บทที่ 131 กฎแห่งพลัง (2)
ความคิดของซูเฉินดูจะย้อนเวลาไปยังสนามรบก่อนหน้านี้
ชายหนุ่มต่อสู้กับใจสีเลือดเมื่อครั้งโทเทมแห่งพลังได้ผนวกเข้ากับร่างกายของเขา
แต่ซูเฉินก็สัมผัสได้ว่าโทเทมแห่งพลังเริ่มเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อยก่อนหน้านี้
นั่นเป็นเพียงผลลัพธ์ตอนท้ายสุด และยังไม่ได้นับรวมช่วงเจริญวัยและโตเต็มที่ของมันด้วยซ้ำ
การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงเกิดขึ้นระหว่างการต่อสู้ของเขากับเผ่าคนเถื่อน
เขามองดูโทเทมแห่งพลังปลดปล่อยพลังที่แข็งแกร่งผ่านมือของอานู่ปี่ แสงเรืองรองนั้นไม่สามารถอธิบายด้วยคำพูดได้ ในตอนแรกเขาคิดว่าแสงนั้นมาจากพลังงานต้นกำเนิดแห่งพลัง
แต่ในตอนนี้เขารู้แล้วว่าเขาคิดผิด
แสงนั้นมีต้นกำเนิดมาจากกฎแห่งพลัง
กฎแห่งพลังของโทเทมแห่งพลังทำให้มันสามารถปกป้องสิ่งมีชีวิตใดก็ตามที่ใช้งานมัน
ซูเฉินไม่รู้ว่ากฎแห่งพลังนี้มาจากที่ใด แต่เขารู้ว่าชีวิตที่ถูกสังเวยระหว่างการสู้รบครั้งนั้นเป็นจำนวนนับไม่ถ้วนทีเดียว
คงจะเป็นตอนนั้นที่โทเทมแห่งพลังได้รับเครื่องสังเวยที่ต้องการไปครบถ้วนพอดี
แต่มันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปในทันทีทันใด
มันไม่ได้ขาดเครื่องสังเวยแน่ ๆ แต่จะต้องมีขั้นตอนสำคัญอีกขั้นที่ขาดหายไปอย่างแน่นอน
และเป็นเพราะขั้นตอนนี้หายไป โทเทมแห่งพลังจึงยังคงนิ่งงันอยู่หลายปี
จนกระทั่งซูเฉินปรากฏกายขึ้น
เขาแตกต่างจากคนอื่นตรงไหนกัน ? ทำไมคนอื่น ๆ ถึงไม่สามารถปลดผนึกพลังที่เขาทำได้โดยบังเอิญล่ะ ?
ซูเฉินดำดิ่งลงสู่ห้วงความคิดอีกครั้ง
มีบางอย่างผิดแปลกไปเกี่ยวกับเขาเมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้นแน่ ๆ
เนตรมองโลกจุลภาคของเขา ?
ดวงตาเหล่านั้นไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพละกำลัง จึงไม่ใช่พวกมันแน่ ๆ
พลังจิตเหนือธรรมชาติของเขาก็ไม่อาจเป็นไปได้
ผลึกวิญญาณ ? ก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน
ร่างกายที่แข็งแกร่งของเขาหรือ ? ไม่ นี่ก็ไม่ใช่เช่นกัน
เดี๋ยวก่อนนะ !
ซูเฉินนึกบางอย่างขึ้นได้ในทันใด
ข้อจำกัดทางร่างกายของเขาได้ไปถึงระดับที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิงหลังจากถูกชะล้างที่อารามพลังต้นกำเนิด มันทำให้เขาแตกต่างจากคนอื่น ๆ อย่างชัดเจน
แต่นั่นมันเพียงพอแล้วหรือ ?
ไม่ใกล้เคียงเลย
แต่เมื่อเขานึกถึงการต่อสู้กับใจสีเลือด เขาก็จำได้ว่าพลังของโทเทมแห่งพลังได้เพิ่มพูนสมรรถภาพร่างกายของเขา ใจสีเลือดกล่าวไว้ว่าซูเฉินได้ไปถึงยังด่านปรมัตถ์
เขาหมายถึงด่านปรมัตถ์ที่นักรบโทเทมเผ่าคนเถื่อนสามารถทำได้สำเร็จ
ซูเฉินไม่ได้สนใจคำพูดนี้มากในตอนนั้น
เพราะเขาไม่ใช่นักรบโทเทม เขาจึงไม่รู้ว่าการไปถึงด่านปรมัตถ์หมายความว่าอย่างไร สำหรับเขา มันได้กลายเป็นการคำนวณที่ผิดพลาดที่ใจสีเลือดได้สร้างขึ้นเนื่องจากผลของโทเทมแห่งพลัง
นั่นคือคำถามสำคัญ !
