หลังจากที่แวมไพร์ทั้งสองตนออกจากห้องศิลาไปแล้วหลิงหยุนก็ซัดฝ่ามือของตนใส่ปุ่มหินบนประตู ประตูศิลาจึงค่อยๆปิดลงอย่างช้าๆ
หลิงหยุนทำการกลางผ้าแพรสีเหลืองทองนี้ไว้บนโลงศพด้วยท่าทีระมัดระวังและเคารพนบนอบ จากนั้นเขาก็คุกเข่าลงข้างเย่ซิงเฉินทันที สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่ตัวอักษรสามตัวสุดท้ายด้วยความเคารพยิ่ง ก่อนจะโขกศรีษะลงกับพื้นทำการคาราวะถึงสามครั้ง
อย่าว่าแต่หยินจิ่วโย่วจะเป็นบรรพชนของหยินชิงเฉวียนเลยเพราะเพียงแค่เห็นกระบี่โลหิตเทวะ กระบี่มังกรขาว และโอสถชั้นเลิศทั้งสามขวดนั้น หลิงหยุนก็ต้องทำการโขกศรีษะคาราวะแล้ว
การที่เย่ซิงเฉินแสดงท่าทีนอบน้อมเคารพต่อหน้าโลงศพอย่างมากเช่นนี้เพราะไม่เพียงหยินจิ่วโย่วจะเป็นบรรพชนของหยินชิงเฉวียนเท่านั้น แต่นางยังล่วงรู้ฐานะทีแท้จริงของผู้ที่เขียนผ้าแพรคำบัญชาเลือดนี้ด้วยว่า แท้ที่จริงคนผู้นี้ก็คือปรมาจารย์แห่งพรรคมารตั้งแต่สมัยราชวงศ์เหนือ-ใต้นั่นเอง!
และนางในฐานะธิดาพรรคมารย่อมต้องคุกเข่าคาราวะ และโขกศรีษะให้ด้วยความเคารพยิ่ง!
หลังจากทำการโขกศรีษะคาราวะแล้วทั้งหลิงหยุนและเย่ซิงเฉินต่างก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับหันไปมองหน้ากันครู่หนึ่งด้วยความตื่นตระหนกอย่างที่สุด เพราะความจริงที่พบในครั้งนี้เป็นเรื่องที่ทำให้ทั้งคู่ถึงกับต้องตกใจอย่างมาก!
แต่หาใช่เรื่องสมบัติล้ำค่าที่พบเจอไม่สิ่งนั้นเป็นเพียงแค่เรื่องรอง แต่ทั้งคู่ตกใจกับฐานะที่แท้จริงของหยินจิ่วโย่วซึ่งเป็นถึงปรมาจารย์ของพรรคารที่เพิ่งถูกเปิดเผยต่างหากเล่า!
หยินจิ่วโย่วไม่เพียงเกี่ยวข้องกับพรรคมารแต่เขายังเกี่ยวพันถึงราชวงศ์ชางอีกด้วย และดูเหมือนว่าฐานะของเขาน่าจะเกี่ยวข้องกับจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ชางด้วย มิเช่นนั้นคงไม่เขียนคำบัญชาที่ดูราวกับราชโองการเช่นนี้แน่!
หลิงหยุนพลันฉุกคิดได้ว่าความลับเรื่องนี้เป็นประโยชน์กับตนอย่างมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวอักษรสามคำสุดท้าย – หยินจิ่วโย่ว!
และประโยคสำคัญที่สุดก็คือ..
‘หลังจากที่เจ้าฝึกฝนจนสำเร็จแล้วจงเข้าคุนหลุนหาจิ่วติ่ง (九鼎) ให้พบ และแก้แค้นให้แทนข้าด้วย!’
ประโยคนี้ยิ่งย้ำว่าคุนหลุนคือผู้ที่อยู่เหนือเรื่องราวทั้งหมด คุนหลุนไม่เพียงเป็นศัตรูของตระกูลหลิงเท่านั้น แต่ยังพัวพันถึงราชวงศ์ชางอีกด้วย และในคำสั่งประโยคนี้ก็ยังพูดถึงเรื่องจิ่วติ่ง (九鼎) อีกด้วย..
หาจิ่วติ่งในคุนหลุนอย่างนั้นหรือ และแน่นอนว่าถึงแม้หลิงหยุนจะไม่รู้ว่าจิ่วติ่งที่หยินจิ่วโย่วเขียนไว้ในผ้าแพรเหลืองทองนั้นคือสิ่งใดกันแน่ แต่เขาก็เชื่ออย่างยิ่งว่ามันจะต้องเป็นสิ่งของที่สำคัญยิ่งนัก!
