ซูจิ่นซี เยี่ยโยวเหยา คุณชายฉู่ ทั้งสามคนร่วมมือกันเพื่อให้วิชาการหล่อขึ้นรูปเข้ากับกระถางหงส์สัมฤทธิ์
ทันใดนั้น ทั้งห้องก็มืดลง แสงจันทร์จากด้านนอกประตูโลหิตทมิฬส่องสว่างเป็นพิเศษ ประตูโลหิตทมิฬค่อยๆ ปิดลงอย่างเชื่องช้า เป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุด
“โยวอ๋อง พระชายาโยวอ๋อง เหลือเวลาไม่มากแล้ว”
ซูจิ่นซีพยักหน้า และทั้งสามก็รีบจากไปอย่างรวดเร็ว
ทั้งสามคนลงมาจากยอดเขา เมื่อกลับมาถึงจวนเจ้าหุบเขาก็เป็นเวลาหลังเที่ยงคืนแล้ว ต่างคนต่างพักผ่อนโดยไม่ได้พูดสิ่งใด
ณ แคว้นตงเฉิน ตั้งแต่ที่มู่หรงฉีถูกตงหลิงหวงตีจนสลบ เขาก็อาศัยอยู่ภายในกระท่อมที่ไม่มีผู้ใดรู้จักมาตลอด ตงหลิงหวงเสริมกำลังทหารโดยรอบ ทั้งมู่หรงฉียังได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางจากไปได้
ตงหลิงหวงยุ่งอยู่กับเรื่องกองทัพและปัญหาในราชสำนักซึ่งกดดันอย่างมาก ทำให้ไม่ค่อยมีเวลาไปพบมู่หรงฉี
มู่หรงฉีไม่รู้ว่าช่วงนี้ซูจิ่นซีเป็นอย่างไรบ้าง จึงกระวนกระวายใจอย่างมาก
มีการจัดส่งอาหารประจำวันไปยังกระท่อมอย่างตรงเวลาทุกวัน ทว่ามู่หรงฉีกลับไม่แตะต้องอาหารเหล่านั้นมาสามวันแล้ว
วันนี้ หลังจากจัดการภารกิจของกองทัพเสร็จสิ้น ตงหลิงหวงจึงมาพบมู่หรงฉีที่กระท่อม นางถามทหารรักษาการณ์ที่ประตูถึงเรื่องอาหารที่นำกลับไปด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “เกิดอันใดขึ้น? ”
ทหารองครักษ์ตอบตามความจริง “คุณชายมู่หรงไม่ได้รับประทานอาหารมาสามวันแล้ว อาหารส่งมาตรงเวลาทุกวัน ทว่าเขาไม่ได้รับประทานสิ่งใดเลย”
ดวงตาของตงหลิงหวงหม่นหมองลง
“อาหารของวันนี้อยู่ที่ใด? ”
องครักษ์รีบนำอาหารที่เพิ่งยกมาใหม่มาให้ตงหลิงหวง
ตงหลิงหวงถือถาดอาหาร และเตะประตูเข้าไปด้วยเท้าข้างหนึ่ง
มู่หรงฉีกำลังนอนหลับตาอยู่บนเตียง เมื่อได้ยินการเคลื่อนไหว ดวงตาของเขาจึงสั่นไหวเล็กน้อย ทว่ายังคงหลับตาสนิท
“มู่หรงฉี เจ้าหมายความอย่างไร?เจ้ากำลังพยายามต่อต้านข้าหรือ? ”
มู่หรงฉีนิ่งเงียบไม่พูดสิ่งใด
‘ปัง’ ตงหลิงหวงวางถาดอาหารในมือลงบนเตียงอย่างแรง
“เจ้าอย่าลืมว่าชีวิตของเจ้าเกี่ยวพันถึงชะตากรรมของกองทัพแคว้นหนานหลีทั้งหมด หากไม่มีเจ้า แคว้นหนานหลีทั้งหมดจะล่มสลาย”
มู่หรงฉียังคงไม่ลืมตา เขายกยิ้มมุมปากด้วยสีหน้าเยาะเย้ย
“นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องการหรือ? ไม่มีข้า ไม่มีจิ่นซีเช่นกัน หากเจ้าต้องการยึดครองแคว้นหนานหลีย่อมเป็นเรื่องง่าย คงลงมือได้อย่างง่ายดายกระมัง? ”
มู่หรงฉีไม่เคยพูดกับตงหลิงหวงด้วยน้ำเสียงเช่นนี้มาก่อน ตงหลิงหวงตะลึงครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเดินไปที่เตียงของมู่หรงฉีอย่างรวดเร็วด้วยดวงตาเย็นชา พลางคว้าคอของมู่หรงฉี
