เมื่อครุ่นคิดมาถึงตรงนี้ อาการเจ็บปวดแปลบๆ ภายในใจของซูจิ่นซีก็บรรเทาลงไม่น้อย ทั้งยังไม่ได้เจ็บปวดรุนแรงถึงเพียงนั้นแล้ว
“โยวอ๋อง พระชายาโยวอ๋อง เกรงว่าประตูโลหิตทมิฬนี้จะเปิดอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว พวกเรารีบเข้าไปกันเถิด! ” คุณชายฉู่กล่าว
เยี่ยโยวเหยาเช็ดคราบน้ำตาบนแก้มของซูจิ่นซี ก่อนจะจับมือนางก้าวเข้าไปในประตูโลหิตทมิฬ
ลำแสงนับหมื่นนับพันสาดส่องรุนแรงจนลืมตาไม่ขึ้น สถานการณ์ภายในประตูเป็นอย่างไร ไม่อาจมองได้ชัดเจน
ซูจิ่นซีใช้มือบังดวงตาทั้งสอง นางพยายามมองอยู่หลายครั้งกว่าจะมองเห็นว่าแสงนั้นมีจุดกำเนิดจากโต๊ะหินด้านใน
พื้นที่ด้านในกว้างใหญ่อย่างมาก ทว่ากลับเป็นพื้นที่ว่างเปล่า นอกจากโต๊ะหินที่อยู่ระยะไกลตัวนั้น ก็ดูเหมือนไม่มีอันใดอีกเลย
แสงสว่างส่องมาจากโต๊ะหิน นอกจากนั้น บนโต๊ะหินตัวนั้นยังมีเปลวเพลิงสว่างอยู่กองหนึ่ง
ทว่าพลังของเปลวเพลิงนั้นน้อยเกินไป และปะปนอยู่ท่ามกลางแสงสว่างเจิดจ้า ทำให้มองไม่ชัดเท่านั้นเอง
นับตั้งแต่พวกเขาเข้ามาในหุบเขาหลูเหว่ยแห่งนี้ และได้พบกับสิ่งที่เกี่ยวข้องกับดินแดนลึกลับเสวียนคง พวกเขาแทบไม่ห่างหายจากหายนะแห่งเปลวไฟ
ที่นี่มีเปลวไฟอีกแล้ว คือสิ่งใดกันแน่?
ซูจิ่นซีเหลือบมองเยี่ยโยวเหยา ใบหน้าของเขาสงบนิ่ง ไม่มีการแสดงออกใดๆ
ทั้งสองเดินจับมือกันเดินไปที่โต๊ะตัวนั้นอย่างเชื่องช้า โดยมีคุณชายฉู่เดินตามมาด้านหลังอย่างใกล้ชิด
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ทั้งสามพลันชะงักงันและหยุดฝีเท้า
เหนือกลุ่มเปลวเพลิงมีตัวอักษรลอยอยู่ คำพวกนั้นฉายอยู่บนโต๊ะหิน
ใช่แล้ว บนโต๊ะหินมีอักขระแกะสลักเคลือบทองอยู่จำนวนมาก ทว่าตัวอักษรเหล่านั้นกลับดูแปลกประหลาด ไม่ใช่ตัวอักษรแบบย่อที่ใช้ในยุคของซูจิ่นซี ไม่ใช่ตัวอักษรดั้งเดิมที่ใช้ในยุคนี้ และไม่ใช่อักขระที่ใช้ในยุคโบราณ
แบบอักษร… ดูคล้ายอักษรภาพ ทว่าไม่ใช่อักษรภาพโดยสมบูรณ์
คนทั้งสามแยกแยะอยู่เป็นเวลานาน แต่ยังดูไม่ออกว่าอักขระเหล่านั้นหมายความว่าอย่างไร
ที่นี่คือก้นบ่อจันทร์กระจ่าง เดิมทีเป็นสถานที่ในดินแดนลึกลับเสวียนคง สิ่งที่ปรากฏขึ้นที่นี่ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน
“คุณชายฉู่ ท่านไม่รู้หรือว่าสิ่งนี้คืออันใด? ” ซูจิ่นซีถามคุณชายฉู่ อย่างไรเสีย ดินแดนลึกลับเสวียนคงก็ปกป้องหุบเขาหลูเหว่ยมาช้านาน บางทีบรรพบุรุษสกุลฉู่อาจทิ้งคำใบ้อันใดไว้บ้าง
