝ่ายเป็นคนถามขึ้นก่อน

แม้ว่าการตอบคำถามของอีกฝ่ายจะสร้างความกังวลให้แก่เขา เพราะตอนนี้ซูเฉินไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย แต่มันมีข้อดีอยู่อย่าง นั่นคือเขาสามารถตอบคำถามบางข้อแบบคลุมเครือและเลือกไม่ตอบคำถามอื่นได้

แน่นอนว่ามันย่อมไม่มีใครเต็มใจที่จะแบ่งปันความลับการฝึกฝนทั้งหมดของตนให้ผู้อื่นง่าย ๆ อยู่แล้ว

การที่ซูเฉินไม่พูดถึงก็นับว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลแล้ว กลับกันหากเขาพูดออกมามันก็คงจะแปลกเกินไป

ดังนั้น ในกรณีนี้ การให้ฝ่ายตรงข้ามเป็นคนถามจึงเป็นวิธีที่จะลดความผิดพลาดได้จริง ๆ ท้ายที่สุด ซูเฉินก็ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นถามอย่างไรถึงจะดี

อันที่จริง เมื่อเค่อเหลยซีต๋าเห็นว่าซูเฉินยินดีที่จะตอบคำถามของเขา เขาก็เริ่มถามด้วยความสนใจมากขึ้น “แต่ความแข็งแกร่งของเจ้ายังไม่ถึงระดับตำนาน เช่นนั้นแล้วเจ้าควบคุมกฎแห่งพลังได้อย่างไรหรือ ?”

หืม ?

มันจำเป็นจะต้องไปถึงระดับตำนานก่อนจึงจะสามารถตระหนักรู้ถึงกฎแห่งพลังได้งั้นหรือ ?

นั่นเป็นแนวคิดแบบไหนกัน ?

ซูเฉินรู้สึกสับสน ขณะที่เขาพยายามวิเคราะห์ข้อมูลชิ้นใหม่นั้น เขาก็กล่าวว่า “สถานการณ์ของข้าแตกต่างจากคนส่วนใหญ่ ข้าจึงสามารถเข้าใจในกฎแห่งพลังได้เร็วกว่าคนอื่น”

นี่คือความจริง สถานการณ์ของซูเฉินพิเศษกว่าคนทั่วไปจริง ๆ ส่วนที่มาของการตระหนักรู้จนเข้าใจนั้น ซูเฉินจงใจตอบไปให้มันคลุมเครือ

ทว่าเค่อเหลยซีต๋ากลับเชื่อในคำพูดนั้นอย่างสมบูรณ์ หากไม่ใช่เพราะสถานการณ์พิเศษ ซูเฉินจะเข้าใจกฎแห่งพลังได้อย่างไร ?

มันต้องเป็นเพราะสถานการณ์พิเศษอย่างแน่นอน ความจริงที่ว่าซูเฉินพูดมากถึงขนาดนี้ อย่างน้อยก็พิสูจน์ได้ว่าเขาไม่ได้โกหก

เค่อเหลยซีต๋ากล่าวด้วยความตื่นเต้น “เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่ามันเป็นสถานการณ์พิเศษแบบใดกัน ?”

ซูเฉินเงียบ

เค่อเหลยซีต๋ารู้ว่าคำถามนี้ของเขาคงจะขอมากเกินไป ซูเฉินจะยอมเปิดเผยความลับที่สำคัญเช่นนั้นง่าย ๆ ได้อย่างไร ?

เขาถอนหายใจ “ข้าเข้าใจว่าเรื่องแบบนี้ควรต้องเก็บเป็นความลับอย่างยิ่ง มันไม่แปลกเลยหากเจ้าจะไม่ตอบ อย่างไรก็ตาม… ”

เขากำลังจะพูดว่าสถานการณ์ของซูเฉินนั้นไม่ได้ดีเลย แต่ถ้าซูเฉินไม่สนใจแม้แต่ชีวิตของตัวเอง การข่มขู่ก็คงไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงเงียบลงอีกครั้ง

