ภาคที่ 5 บทที่ 132 การสำรวจ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 132 การสำรวจ

ในพริบตาเดียวช่วงเวลา 1 ปีเต็มก็ผ่านเลยไป

ในปีที่ผ่านมานั้น ซูเฉินยังคงอยู่ในพื้นที่ต้องห้ามของเขาพันพิษและไม่ออกมาจากที่นั่นแม้แต่ก้าวเดียว

แหวนต้นกำเนิดของชายหนุ่มเปี่ยมไปด้วยส่วนแบ่งมากมาย อย่างไรแล้วเขาก็ได้เตรียมตัวมาเพื่ออะไรเช่นนี้ระหว่างการเดินทางมายังเขตแดนเผ่าปักษา เขาเพียงไม่คาดคิดว่ามันจะกลับกลายเป็นเช่นนี้

นอกจากนั้น ซูเฉินยังสามารถเมินเฉยต่อช่วงเวลานั้นไปได้อย่างง่ายดาย

ในปีที่ผ่านมานี้ ความเข้าใจของซูเฉินในกฎแห่งพลังได้เพิ่มขึ้นมากมาย โดยเฉพาะความเชี่ยวชาญของเขาในวิชาพลังสูญซึ่งได้รับการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพไปเรียบร้อยแล้ว ระยะเคลื่อนกายและระยะการรับรู้สูงสุดของเขาได้เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล

แต่ซูเฉินก็ยังไม่สามารถยืนยันการหยั่งรู้เหล่านี้ได้ หากเขาบังเอิญกระโดดออกไปจากพื้นที่ต้องห้ามนี้และไม่สามารถลบล้างผนึกของเค่อเหลยซีต๋าได้ เขาจะต้องพบกับปัญหาอันใหญ่หลวง

ด้วยเหตุนี้ ซูเฉินจึงไม่รู้ว่าจะรับมือกับข้อห้ามของเค่อเหลยซีต๋าได้อย่างไร

แต่อย่างไรก็ตาม ซูเฉินไม่ได้วางแผนที่จะหลบหนีออกมาด้วยกำลังตราบใดที่เขาไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่อับจนหนทาง

เขาไม่เต็มใจที่จะทำอย่างนั้นเช่นกัน

การมีปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับตำนานอยู่เคียงข้างนั้นสุดยอดเกินไป

นอกจากนั้น ทั้งสองยังสนับสนุนกันและกันได้อย่างดีเยี่ยม

ซูเฉินมีผลึกวิญญาณซึ่งมอบความสามารถในการวิเคราะห์ขั้นสุดยอดให้แก่เขา ในขณะเดียวกัน เค่อเหลยซีต๋าก็มีประสบการณ์ในฐานะปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับตำนาน ดังนั้นแล้วอีกฝ่ายจึงสามารถนำความคิดมากมายของซูเฉินมาสู้ความเป็นจริงได้

ทั้งสองคนเป็นคู่หูที่ดีทีเดียว

ด้วยเวลาที่ล่วงเลยไป เค่อเหลยซีต๋าได้ค้นพบว่าสถานะคอขวดของเขากำลังคลายออกอย่างรวดเร็วราวกับว่าเขากำลังจะบุกทะลวงด่านได้สำเร็จอีกครั้ง ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับตำนานทะลวงด่านอีกครั้ง พวกเขาคงจะยังเป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับตำนานอยู่และระดับขั้นของพวกเขาตงไม่เปลี่ยนแปลงไปมากนัก แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขาคงจะยังเพิ่มสูงขึ้นมากมาย

เมื่อแข็งแกร่งได้เท่ากับเค่อเหลยซีต๋าแล้ว การทะลวงด่านต่อไปจะนำมาสู่พละกำลังที่น่าเหลื่อเชื่อ ดังนั้นแล้วเค่อเหลยซีต๋าจึงมีความหวังต่อซูเฉินเป็นอย่างมาก