……
ตามตำนานโบร่ำโบราณเล่าขานกันว่าหลังจากที่พระเจ้าเซี่ยอวี่สามารถทำการควบคุมน้ำได้สำเร็จ จึงได้รับสั่งให้หล่อกระถางธูปทองคำขนาดใหญ่มีขาตั้งสี่ขาขึ้นมาเก้าใบ จึงได้เรียกว่าจิ่วติ่ง และได้สลักรูปนกแปลกๆ สัตว์ต่างๆ เทพ และปีศาจหลากหลายที่เขาพบเจอในช่วงที่กำลังมุ่งมั่นทำงานเพื่อหาทางควบคุมน้ำนั้นไว้รอบจิ่วติ่งอีกด้วย
ว่ากันว่าในระหว่างที่พระเจ้าเซี่ยอวี่ทำการหล่อกระถางธูปทองคำขนาดใหญ่ทั้งเก้าใบนั้นก็จะมีปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติเกิดขึ้นถึงเก้าครั้ง และในครั้งสุดท้ายนั้น มีคนพบเห็นเทพไท่ไป่จินซินปรากฏตัวอยู่เหนือท้องฟ้าโยนกระถางธูปทั้งเก้าใบลงมา
หลังจากหลอมกระถางธูปทั้งเก้าใบสำเร็จซึ่งเป็นกระถางหยางหกใบ และกระถางหยินสามใบ จึงได้สั่งให้แจกจ่ายไปตามหัวเมืองทั้งเก้าแห่ง
หลังจากที่ราชวงศ์เวชเซี่ยล่มสลายก็เข้าสู่ราชวงศ์ชางและจิ่วติ่งก็ได้ถูกย้ายไปที่เมืองหลวงของราชวงศ์ชาง และเมื่อราชวงศ์ชางถูกทำลาย จิ่วติ่งก็ได้ถูกย้ายไปยังเมืองหลวงของราชวงศ์โจว จนกระทั่งพระเจ้าโจวเฉินได้ย้ายเมืองหลวงไปลั่วหยาง ก็ได้นำจิ่วติ่งไปด้วย
จนกระทั่งยุคสมัยของพระเจ้าฉินจ้าวเซียงหวางแห่งราชวงศ์ฉินก็ได้ย้ายจิ่วติ่งนี้ไปที่เมืองหลวงของตน และหลังจากสิ้นสุดราชวงศ์ฉิน จิ่วติ่งก็ได้หายไปและไม่มีผู้ใดได้พบเห็นอีกเลยหลังจากนั้น
นับแต่นั้นมาก็มีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับกระถางธูปทองคำทั้งเก้าใบคนรุ่นหลังๆต่างก็ร่ำลือว่าจิ๋นซีฮ่องเต้ได้นำจิ่วติ่งไปหลอมเป็นมนุษย์ทองคำ แต่บ้างก็ว่าไม่ใช่เป็นทองคำจากจิ่วติ่งนี้.. บ้างก็เล่าว่าจิ๋นซีฮ่องเต้ได้จิ่วติ่งไปไว้ในสุสานของตนเพื่อให้จิ่วติ่งทำหน้าที่คุ้มครองสุสาน ปกป้องราชวงศ์ฉินไม่ให้ล่มสลาย และเป็นนิรันด์ แต่ทั้งหมดล้วนเป็นเพียงแค่คำร่ำลือ..
แต่ไม่ว่าจะร่ำลือเช่นใดการหายไปของจิ่วติ่งก็ล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับจิ๋นซีฮ่องเต้ทั้งสิ้น!
ส่วนในคำบัญชาของหยินจิ่วโย่วก็มีคำสั่งหนักแน่นว่า‘เข้าคุนหลุนหาจิ่วติ่ง’ เช่นนั้นแล้วจิ่วติ่งอยู่ที่คุนหลุน หรืออยู่ที่สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้กันแน่
และเมื่อสี่สิบปีก่อนที่อาวุโสตระกูลหลิงเดินทางไปคุนหลุนส่วนอาวุโสตระกูลฉินเดินทางไปสุสานจิ๋นซีนั้น จะเกี่ยวข้องกับเรื่องจิ่วติ่งหรือไม่
หลิงหยุนรู้สึกสับสนอย่างมากแต่ก็ไม่สามารถใคร่ครวญออกมาได้..
แต่ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด..ทั้งสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้และคุนหลุน ล้วนแล้วแต่เป็นสถานที่ที่หลิงหยุนจะต้องการไปทั้งคู่ ในเมื่อไม่มีร่องรอยให้สามารถครุ่นคิดได้ หลิงหยุนจึงไม่ต้องการเสียงเวลาคิดอะไรอีก รอเพียงแค่ไปสำรวจด้วยตัวเองเท่านั้น..