คุณชายฉู่ไตร่ตรองอย่างละเอียด พยายามทบทวนความทรงจำที่พอมีประโยชน์ ทว่าเขาไม่พบอันใดแม้แต่น้อย
เขาส่ายศีรษะอย่างเชื่องช้า “ไม่ บรรพบุรุษไม่เคยพูดถึงสิ่งนี้มาก่อน”
ผ่านไปชั่วครู่ คุณชายฉู่ก็กล่าวอีกครั้ง “ทว่าอักขระเหล่านี้… เหมือนเป็นการอธิบายเคล็ดวิชาอย่างหนึ่ง”
เคล็ดวิชา…
ซูจิ่นซีพยายามครุ่นคิดอย่างหนัก ผ่านไปครู่หนึ่งก็คิดอันใดไม่ออก ทันใดนั้น ดวงตาของนางก็ทอประกายสดใส และหันไปทางเยี่ยโยวเหยา
เวลานี้ ดวงตาดำขลับล้ำลึกของเยี่ยโยวเหยาก็ราวกับคิดอันใดออก เขามองมาทางนางด้วยสายตาเปล่งประกาย
ดวงตาสองคู่สอดประสาน ทันใดนั้น บางสิ่งที่ก้องกังวานก็ปะทุขึ้นมา แม้ไม่พูดอันใด ทว่าพวกเขาก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายมีความคิดเช่นเดียวกับตนเอง
ซูจิ่นซียื่นมือออกไปทางเยี่ยโยวเหยา เยี่ยโยวเหยาจึงวางทองคำลงบนฝ่ามือของซูจิ่นซี
“ระวังด้วย! ”
“อืม! ”
ซูจิ่นซีพยักหน้าด้วยแววตาแน่วแน่ นางเดินไปใกล้โต๊ะหินตัวนั้นอย่างเชื่องช้า และโยนทองคำลงไปบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง
‘เคร้ง… ’ แทบจะในทันทีที่ทองคำตกกระทบโต๊ะหิน เพียงพริบตาก็กลายเป็นผุยผง ไม่หลงเหลือสิ่งใดแม้แต่น้อย
ดวงตาของคุณชายฉู่เปล่งประกายด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความเหลือเชื่อ
ทองแท้ไม่กลัวไฟหลอม ทองเป็นสิ่งที่ไม่กลัวไฟแผดเผาที่สุด ทว่า… นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่?
เปลวไฟที่ลุกโชนอยู่บนโต๊ะหิน เผาทองคำนั้นจนไม่เหลือร่องรอย
หลังจากนั้น ดวงตาของซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาก็ทอประกายความปีติยินดี
ซูจิ่นซีเลิกคิ้วพลางยกแขนขึ้นกอดอกอย่างเชื่องช้า “ย่ำจนรองเท้าสึกไม่พบพาน ยามได้มากลับไม่ต้องออกแรงสักนิด ดูเหมือนว่าการเดินทางมาหุบเขาหลูเหว่ยครั้งนี้ไม่เสียเที่ยวจริงๆ ”
เยี่ยโยวเหยาค่อยๆ ไพล่มือไว้ด้านหลัง ใบหน้าปรากฏท่าทางแน่วแน่แห่งชัยชนะ
คุณชายฉู่ไม่ค่อยเข้าใจ “โยวอ๋อง พระชายาโยวอ๋อง นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่? ”
ซูจิ่นซีอธิบายอย่างอดทน “ไฟอมฤตเป็นเปลวเพลิงที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุด อย่างไรก็ตาม แม้จะแข็งแกร่งเพียงใดก็ไม่อาจเปลี่ยนทองเป็นผุยผงได้ ท่านลองคิดดูสิว่าบนโลกนี้ยังมีสิ่งใดที่สามารถเปลี่ยนสภาพทองได้? ”
คุณชายฉู่มีท่าทางสับสน สิ่งใดที่สามารถเปลี่ยนทองเป็นผุยผงได้… มีสิ่งของเช่นนี้ด้วยหรือ?