“ข้าได้ทดลองหนึ่งในคำแนะนำของเจ้าเมื่อวาน เพื่อนนิรนาม การหักลดวายุแม่เหล็กไฟฟ้านั้นถูกต้อง แต่ยังมีปัญหาบางอย่างเกี่ยวกับการใช้งานมันอยู่…” เค่อเหลยซีต๋า ‘รายงาน’ ผลลัพธ์ของการทดลองของเขาให้แก่ซูเฉิน

ซูเฉินนั่งลงในถ้ำและจดสิ่งเหล่านั้นอย่างระมัดระวัง ถ้ำนี้เต็มไปด้วยสิ่งของจำเป็นในการใช้ชีวิต ส่วนมากนั้นมาจากเค่อเหลยซีต๋าที่มอบให้… ตราบใดที่พวกมันไม่สามารถช่วยให้ซูเฉินหลบหนีออกไปได้

ซูเฉินทำการหักลดข้อมูลอีกครั้งหลังจากที่เค่อเหลยซีต๋ารายงานผลให้แก่เขา ผลึกวิญญาณของเขาทำให้เขาสามารถคิดคำนวณได้รวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ ซูเฉินจึงสามารถคิดค้นทิศทางต่อไปให้เค่อเหลยซีต๋าทดลองได้เสมอ

ตลอดทั้งกระบวนการนี้ ซูเฉินไม่บอกเค่อเหลยซีต๋าเกี่ยวกับการพิจารณาทั้งหมดของเขา เขาทิ้งข้อมูลบางส่วนไว้เพื่อศึกษาเองในการทดลองภายหลัง ในขณะเดียวกัน เค่อเหลยซีต๋าก็ไม่บอกซูเฉินถึงผลลัพธ์ทั้งหมดจากการทดลองของเขา ทั้งสองฝ่ายต่างก็เก็บงำความลับบางอย่างไว้กับตัวเอง แต่ก็ทำในวิธีการที่จะไม่ส่งผลต่อการทำงานของอีกฝ่าย

เมื่อเป็นเช่นนั้น ซูเฉินก็ถือว่ากำลังเก็บซ่อนความลับมากกว่าเค่อเหลยซีต๋าในทางกลับกัน

ไม่ใช่ว่าเค่อเหลยซีต๋าเป็นคนดีกว่า เค่อเหลยซีต๋าเพียงเชื่อมั่นว่าซูเฉินไม่สามารถหลบหนีไปได้อย่างแน่นอน จึงไม่มีเหตุผลมากนักที่จะเก็บความลับมากเกินไป การเก็บความลับของเขานั้นส่วนมากก็เพื่อให้เขามีความชอบธรรมในการระมัดระวังตัว ซึ่งเป็นนิสัยหนึ่งของเขาในแง่หนึ่ง และไม่ใช่เพราะเขารู้สึกว่าเขาจำเป็นต้องทำ มีบางครั้งที่เค่อเหลยซีต๋าเก็บงำข้อมูลบางอย่างไว้ในตอนแรกก่อนจะมอบให้กับซูเฉินในภายหลังอยู่ดี

เมื่อซูเฉินได้ฟังรายงานจากเค่อเหลยซีต๋า เขาก็หยุดนิ่งลงครู่หนึ่งขณะที่ตกตะกอนจากสิ่งที่ได้ยินจากนั้นจึงพูดขึ้น “ก็ได้ ข้าเข้าใจแล้ว มันคล้ายกับที่ข้าจินตนาการไว้ทีเดียว ข้าจะเปลี่ยนวิธีการใช้มันทีหลัง”

เค่อเหลยซีต๋าไม่มีคำถามใดต่อเรื่องนี้ ระยะเวลา 1 ปีนั้นยิ่งกว่าเพียงพอที่เขาจะได้เข้าใจคู่ต่อสู้นิรนามของเขาคนนี้

แต่เขาก็ไม่ได้จากไปในทันที เขากลับพูดว่า “สหายนิรนาม เวลา 1 ปีผ่านพ้นไปแล้ว เจ้ายังมีเสบียงเหลืออีกเท่าไหร่ ? ต้องการให้ช่วยนำบางส่วนมาเพิ่มเติมไหม ?”