จากนั้นหลิงหยุนก็เดินเข้าไปใกล้โลงศพและได้เรียกผ้าแพรสีเหลืองทองเข้าไปเก็บไว้ในแหวนจักรวาลของตน จากนั้นจึงทำการปิดฝาโลงโลหะทั้งสอง แล้วเรียกเข้าไปเก็บไว้ในแหวนของตนอีกเช่นกัน
และเวลานี้ภายในห้องศิลาจึงเหลือเพียงแค่พื้นที่โล่ง..
‘นับว่าโชคดีที่ข้ากลับลงมาสำรวจอีกครั้งไม่เช่นนั้น…”
หลิงหยุนแทบไม่อยากคิดเพราะเขาเชื่อว่าหากหลงเทียนซิน และหลงเทียนฟางมาที่นี่เพื่อนำหินมังกรเขียวกลับไปแล้วล่ะก็ พวกเขาคงต้องทำการสำรวจใต้หลุมยักษ์แห่งนี้อย่างละเอียดแน่ สมบัติล้ำค่าและความลับต่างๆภายในโลงศพ ก็จะต้องตกไปอยู่ในมือของตระกูลหลงอย่างแน่นอน เย่ซิงเฉินพึมพำออกมาด้วยความประหลาดใจ“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าท่านอาจารย์จะกลายเป็นทายาทของราชวงศ์ชาง นี่มันคือเรื่องจริงใช่หรือไม่!”
เมื่อหลิงหยุนได้ยินเช่นนี้เขาจึงรู้ได้ทันทีว่า แม่ของตนคงไม่ได้บอกความลับเรื่องนี้ให้กับเย่ซิงเฉินฟัง เขายิ้มออกมาเล็กน้อย จากนั้นจึงถามเย่ซิงเฉินไปว่า
“ซิงเฉินเจ้ารู้เรื่องเกี่ยวกับอาวุโสหยินจิ่วโย่วมากเพียงใด”
เย่ซิงเฉินเล่าให้หลิงหยุนฟังทันที“ตามคัมภีร์พรรคมารที่ข้าเคยอ่านมา และจากที่ท่านอาจารย์เล่าให้ข้าฟังนั้น อาวุโสหยินจิ่วโย่วผู้นี้อยู่ในยุคสมัยราชวงศ์เหนือใต้ และครั้งนั้นพรรคมารก็ยังมิได้ถูกเรียกขานว่าพรรคมาร แต่ผู้คนรู้จักในนามประตูเทพ”
“หยินจิ่วโย่วคือผู้ก่อตั้งประตูเทพอาวุธที่เขาใช้ในเวลานั้นคือกระบี่โลหิตแดนใต้ แต่ในสมัยราชวงศ์เหนือใต้นั้น พุทธศาสนารุ่งเรืองในประเทศจีนอย่างมาก และผู้ที่เรียกขานประตูเทพว่าพรรคมารเป็นกลุ่มแรกนั้นก็คือบรรดาหลวงจีนในพุทธศาสนา”
ในยุคสมัยราชวงศ์เหนือใต้นั้นมีวัดวาอารามอยู่ถึงสี่ร้อยแปดสิบแห่งเลยทีเดียว..
หลิงหยุนก็พอรู้ประวัติศาสตร์มาบ้างจึงรู้ว่าในสมัยราชวงศ์เหนือใต้นั้น เป็นยุคที่พุทธศาสนารุ่งเรืองอย่างมาก และเป็นเรื่องปกติที่เมื่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดรุ่งเรืองอย่างมาก ก็มักจะบดขยี้อีกสิ่งหนึ่งเป็นธรรมดา และประตูเทพเองก็หนีไม่พ้นกฏธรรมชาติข้อนี้เช่นกัน
“เมื่อถูกกลุ่มหลวงจีนในพุทธศาสนากล่าวหาประตูเทพเป็นพรรคมารเช่นนี้อาวุโสหยินจิ่วโย่วจึงได้เดินทางไปยังราชวงศ์ใต้ และสังหารเหล่าหลวงจีนในพุทธศาสนาตายไปมากมาย หนึ่งในหลวงจีนที่เป็นถึงปรมาจารย์แห่งพุทธศาสนา และอาวุโสหยินจิ่วโย่ว ได้ต่อสู้กันมาจนถึงเมืองจิงฉูแห่งนี้ ก่อนจะหายตัวไปด้วยกันทั้งคู่…”
หรือเมืองจิงฉูนั้นแท้ที่จริงแล้วก็คือเขตแดนของราชวงศ์ใต้อีกทั้งยังเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในดินแดนของราชวงศ์ใต้ในยุคนั้น?
และดูเหมือนว่าครั้งนี้หลิงหยุนจะได้ปริศนาใหม่ให้ค้นหาอีกแล้วและเป็นปริศนาที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่งด้วย..