ซูเฉินยิ้ม “ข้าไม่ได้กลัวที่จะบอกความจริงกับท่าน แต่การข่มขู่ข้าไม่ใช่วิธีที่มีประโยชน์เลย ในเมื่อข้ากล้าที่จะขโมยของมาจากมือแห่งโชคชะตา ข้าก็ย่อมพร้อมที่จะตายอยู่แล้ว หากท่านต้องการสิ่งใดจากข้า ท่านก็ต้องพิสูจน์ความจริงใจของตัวท่านเองเสียก่อน”

พอพูดจบเขาก็ปล่อยให้บทสนทนาหยุดลง ปล่อยให้เค่อเหลยซีต๋าคิดต่อเอาเอง

เค่อเหลยซีต๋าเองก็เป็นคนฉลาดและเข้าใจว่าซูเฉินกำลังสื่อถึงอะไร

จริงใจ !

ใช่ เขาต้องแสดงความจริงใจก่อนที่คู่ต่อสู้จะยอมรับข้อเสนอของเขา

เขาถามว่า “เจ้าต้องการอะไร ?”

ซูเฉินตอบ “มันคงดูไร้เหตุผลเกินไป หากข้าจะขอให้ท่านปล่อยข้าไป และแม้ว่าท่านจะเห็นด้วย ข้าก็คงไม่เชื่อท่าน เช่นนี้เป็นอย่างไร ? ในเมื่อท่านต้องการที่จะรู้ว่าข้าตระหนักรู้ถึงกฎแห่งพลังของข้าได้อย่างไร งั้นไม่สู้ท่านเล่าเกี่ยวกับการตระหนักรู้ของท่านมาก่อนล่ะ ?”

ซูเฉินพยายามอย่างเต็มที่ที่จะพูดถึงกฎแห่งพลังของเขาให้น้อยที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ผิดพลาด ท้ายที่สุด เขาก็เกือบพลาดจากกล่าวถึงการฝึกฝนก่อนหน้า ดังนั้นการพูดให้น้อยลงย่อมเป็นแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด

เมื่อได้ยินคำพูดของซูเฉิน เค่อเหลยซีต๋าก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ไม่มีปัญหา ข้าเริ่มเข้าใจถึงกฎแห่งพลังเมื่อ 20 ปีที่แล้ว มันเป็นคืนที่มีพายุพัดกระหน่ำ ในตอนนั้นข้ากำลังค้นคว้าวิธีใช้พลังต้นกำเนิดสายฟ้าให้ได้ผลดีที่สุดอยู่ จากนั้นจู่ ๆ ข้าก็ได้รับแรงบันดาลใจจากกฎแห่งพลัง และเข้าใจวิธีการควบแน่นเสียงเพื่อสร้างฟ้าร้องกับการะดัดแสงให้เป็นเส้นริ้ว”

เอ่อ ง่าย ๆ เช่นนั้นเลยนะหรือ ?

นี่ท่านขี้เกียจจะอธิบายมันมากขนาดนั้นเลยหรืออย่างไร ? หมายความว่าอย่างไรที่ว่ารับรู้ถึงกฎแห่งพลังโดยไม่ได้ตั้งใจ ? จู่ ๆ กฎแห่งพลังก็ทำให้ท่านรับรู้ถึงมันเองงั้นหรือ ?

กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือกฎแห่งพลังจะเลือกที่จะ… เชื่อมโยงด้วยตัวเอง ?

ซูเฉินตระหนักได้ทันทีว่าแม้คำอธิบายของเค่อเหลยซีต๋าจะเรียบง่าย แต่ความหมายเบื้องหลังนั้นไม่ง่ายเช่นที่เห็น

แรงบันดาลใจ ความเข้าใจ… ความเข้าใจ แรงบันดาลใจ…

ซูเฉินตกอยู่ในความคิด

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไรตอบ เค่อเหลยซีต๋าก็ถามขึ้นด้วยความสงสัย “เหตุใดเจ้าถึงได้เงียบไป ?”

ซูเฉินตอบว่า “ข้ากำลังคิดอยู่”

ความจริงอีกหนึ่งอย่าง

เค่อเหลยซีต๋ายกย่องชมเชยเขา “สหายหนุ่มนิรนามของข้า เจ้าช่างมีความสามารถในเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ที่เหลือเชื่อจริง ๆ เพียงแค่หนึ่งในประสบการณ์ของข้าก็สามารถช่วยให้เจ้าตระหนักรู้ได้แล้ว”

ตระหนักรู้บ้านมารดาเจ้าสิ

แล้วข้ากลายเป็นสหายหนุ่มนิรนามของเจ้าเมื่อไหร่กัน ?

ซูเฉินรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามที่จะได้รับความไว้วางใจจากเขา โดยหวังว่าเขาจะเปิดใจและทำให้ตนมีโอกาสค้นพบการตระหนักรู้ใหม่ ๆ อย่างไรก็ตาม คำเรียกขานว่า ‘สหายหนุ่มนิรนาม’ นี้ทำให้ซูเฉินพูดไม่ออกจริง ๆ

ถ้าเราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันจริง งั้นทำไมไม่ปล่อยข้าไปเสียล่ะ ?

ไม่ ไม่สิ ถ้าเขาถามเรื่องนี้ อีกฝ่ายก็ย่อมต้องตอบว่า ‘ข้าจะปล่อยเจ้าไป ออกมาได้แล้ว’ อย่างแน่นอน

แน่นอน ซูเฉินไม่ได้ทำอย่างนั้น

บัดซบ !

เค่อเหลยซีต๋าไม่รู้เลยว่าตอนนี้คู่สนทนาของเขากำลังครุ่นคิดอย่างวุ่นวายอยู่ เขาจึงพูดต่ออย่างสบายใจ “ตั้งแต่นั้นมา ข้าก็ไม่เคยได้รับแรงบันดาลใจอีกเลย ข้าสามารถไปถึงจุดที่สามารถให้เสียงมีรูปธรรมขึ้นได้ แต่นับแต่นั้นข้าก็ไม่ได้ก้าวหน้าขึ้นเลย”

ที่แท้ก็เป็นเช่นนั้น

ซูเฉินเหลือบมองไปที่เศษชิ้นส่วนอักษรในมือของเขา

เสียงที่ควบแน่น สิ่งนี้ถูกสร้างขึ้นจากกฎแห่งพลัง ที่ได้จากการศึกษาฟ้าร้องฟ้าผ่าของเค่อเหลยซีต๋า ?

ซูเฉินเองก็เข้าใจในสายฟ้าเช่นกัน เขาเป็นปรมาจารย์ระดับ 9 และได้รับการสนับสนุนจากโทเทมวิญญาณสายฟ้า แล้วเหตุเขาถึงไม่อาจเปลี่ยนเสียงให้กลายเป็นของที่จับต้องได้ได้กัน ? ไม่ใช่ว่าเขามีกฎแห่งพลังอยู่แล้วหรอกหรือ ?

หรือเป็นเพราะไม่ได้ตระหนักถึงมันด้วยตัวเขาเอง เขาจึงไม่สามารถใช้มันได้ ?

แต่อย่างน้อยเขาก็สามารถใช้พวกมันเพื่อดูดซับโทเทมอื่น ๆ ได้

ซูเฉินบ่นรำพันอยู่ในใจ

ตอนนี้เขาสามารถยืนยันได้แล้วว่าเหตุผลที่ทำให้โทเทมแห่งธาตุทั้ง 2 ถูกดูดซับเข้ามานั่นเพราะกฎแห่งพลังในร่างกายของเขา กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเงื่อนไขเบื้องต้นในการดูดซับโทเทมนั้น จำต้องมีแก่นแท้ของธาตุเพียงพอและมีกฎแห่งพลังที่สอดคล้อง

แต่เดี๋ยวก่อน

เมื่อยามที่เขาดูดซับโทเทมแห่งพลังชีวิต เขาไม่มีกฎแห่งพลังอยู่ในร่างไม่ใช่หรือ ?

นี่มันอะไรกัน ?

เป็นไปได้ไหมว่าตอนนั้นเขาได้รับแรงบันดาลใจจากกฎแห่งพลังมาโดยที่ไม่รู้ตัวหรือ ?

กฎแห่งพลังชีวิตบัดซบ ! เจ้าไม่แม้แต่จะเตือนให้ข้ารู้ว่าเจ้าให้แรงบันดาลใจแล้ว !

เดี๋ยวก่อนนะ กฎแห่งพลังชีวิต ?