“ข้ามีเหลืออยู่ไม่มากแต่ข้าไม่สนใจสิ่งที่ท่านจะให้ข้า ข้าไม่กล้าเอาสิ่งนั้นใส่ปากข้าหรอก” ซูเฉินขำคิกคัก

เค่อเหลยซีต๋าถอนหายใจ “สหาย ทำไมเจ้ายังยืนกรานจะเป็นเช่นนั้นล่ะ ? เจ้าได้ทำมากกว่าพิสูจน์คุณค่าของเจ้าต่อข้าในปีที่ผ่านมาเสียอีก ข้าสามารถสัญญากับเจ้าได้ว่าข้าจะไม่ฆ่าเจ้า ที่จริงแล้วข้าจะทำให้เจ้าเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ของข้า……”

“แต่ข้าจะไม่มีทางได้รับอนุญาตให้ไปไหนอีกถูกไหม ?” ซูเฉินโต้กลับ

เค่อเหลยซีต๋าเงียบกริบ

ใช่ ความต้องการที่จะสังหารซูเฉินของเค่อเหลยซีต๋าได้ลดลงมากมายหลังจากที่ซูเฉินได้แสดงถึงคุณค่าของเขา แต่การจะปล่อยซูเฉินไปเฉย ๆ นั้น…… เค่อเหลยซีต๋ายอมสังหารเขาเสียยังดีกว่า

หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ทำได้เพียงกล่าวขึ้น “เจ้าหนีไปไหนไม่ได้หรอก”

เขาได้พูดสิ่งนี้มาหลายต่อหลายครั้งแล้วในปีที่ผ่านมา และทุก ๆ ครั้งซูเฉินจะตอบว่า “ข้าหนีได้”

เค่อเหลยซีต๋าหัวเราะและไม่ได้กล่าวอะไรอีก

เขาจากไป

ถึงอย่างนั้นเขาก็ทิ้งสัญลักษณ์ไว้ในพื้นที่ ทันทีที่ซูเฉินก้าวออกจากพื้นที่จำกัดนี้ เขาจะรู้ได้ในทันที ซูเฉินจะไม่มีโอกาสในการในการตามหาพื้นที่ต้องห้ามอื่น ๆ ในการหลบซ่อน

ซูเฉินไม่ได้รีบร้อนแต่อย่างใด

เขายังคงทำการวิจัยต่อไปและพูดคุยกับคนอื่น ๆ

ใช่ พูดคุยกับคนอื่น ๆ

เค่อเหลยซีต๋าผิดพลาดอย่างมหันต์ตั้งแต่แรกเริ่ม เขาเพียงแค่จำกัดการเคลื่อนไหวของซูเฉินแต่ไม่ใช่ความสามารถในการสื่อสารระยะไกลกับผู้อื่นของเขา

ผ้าเท่อลั่วเค่อ !

ตอนนี้ผ้าเท่อลั่วเค่อนั้นอยู่ในหุ่นเชิดสื่อสารโบราณที่ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีและสามารถสื่อสารผ่านระยะทางที่แทบจะไม่จำกัด

ซูเฉินได้ใช้ผ้าเท่อลั่วเค่อในการส่งข้อความเกี่ยวกับแดนลับของอวี้ชิงหลาน

ดังนั้นแล้ว นิกายไร้ขอบเขตจึงได้พบเมื่อราว 1 ปีก่อนว่าซูเฉินถูกจับเป็นเชลย

พวกเขาไม่ได้รีบรุดมาที่นี่อย่างบุ่มบ่ามเพราะเขาพันพิษนั้นเป็นอาณาเขตที่ไม่เป็นมิตรและส่วนหนึ่งเพราะซูเฉินได้สั่งไม่ให้พวกเขาตามมา ชายหนุ่มเพียงต้องการให้คนเหล่านั้นให้ความร่วมมือกับคำสั่งของเขาจากภายใน

“วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง ?” ผ้าเท่อลั่วเค่อสอบถาม

“เค่อเหลยซีต๋ายืนยันทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้าของข้าแล้ว ข้าก็สามารถยืนยันได้แล้วว่ากฎแห่งพลังนี้มักจะโกลาหลโดยธรรมชาติ มันลึกซึ้งยิ่งกว่าพลังชนิดไหน ๆ ที่ข้าเคยพบเสียอีก และมันยังทรงพลังและดุร้ายอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะไม่สามารถเริ่มเข้าใจมันได้” ซูเฉินตอบ

“เป็นไปไม่ได้” ผ้าเท่อลั่วเค่อตอกกลับ “กฎแห่งพลังสามารถหยั่งรู้ได้จากการได้รับแรงบันดาลใจเท่านั้น ไม่ใช่การเข้าใจ”

“นั่นเป็นเพียงเพราะพวกเราไม่มีพื้นฐานมากพอที่เข้าใจมันต่างหากล่ะ” ซูเฉินโต้เถียงกลับไป “ระบบกฎแห่งพลังนั้นทรงพลังเป็นอย่างมากและผลของมันก็ยอดเยี่ยม ซึ่งก็เป็นเหตุผลที่สามารถควบคุมมันได้ยากยิ่งนัก แต่หากเจ้าทำสำเร็จ เจ้าจะทรงพลังอย่างถึงที่สุด”

หลังจาก 1 ปีแห่งการวิจัย ความเข้าใจของซูเฉินในกฎแห่งพลังก็ได้มาถึงระดับหนึ่งในที่สุด พลังต้นกำเนิดนั้นเหมือนกับเงินตรา เมื่อเราได้เงินมาจำนวนหนึ่ง เราก็สามารถใช้มันในการประกอบธุรกิจและส่งผลต่อเงินทองของคนอื่น ๆ ทำให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ขึ้น ปฏิกิริยาลูกโซ่นี้ส่งผลให้เกิดวิชาอาร์คาน่าหรือทักษะต้นกำเนิดที่ต้องการขึ้นมา

แต่กฎแห่งพลังนั้นแตกต่างออกไป มันลึกซึ้งและกว้างขวางยิ่งกว่า

กฎแห่งพลังนั้นเหมือนกับเครื่องมือกลไกที่ซับซ้อนเสียมากกว่า การเชี่ยวชาญเพียงองค์ประกอบเดียวนั้นไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง กลับกัน เราจำเป็นต้องควบคุมตำแหน่งหลักบางจุด อย่างเช่น ตัวเปิดปิดพลัง บานพับ และพื้นที่อื่น ๆ ก่อนที่จะสามารถควบคุมทั้งเครื่องมือนั้นได้

แต่การอุปมานี้ยังไม่สมบูรณ์แบบ ซูเฉินสามารถคาดเดาข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งได้จากเค่อเหลยซีต๋า นั่นก็คือกฎแห่งพลังและพลังต้นกำเนิดยังคงเชื่อมต่อกันโดยตรง

การเชื่อมถึงกันนี้มีต้นกำเนิดมาจากการที่ความเชี่ยวชาญในพลังต้นกำเนิดของบุคคลจำเป็นต้องไปถึงยังระดับหนึ่งก่อนที่พวกเขาจะสามารถเริ่มได้รับอิทธิพลจากกฎแห่งพลัง

นี่คือเหตุผลที่การจะหยั่งรู้ถึงกฎแห่งพลังนั้นเกี่ยวข้องกับระดับพลังของคนคนหนึ่งไม่น้อยทีเดียว

คนผู้นั้นจะต้องเชี่ยวชาญในบางสิ่งจนถึงขีดสุด ไม่ว่ามันจะเป็นสิ่งใดก็ตาม

ขีดจำกัดความแข็งแกร่ง ขีดจำกัดธาตุ หรือกระทั่งขีดจำกัดการบ่มเพาะ ล้วนเป็นเช่นนั้นทั้งสิ้น