โทเทมแห่งพลังได้ผลักดันเขาไปสู่ด่านปรมันถ์หรือ ?
ซูเฉินดูจะเข้าใจในทันที
เขาถูกนำไปผิดทิศทาง ! นั่นไม่ใช่ประเด็นเลยสักนิด !
ความจริงคือเขาคงจะไปถึงระดับของนักรบโทเทมด่านปรมัตถ์กระทั่งก่อนจะดูดซับพลังของโทเทมแห่งพลังเสียด้วยซ้ำ
เพียงแค่ซูเฉินยังไม่ตัวว่าสิ่งนี้บังเกิดขึ้น เหตุผลหลักคือเพราะเขาไม่เคยมีจารึกโทเทมบนร่างกายของเขาเลย โดยธรรมชาติแล้วเขาไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นนักรบโทเทมเช่นกัน
แต่เขาได้หลงลืมเกี่ยวกับโทเทมแห่งพลังไป
โทเทมแห่งพลังได้ส่งต่อพลังโทเทมมาสู่เขา
และมันก็ทำให้เกิดการเข้าใจผิดอีกครั้งว่าเขาได้รับเพียงพลังของโทเทมแห่งพลังหลังจากที่มันแตกสลายออกเท่านั้น แต่นั่นก็ไม่ใช่ความจริงเช่นกัน
ความจริงคงจะเป็นบางสิ่งจากเรื่องราวนี้
ก่อนที่โทเทมแห่งพลังจะพังทลายลง มันสามารถเสริมพลังของนักรบโทเทมได้ นั่นเป็นหลักฐานจากสงครามในเขตแดนของเผ่าคนเถื่อน มันมอบพลังที่น่าเกรงขามให้แก่ทุกคนก่อนที่มันจะแตกสลายไป
ดังนั้นซูเฉินจึงนับได้ว่าถูกเสริมแกร่งโดยโทเทมแห่งพลังมาแล้วถึง 2 ครั้ง
ครั้งแรกคือเมื่อโทเทมแห่งพลังได้เสริมพลังร่างกายที่แข็งแกร่งเป็นทุนเดิมของเขา มันได้ประทับโทเทมแห่งพลังลงในร่างกายของเขาและผลักดันเขาไปสู่ระดับของนักรบโทเทมระดับสูงสุดในเวลาเดียวกัน
แต่กระบวนการนั้นสั้นเกินไป ซูเฉินไม่มีเวลาที่จะได้ชื่นชมการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในร่างกายของเขาก่อนที่จะต้องตกตะลึงกับการเปลี่ยนแปลงครั้งที่สองที่ประทานลงสู่ร่างกายของเขาโดยโทเทมเหล่านี้เสียด้วยซ้ำ
แล้วโทเทมนั้นก็แตกสลายลงเพราะซูเฉินได้เติมเต็มความต้องการในครั้งที่สองของมันแล้ว นั่นคือการได้รับอิทธิพลภายใต้กฎแห่งพลังความแข็งแกร่ง
กฎแห่งพลังของโทเทมแห่งพลังจึงได้เข้าไปภายในร่างกายของเขา และในขณะเดียวกันโทเทมก็แตกสลายออกหลังจากที่สูญเสียกฎแห่งพลังของมันไป
เพราะเหตุการณ์เหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นในช่วงเวลาอันรวดเร็ว ซูเฉินจึงเข้าใจผิดไปว่าพวกมันมีเพียงชิ้นเดียวและเหมือนกัน
แต่พวกมันไม่ !