ทว่าเพียงชั่วครู่ ดวงตาของคุณชายฉู่พลันสว่างวาบ เขาเหลือบมองซูจิ่นซีอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น ก่อนจะมองไปที่เปลวไฟบนโต๊ะหิน “หรือว่า… หรือว่าจะเป็น… ”
ซูจิ่นซีพยักหน้าด้วยความมั่นใจอย่างมาก
“ทว่า… เป็นไปได้อย่างไร??? ”
อย่างไรเสีย เปลวไฟดวงนั้นดูอ่อนเล็กน้อยเมื่อปะปนกับแสงสว่างจ้า หากไม่แยกแยะอย่างละเอียดย่อมมองเห็นไม่ชัดเจน
ซูจิ่นซีแย้มยิ้มกว้างด้วยความดีใจ
“ถูกต้อง นี่เป็นวิชาการหล่อขึ้นรูปที่ถ่ายทอดโดยช่างสกุลต้วน แม้เปลวไฟจะดูอ่อนแอ ทว่าพลังของมันกลับไม่อ่อนแอ นอกจากนั้น สิ่งที่ร้ายกาจที่สุดของวิชาการหล่อขึ้นรูปไม่ใช่เปลวไฟ ทว่าเป็น… อักขระเหล่านั้น! ”
ต้องกล่าวว่า สิ่งที่ซูจิ่นซีพูดเป็นความจริง
แม้คุณชายฉู่ไม่เคยเห็นวิชาการหล่อขึ้นรูปด้วยตาตนเอง ทว่าเขาเคยได้ยินมาบ้าง ดูแล้ว อักขระบนโต๊ะหินเหล่านี้ ความจริงก็คือวิชาการหล่อขึ้นรูปอย่างไม่ต้องสงสัย
ก่อนหน้านี้ ซูจิ่นซีมีความคิดว่าจะรีบออกจากหุบเขาหลูเหว่ยเพื่อตามหาวิชาการหล่อขึ้นรูป ไม่คิดเลยว่าภายใต้อุปสรรคต่างๆ จะทำให้พวกเขาพบวิชาการหล่อขึ้นรูปในสถานการณ์เช่นนี้
เป็นจริงดั่งที่เยี่ยโยวเหยาเคยบอกมาก่อนหน้านี้ว่า เรื่องราวไม่ได้เป็นไปตามที่ปรารถนา เชื่อว่าโชคชะตาต้องมีการจัดเตรียมอย่างอื่น
ทันใดนั้น ดวงตาทอประกายของนางก็มองไปที่ใบหน้าของเยี่ยโยวเหยา
เยี่ยโยวเหยาเลิกคิ้ว “มองอันใด? ”
ซูจิ่นซีเม้มริมฝีปาก พลางเล่นหูเล่นตาเล็กน้อย ขณะที่เงยหน้ามองเยี่ยโยวเหยาอีกครั้ง ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยแสงไฟระยิบระยับ
“เยี่ยโยวเหยา บนหน้าท่านมีดวงดาว! ”
“หือ? ” เยี่ยโยวเหยาไม่เข้าใจว่าคำพูดของซูจิ่นซีหมายความว่าอย่างไร เขาจึงแสดงสีหน้างุนงง
ซูจิ่นซียื่นนิ้วเรียวยาวออกมาลูบไล้คิ้วและดวงตาของเยี่ยโยวเหยาอย่างแผ่วเบา
“ตรงนี้มีดวงดาวสว่างไสว ส่องประกายระยิบระยับ”
เยี่ยโยวเหยาตกตะลึงครู่หนี่ง เขาปล่อยให้ซูจิ่นซีลูบไล้อยู่อย่างนั้น ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “เช่นนั้นก็ดูให้พอใจ! ”
แน่นอนว่าคุณชายฉู่ไม่เข้าใจว่าซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยากำลังพูดอันใดกัน รหัสลับระหว่างสองสามีภรรยา… เกรงว่าคงมีเพียงพวกเขาที่เข้าใจ คนนอกไม่มีทางรู้เรื่องด้วย
ซูจิ่นซีแย้มยิ้มเล็กน้อยและดึงมือกลับ นางพลิกฝ่ามือพลางยกมือขึ้น กระถางหงส์สัมฤทธิ์ถูกอัญเชิญออกมาจากอาคมกำไลปี่อั้น และปรากฏอยู่ด้านข้างโต๊ะหิน
“กระถางหงส์สัมฤทธิ์? ”
คุณชายฉู่พลันตกตะลึง ตามตำนานเล่าว่า ภายในมหาวิหารธารามรกตมีความลึกลับมากมายนับไม่ถ้วนและอันตรายอย่างยิ่ง กระถางหงส์สัมฤทธิ์เป็นสมบัติของวิหารธารามรกต
ทว่านี่เป็นเพียงเรื่องเล่า ไม่มีผู้ใดเคยเห็นว่ามหาวิหารธารามรกตเป็นอย่างไร ยิ่งไม่มีผู้ใดรู้ว่ากระถางหงส์สัมฤทธิ์มีพลังเช่นไร ทว่าโชคดีที่คุณชายฉู่เคยเห็นในหนังสือมาก่อน
อย่างไรก็ตาม เขาคิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นกระถางหงส์สัมฤทธิ์กับตาตนเอง ทั้งยังอยู่ใกล้ตนเองเช่นนี้