เค่อเหลยซีต๋าได้ไปถึงยังจุดสูงสุดของความเข้าใจในสายฟ้าซึ่งเป็นวิธีการที่เขาได้รับแรงบันดาลใจเกี่ยวกับกฎแห่งพลังสายฟ้าและสามารถควบคุมกระแสเสียงได้ ข้อแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดระหว่างกฎแห่งพลังและพลังต้นกำเนิดคือสิ่งแรกนั้นเกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณของบุคคล และจะถูกกระตุ้นขึ้นโดยจิตวิญญาณของผู้นั้นเท่านั้น

หากจะพูดง่าย ๆ สิ่งจำพวกเดียวกับทักษะต้นกำเนิดและวิชาอาร์คาน่าล้วนมีรูปแบบที่ตายตัว หากผู้ใดต้องการที่จะปลดปล่อยพายุฝนฟ้าคะนอง พวกเขาจะต้องเลือกอักขระพลังต้นกำเนิดที่สอดคล้องกันเสียก่อน มันเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้อักขระวิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายในการปลดปล่อยพายุฝนฟ้าคะนอง พรสวรรค์ขอคนคนหนึ่งจะส่งผลเพียงแค่ความเร็วที่ในประกอบอักขระเหล่านี้ขึ้นมาเท่านั้น แต่อักขระเหล่านั้นจะไม่เปลี่ยนแปลงไป

แต่กฎแห่งพลังนั้นต่างออกไป อย่างไรแล้วมันก็เชื่อฟังจิตวิญญาณ ดังนั้นแล้วเมื่อคนคนหนึ่งควบคุมกฎแห่งพลัง พวกเขาจะสามารถใช้พลังนั้นได้ในความคิดเดียวเท่านั้น อักขระพลังต้นกำเนิดนั้นไร้ความหมายไปในทันทีเมื่อเผชิญหน้ากับหลักการเหล่านี้

แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะสามารถทำได้ตามใจชอบเสมอไป กฎเหล่านั้นมีลักษณะที่สอดคล้องกันเอง ยกตัวอย่างเช่น กฎแห่งพลังสายฟ้าทำให้เขาสามารถควบคุมเสียงได้ตามต้องการ แต่ไม่ใช่สิ่งอื่น ๆ

และการจะทำเช่นนั้นได้จำเป็นจะต้องมีความเชี่ยวชาญในพลังต้นกำเนิดบางประเภทเสียก่อน

ดังนั้น การบอกว่าพลังต้นกำเนิดคือพื้นฐานของกฎแห่งพลังก็ไม่ผิดแต่อย่างใด

ปัญหาคือช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างการเชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดประเภทหนึ่งและการได้รับแรงบันดาลใจ… ช่องว่างนี้ไม่สามารถถูกปิดผนึกได้ด้วยการบ่มเพาะ มันจำเป็นต้องใช้ความหยั่งรู้ซึ่งมาจากแรงบันดาลใจ ตามมาด้วยการเรียนรู้วิธีการควบคุมกฎแห่งพลัง

กระบวนการนี้แทบจะพึ่งพาได้เพียงพรจากสวรรค์เท่านั้น

ว่าง่าย ๆ คือมันขึ้นอยู่กับลักษณะนั่นเอง

นี่เป็นข้อแตกต่างอันใหญ่หลวงระหว่างเค่อเหลยซีต๋าและซูเฉิน ซูเฉินเชื่อว่าสิ่งนี้อาจไม่เป็นความจริง จะต้องมีเส้นทางที่เชื่อมต่อการเชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดสักชนิดและการได้รับแรงบันดาลใจเข้าด้วยกันอยู่อย่างแน่นอน