ทีแรกเขาได้กลายเป็นนักรบโทเทมระดับสูงสุดดก่อนที่จะดูดซึมโทเทมแห่งพลังเข้าไปโดยสมบูรณ์
ซูเฉินสามารถยืนยันได้ว่านี่คือประเด็นหลักเพราะเค่อเหลยซีต๋าได้กล่าวไว้ว่าบุคคลหนึ่งจะต้องไปถึงจุดสูงสุดก่อนที่พวกเขาจะได้รับอิทธิพลนั้น
เขาไม่รู้ว่านั่นคือประเด็นแต่นี่ก็เป็นความจริงอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นแล้วเขาจึงได้ไปถึงยังด่านปรมัตถ์เป็นอย่างแรกก่อนที่จะได้รับอิทธิพลและดูดซับโทเทมแห่งพลังในที่สุดอย่างแน่นอน
เพียงเท่านี้ก็สามารถอธิบายว่าสุดท้ายแล้วเขาดูดซับเอาโทเทมแห่งพลังเข้าไปได้อย่างไร
ในทีแรกนั้นมีผู้คนที่สามารถไปถึงยังด่านปรมัตถ์อยู่มากเกินไป แม้ว่าพวกเขาจะไปถึงด่านที่สูงแต่พวกเขาก็ไม่สามารถสัมผัสโทเทมแห่งพลังได้โดยตรง และแม้ว่าพวกเขาจะสามารถสัมผัสโทเทมแห่งพลังได้โดยตรง พวกเขาก็อาจดูดซับไปเพียงพลังที่บรรจุอยู่ในโทเทมแห่งพลังโดยไม่รู้ถึงกฎแห่งพลัง กระทั่งในตอนนี้ ซูเฉินก็ไม่รู้เลยว่าเงื่อนไขในการได้รับอิทธิพลคืออะไร แต่คำวิจารณ์ของเค่อเหลยซีต๋าก็บอกมาชัดเจนแล้ว ในขณะที่การไปถึงยังจุดสูงสุดนั้นเป็นสิ่งจำเป็นในการได้รับพลัง เราก็ไม่จำเป็นจะต้องได้รับพลังเพียงเพราะเราอยู่ในจุดสูงสุด
ซูเฉินได้รับอิทธิพลไปทันทีที่เขาได้ไปถึงจุดสูงสุด เขาจึงไม่รู้ตัวว่าเขาได้ไปถึงยังจุดสูงสุดตั้งแต่แรกเลยแม้แต่น้อย
เพราะความแข็งแกร่งนั้นแตกต่างไปจากพลังงานอื่น ๆ และสามารถเติบโตได้เฉพาะภายใต้แรงกดดันที่เข้มข้นเท่านั้น ซูเฉินจึงแทบจะไม่ได้ผลักดันพลังชีวิตของเขาไปจนถึงขีดจำกัดเพราะวิธีการที่เขามักจะใช้เตรียมการสำหรับสถานการณ์ส่วนใหญ่
หากจะว่าง่าย ๆ เขาได้รับร่างกายที่แข็งแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่เขาก็ไม่เคยนำตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์ที่จะเกิดการวัดระดับพลังขึ้น ด้วยเงื่อนไขเหล่านี้แล้วเขาจะรู้เกี่ยวกับพลังอันแข็งแกร่งของเขาได้อย่างไรกัน ?
นี่คือเหตุผลที่แม้ว่าจะผ่านมาหลายปีแล้วซูเฉินก็ยังไม่สามารถเปิดเผยความลับของโทเทมได้ถึงแม้เขาจะพัฒนาวิธีการไปถึงยังด่านสู่พิสดารโดยไร้ซึ่งสายเลือดแล้วก็ตาม
นี่เป็นเพราะโทเทมไม่สามารถถูกวิจัยตามหลักทั่วไปได้ มันมีอิทธิพลที่เกิดขึ้นเองและไม่มีเหตุผลแม้แต่น้อยตามหลักการเหล่านั้น
ซูเฉินได้รับคำตอบของเขา แต่เขาก็ไม่แน่ใจว่าจะดำเนินการต่ออย่างไร
แต่นั่นก็ไม่เป็นไร ยังไงเค่อเหลยซีต๋าก็อยู่ที่นี่เพื่อช่วยเหลือเขาใช่ไหมล่ะ ?