คุนหลุนจิ่วติ่ง ราชวงศ์ชาง และร่างของหยินจิ่วโย่ และฐานะที่แท้จริงของหลวงจีนกายเพชร…
เวลานี้หลิงหยุนได้รู้แล้วว่าผู้ที่อยู่ในโลงศพสัมฤทธิ์และหลวงจีนกายเพชรต่างก็เป็นคู่ต่อสู้กันและดูเหมือนว่ากระบี่โลหิตเทวะในมือของหยินจิ่วโย่ว คงจะสามารถทำร้ายหลวงจีนกายเพชรได้ เขาจึงได้มรณภาพในท่านั่งขัดสมาธิเช่นนั้น
แต่หากหยินจิ่วโย่วเสียชีวิตพร้อมกันในครานั้นร่างของเขาก็ควรต้องอยู่ไม่ห่างจากร่างของหลวงจีนกายเพชรมากนัก..
“ซิงเฉินเดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปพบกับคู่ต่อสู้ของอาวุโสหยินจิ่วโย่ว ร่างของเขาอยู่ที่เขตดวงตาค่ายกลหยาง” ในเมื่อความลับทั้งหมดก็ถูกเปิดเผยแล้วสมบัติล้ำค่าภายในห้องศิลานี้ก็ถูกเขาเก็บเข้าไปจนหมดแล้ว อยู่ภายในห้องนี้ต่อไปก็คงไม่มีความหมายอะไร
หลิงหยุนเปิดประตูศิลาและเดินนำเย่ซิงเฉินออกไป แต่ไม่ลืมที่จะปิดประตูห้องกลับไปดังเดิม จากนั้นทั้งสี่คนก็เดินออกไปจากถ้ำหินแห่งนั้น
หลิงหยุนเดินไปตามเส้นทางเดิมที่เคยมาและเดินไปต่ออีกราวครึ่งชั่วโมงเป็นระยะทางกว่าหนึ่งร้อยเมตร ในที่สุดทั้งหมดก็ไปถึงบริเวณด้านท้ายของถ้ำหินแห่งนั้น ซึ่งมีแม่น้ำที่กว้างกว่าหนึ่งร้อยเมตรสายหนึ่งไหลผ่าน
บริเวณนี้คือฐานของเขาหยกด้านใต้และดวงตาค่ายกลหยินนั้นก็อยู่ด้านหลังแม่น้ำสายนี้ ทันทีที่เข้าไปใกล้บริเวณนั้น อุณหภูมิก็ลดลงต่ำกว่าลบยี่สิบองศาเซลเซียสเลยทีเดียว ทำให้อากาศหนาวเหน็บอย่างมาก
“ธารน้ำแข็ง”เย่ซิงเฉินร้องอุทานออกมาเมื่อเห็นน้ำแข็งที่หนากว่าสามเมตรอยู่บนพื้นผิวของแม่น้ำ
หลิงหยุนจ้องมองสิ่งที่เกิดขึ้นและถึงกับพูดไม่ออก หากเขารู้ว่าถ้ำแห่งนี้จะหนาวเย็นจนกลายเป็นน้ำแข็งเช่นนี้ เขาคงไม่ต้องให้หลินเมิ่งหานไปฝึกวิชาถึงแคนาดาแน่..
หลิงหยุนกับคนอื่นๆพากันเหาะข้ามธารน้ำแข็งนั้นไป แล้วจึงเดินตรงเข้าไปยังถ้ำเล็กๆด้านหน้า
เมื่อเป็นเช่นนี้ทั้งหมดจึงได้เหาะข้ามธารน้ำแข็งนั้นไป ก่อนจะตรงเข้าไปยังถ้ำด้านหน้า
“โอ้..หนาวเย็นยิ่งนัก!”
แม้แต่เย่ซิงเฉินที่อยู่ในระดับสูงสุดขั้นซื่อเฉิงชี่(ขั้นพลังชี่-4) และฝึกดาราคุ้มกาย เมื่อเข้าไปด้านในยังสัมผัสได้ถึงไอเย็นยะเยือก
“หลังจากค่ายกลใหญ่ถูกทำลายไปแล้วพลังหยินที่อยู่ภายในถ้ำซึ่งเป็นดวงตาค่ายกลหยินแห่งนี้ จึงได้พวยพุ่งออกมาด้านนอก ทำให้บริเวณนี้อุณหภูมิลดลงจนกลายเป็นน้ำแข็งไปหมด” หลิงหยุนอธิบายให้เย่ซิงเฉินฟังพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างมีความสุขเพราะพลังหยินบริสุทธิ์มากมายเช่นนี้ เพียงพออย่างยิ่งที่จะช่วยให้เขาพัฒนาเข้าสู่ขั้นซื่อเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-4) ได้แน่..