ทั้งสองได้โต้เถียงเรื่องนี้กันมาพักใหญ่แล้ว

เค่อเหลยซีต๋าผู้ได้รับแรงบันดาลใจมาแล้วครั้งหนึ่ง ไม่อาจเข้าใจได้ว่าทำไมเพื่อนนิรนามของเขาผู้ครอบครองกฎแห่งพลังเช่นกันคนนี้จึงยืนยันว่ากฎแห่งพลังนั้นสามารถถูกคำนวณได้

เค่อเหลยซีต๋าเชื่อว่ากฎแห่งพลังถูกประทานมาให้โดยสรวงสวรรค์ ความรู้แห่งความแข็งแกร่งของแต่ละบุคคลและการมอบอำนาจให้ระดับหนึ่ง

นี่ยังเป็นสิ่งที่คนส่วนมากผู้ได้รับแรงบันดาลใจเชื่อถือเช่นกัน

กฎแห่งพลัง ตามชื่อของมัน คือเกี่ยวข้องกับหลักการพื้นฐานที่ปกครองโลกใบนี้ !

การควบคุมพลังเช่นนี้นั้นเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เช่นเดียวกันกับการเชี่ยวชาญในหลักการทำงานของธาตุนั้น ๆ …นี่คือความสำเร็จที่เป็นไปได้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด !

กระบวนการเช่นนั้นถูกคำนวณ วิเคราะห์ หรือวิจัยได้อย่างไรกัน ?

ไม่ ! มันถูกประทานมาโดยสรวงสวรรค์

เค่อเหลยซีต๋าไม่ได้ต้องการให้ซูเฉินวิเคราะห์วิธีการตามหาแรงบันดาลใจ แต่เป็นวิธีการ ‘ปลอบโยน’ สรวงสวรรค์และได้รับมาซึ่งแรงบันดาลที่มากขึ้น

แต่ซูเฉินก็ไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจน

เขาเชื่อมั่นว่ากฎแห่งพลังสามารถได้รับมาด้วยวิธีการที่เป็นระบบ

เหตุผลเดียวที่ผู้คนไม่สามารถทำเช่นนี้ได้มาก่อนเป็นเพราะว่างานวิจัยของพวกเขานั้นยังไม่ลึกพอ

เมื่อเป็นเช่นนั้น กระทั่งผ้าเท่อลั่วเค่อก็รู้สึกว่าซูเฉินได้เสียสติไปแล้วเล็กน้อย

เขาถอนหายใจ “กฎแห่งพลังเป็นพลังแห่งธรรมชาติ หากเจ้าต้องการคำนวณมัน เจ้าจะต้องสามารถคำนวณกฎพื้นฐานของโลกใบนี้ด้วย”

ซูเฉินตอบ “เจ้าพูดถูกที่ว่ามันจะไม่ง่ายดาย แต่เพียงเพราะมันไม่ง่ายไม่ได้หมายความว่ามันเป็นไปไม่ได้ จริงไหม ?”

ผ้าเท่อลั่วเค่อพูดไม่ออกไปในทันที

ใช่แล้ว ไม่ง่ายก็หมายถึงสิ่งที่ต่างจากเป็นไปไม่ได้

ซูเฉินกล่าว “ความแตกต่างระหว่างพลังต้นกำเนิดและกฎแห่งพลังคือความแตกต่างระหว่างระบบที่มีความเข้าใจเป็นอย่างดีและอีกระบบที่ไม่เข้าใจ ในการสำรวจปริศนานี้เจ้าจำเป็นต้องยืนอยู่บนจุดสูงสุดของสิ่งที่รู้อยู่แล้ว นี่เป็นเครื่องเตือนความจำจากดินแดนที่เรากำลังอาศัยอยู่ เมื่อเจ้ามีความเชี่ยวชาญในระดับหนึ่งแล้ว เจ้าก็จะสามารถเริ่มทดลองทำความเข้าใจมันและคาดเดาพฤติกรรมของมัน ดังนั้นแล้วเราจึงไม่ควรเกรงกลัวต่ออนาคตที่กว้างใหญ่และไม่ชัดเจน สิ่งที่พวกเราต้องทำคือเดินหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งต่างหากล่ะ……”