ซูเฉินจึงเริ่มกระตุ้นเค่อเหลยซีต๋าสำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกฎแห่งพลังนี้
ขณะที่การตั้งคำถามกำลังดำเนินการ ซูเฉินก็ค้นพบว่ากระทั่งเค่อเหลยซีต๋าก็ไม่ได้เข้าใจมันมากนัก ราวกับว่าพลังนี้สามารถชำนาญได้แต่ไม่อาจศึกษาหรือเข้าใจได้ มันเป็นเรื่องยากยิ่งนักแม้เพียงจะอธิบายมันในเชิงรูปธรรม
ด้วยเหตุนี้จึงเข้าใจได้ที่เค่อเหลยซีต๋าไม่สามารถมอบคำตอบที่ชัดเจนกว่านี้ให้ได้
ซูเฉินมีความสุขมากทีเดียวเมื่อได้ยินเช่นนั้น
เนื่องจากมันเป็นไปไม่ได้ที่จะให้คำตอบที่ชัดเจน ซูเฉินจึงไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวต่อความเป็นไปได้ที่เขาจะพูดสิ่งใดผิด ตราบใดที่เขาไม่ได้ผิดพลาดไปโดยสิ้นเชิงก็ไม่มีสิ่งใดให้ต้องเกรงกลัว
และในตอนแรกเขายังครอบครองกฎแห่งพลังอีกด้วย หลังจากที่คาดเดาบางอย่างเกี่ยวกับวิธีการที่เขาจะได้ครอบครองพลังนี้แล้ว ความชำนาญของเขาจึงได้ลึกลงไปอีกเล็กน้อย เมื่อเป็นเช่นนั้นและด้วยข้อมูลที่เขาล่อลวงมาจากเค่อเหลยซีต๋า เขาจึงพบว่าเขาสามารถพูดคุยกับเค่อเหลยซีต๋าได้อย่างลื่นไหลเกี่ยวกับเรื่องนี้
และขณะที่บทสนทนาของทั้งสองดำเนินต่อไป ความเข้าใจของซูเฉินในกฎแห่งพลังก็ลึกซึ้งมากขึ้น
ตอนนี้เขาก็เข้าใจมันในที่สุด ว่าแท้ที่จริงภายในร่างกายของเขามีกฎแห่งพลังอยู่มากมายหลายชนิด
กฎแห่งพลังความแข็งแกร่งของเขาประกอบกับกฎแห่งพลังสายลมและสายฟ้าที่เขาได้รับมาไม่นานนี้ ทั้งหมดล้วนมาจากระบบนี้ แต่เพราะพวกมันไม่ใช่ความชำนาญส่วนบุคคลของเขา พวกมันจึงอาศัยอยู่ในร่างของเขาเพียงชั่วคราว มันต้องใช้เวลาในการที่เขาจะชำนาญพวกมันอย่างช้า ๆ
แต่เขายังมีกฎแห่งพลังอีกชนิดที่เป็นของตัวเขาเอง
กฎแห่งพลังสูญ
ใช่ อิทธิพลที่เขาได้รับจากปราสาทแสงต้นกำเนิดแท้จริงแล้วคือกฎแห่งพลัง
ยิ่งไปกว่านั้น มันยังสำแดงพลังของกฎแห่งพลังออกมาและไม่ใช่หลักการพื้นฐานของกฎแห่งพลังเองอีกด้วย
เป็นเพราะความเชี่ยวชาญของซูเฉินในพลังสูญยังไปไม่ถึงจุดสูงสุด
นอกจากนั้น เขายังนำพาวิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายไปยังจุดสุดยอด ผู้ที่ได้ก่อกำเนิดวิชาอาร์คาน่านี้ขึ้นมานั้นมีความเชี่ยวชาญที่ลึกซึ้งในวิชาสูญไม่น้อยทีเดียว ด้วยเหตุนี้ซูเฉินจึงสามารถเข้าใจในความลับแห่งพลังสูญได้เล็กน้อย เมื่อเป็นเช่นนั้นมันจึงถูกนับเป็น ‘กรณีพิเศษ’ แต่มันก็ยังหมายความว่าเขาไม่ได้เชี่ยวชาญกฎแห่งพลังสูญอย่างแท้จริง เขาเพียงมองเห็นร่องรอยของความลึกซึ้งที่บรรจุอยู่ภายในซึ่งนำพาเขาไปสู่สมรรถภาพในวิชาพลังสูญทั้งหมด โดยเฉพาะวิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกาย
เพราะวิชาหอคอยพิสุทธิ์เป็นพื้นฐานของความชำนาญในกฎแห่งพลังสูญของเขา มันจึงเป็นวิชาที่ได้รับผลมากที่สุดอีกด้วย
หากซูเฉินต้องการที่จะควบคุมกฎแห่งพลังสูญจริง ๆ เขาต้องเริ่มจากเพิ่มความเชี่ยวชาญในวิชาพลังสูญและไปถึงจุดสูงสุดที่แท้จริงเสียก่อน
นั่นดูเป็นไปได้นะ
เขามีเทียนไขชีวิตและคลังหนังสือของอวี้ชิงหลาน เช่นเดียวกันกับหอสมุดทั้งหลังของมือแห่งโชคชะตาและสถาบันประทีปแห่งจิตวิญญาณ และเขายังมีเค่อเหลยซีต๋า ปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับตำนานในการหาความคิดใหม่ ๆ อีกด้วย……
งั้นตอนนี้เขาก็มีถึง 4 ทิศทางที่แตกต่างกันให้ไล่ตามในอนาคตแล้วหรือ ?
ไม่มีสิ่งใดที่เขาสามารถทำได้ มันจะเป็นการสิ้นเปลืองอย่างน่าเหลือเชื่อสำหรับซูเฉินที่จะปล่อยให้กฎแห่งพลังเหล่านั้นอยู่นิ่งเฉยภายในร่างกายของเขา ดังนั้นแล้วเขาจึงต้องไปถึงยังจุดสูงสุดตามลำดับของแต่ละทักษะเหล่านี้
แต่นั่นก็ดูจะไม่เพียงพอเช่นกัน
เพราะเขายังต้องสร้างระบบบ่มเพาะไร้สายเลือดให้สำเร็จ และขั้นต่อไปคือพัฒนาวิธีการไปถึงยังด่านผลาญจิตวิญญาณโดยไร้สายเลือด ซึ่งขั้นตอนนั้นใกล้จะสมบูรณ์แล้ว โครงการหลักต่อไปจึงเป็นการพัฒนาวิธีการไปสู่ด่านหยั่งรู้ฟ้าดินโดยไร้สายเลือด
แล้วพลังจิตของเขาล่ะ ?
จิตของเขานั้นทรงพลังเหนือมนุษย์อยู่แล้ว และความเชี่ยวชาญในวิชาจิตวิญญาณก็อยู่ในระดับ 7 เช่นกัน หากเขาไม่ได้พัฒนามันไปไกลกว่านั้น มันจะไม่เป็นการสิ้นเปลืองอันใหญ่หลวงหรือ ?
นอกจากนี้เขายังได้สร้างความคืบหน้าที่สำคัญในการศึกษาการดัดแปลงสิ่งมีชีวิตอีกด้วย เขาคงไม่สามารถเก็บมันเข้ากรุไปก่อนได้จริงไหม ?
พูดอีกอย่างคือ… ซูเฉินพบว่าตัวเขานั้นงานยุ่งไม่น้อยในทันใด
เขาหมดคำพูด
หากเป็นเช่นนั้นและเขายังจะรออะไรอยู่ล่ะ ?
เขาควรไปทำงานได้แล้ว !
ในไม่กี่วันต่อมา ซูเฉินก็ดูจะกลับไปยังชีวิตแบบเดิมของเขา ทุก ๆ วันเขาจะค้นคว้าวิจัยของเขาและสำรวจความเป็นไปได้ใหม่ ๆ อยู่เสมอ
ตามเดิมแล้วเขาเป็นคนที่อิสรเสรี แม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้าย ชายหนุ่มก็ไม่ย่อท้อ แต่เนื่องจากเขาถูกจำกัดไว้ในทุกทิศทาง เขาจึงตัดสินใจที่จะกลับไปสู่นิสัยเก่า และด้วยเค่อเหลยซีต๋า ปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับตำนานผู้อยู่เคียงข้างเขา ความสำเร็จของงานวิจัยของเขาก็ราวกับพุ่งทะยานขึ้นสู่ชั้นฟ้าเลยทีเดียว !
เค่อเหลยซีต๋าค้นพบว่าเชลยของเขาไม่มีทีท่าว่าจะจากไปและได้ตั้งที่พักขึ้นในพื้นที่จำกัดแห่งนี้ ในทุกวันซูเฉินจะหารือเกี่ยวกับผลการวิจัยกับตน
น่าประหลาดใจที่เชลยคนนี้ของเขาดูจะมีความคิดที่น่าเหลือเชื่อ การพูดคุยกับอีกฝ่ายได้ช่วยเหลือความชำนาญของเค่อเหลยซีต๋าไม่น้อย
และยิ่งเวลาล่วงเลยไป เค่อเหลยซีต๋าก็พบว่าความรู้บางพื้นที่ที่เขาพยายามจะเข้าใจอย่างยากลำบากก่อนหน้านี้ได้กระจ่างแจ้งขึ้นมาภายใต้การแนะนำของซูเฉิน ปัญหาที่เคยขัดขวางเขาไว้ได้กลับกลายเป็นเรียบง่ายขึ้นมาก !