“มู่หรงฉี เจ้ากำลังพยายามบีบบังคับข้าเช่นนั้นหรือ? เจ้าอยากตายใช่หรือไม่? อืม หากเจ้าอยากตายจริงๆ มีวิธีตายนับหมื่นรอเจ้าอยู่ ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีนี้กระมัง? หยุดเสแสร้งได้แล้ว เจ้าอยากไปช่วยซูจิ่นซีหรือ? ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าทำอย่างที่เจ้าต้องการหรอก
ข้าจะบอกความจริงกับเจ้า! หุบเขาหลูเหว่ยไม่ใช่สถานที่ที่ผู้ใดก็สามารถเข้าไปได้ ผู้ที่เข้าไปแล้วไม่อาจออกมาได้ก็มีมากมาย ตอนนี้ไม่แน่ว่าซูจิ่นซีอาจตายไปแล้วก็ได้ ”
มู่หรงฉีลืมตาขึ้นมาทันที และมองตงหลิงหวงอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“เจ้า… เจ้าหมายความว่าอย่างไร? เจ้าจงใจหลอกล่อจิ่นซีไปที่หุบเขาหลูเหว่ยใช่หรือไม่? ”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า! ”
ตงหลิงหวงหัวเราะแผ่วเบา ทว่าไม่ตอบคำถามมู่หรงฉี นางหันหลังกลับและคิดจะเดินออกไป
มู่หรงฉีคว้าแขนตงหลิงหวง
ตงหลิงหวงค่อยๆ หันศีรษะกลับมาสบสายตาดำขลับของมู่หรงฉีซึ่งเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อนชั่วขณะหนึ่ง
ดวงตาของมู่หรงฉีทอประกายด้วยความเจ็บปวด “หวงเอ๋อร์ หัวใจข้ายึดมั่นอยู่กับเจ้า ทว่าไม่ได้หมายความว่าข้าสามารถทนต่อทุกสิ่งที่เจ้ากระทำได้ มีบางเรื่องที่ข้าสามารถทนได้ แม้เจ้าต้องการชีวิตของข้า ข้ามอบให้เจ้าได้โดยไม่มีข้อเรียกร้องใดๆ ทว่าสำหรับบางเรื่อง เช่น จิ่นซี แคว้นหนานหลี… ความอดทนของข้ามีขีดจำกัดเช่นกัน”
ดวงตาของตงหลิงหวงทอประกาย นางเก็บซ่อนอารมณ์ความรู้สึกที่ซับซ้อนทั้งหมดไว้ในใจ และมองไปด้านข้าง
“มู่หรงฉี ไม่ต้องใช้น้ำเสียงเช่นนี้พูดกับข้า ระหว่างเจ้ากับข้ามีเพียงผลประโยชน์ของอีกฝ่ายเท่านั้น ไม่มีสิ่งใดต่อกัน”
ดวงตาของมู่หรงฉีเปล่งประกายความเย็นชา
ตงหลิงหวงดิ้นรนอย่างแรง พยายามดึงแขนออกจากมือของมู่หรงฉี ทว่ามู่หรงฉียิ่งออกแรงมากขึ้น ตงหลิงหวงพลิกตัวหมุนอย่างสวยงามและตกลงสู่อ้อมแขนของมู่หรงฉี
ตงหลิงหวงตกใจ นางพยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นจากการควบคุมของมู่หรงฉี ทว่าร่างของนางถูกมู่หรงฉีกอดรัดไว้แน่น
นางขมวดคิ้วและกัดฟันอย่างรุนแรง “มู่หรงฉี ปล่อย! ”
“ไม่ปล่อย! ”
“ปล่อย คนพาล! เจ้ารนหาที่ตายหรือ? ”
ทันทีที่สิ้นเสียงของตงหลิงหวง มู่หรงฉีก็บีบคางของนางอย่างแรง เขาหันไปจับพลิกร่างของตงหลิงหวงและกดร่างนางไว้บนเตียง
ดวงตาของตงหลิงหวงเต็มไปด้วยความประหลาดใจอย่างมาก นางยังไม่ทันตอบสนอง มู่หรงฉีก็ประกบจูบลงมาอย่างเร่าร้อนราวกับพายุ
จิตใจของเขากำลังถูกครอบงำ บ้าคลั่งราวกับกำลังลงโทษความหยิ่งผยองที่ผ่านมาของนาง
ตงหลิงหวงส่งเสียงบางอย่าง ทว่ายิ่งมู่หรงฉีบ้าคลั่ง ตงหลิงหวงก็ยิ่งดิ้นรนมากขึ้น
จนกระทั่งความหนาวเย็นแผ่ซ่านมาถึงหน้าอก ร่างกายสั่นเทาเล็กน้อยจากการกระทำอันหยาบคายของมู่หรงฉี ตงหลิงหวงกัดริมฝีปากของมู่หรงฉีโดยไม่มีความลังเลใดๆ
ทันใดนั้น ความเจ็บปวดก็ทำให้มู่หรงฉีแทบควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้ กลิ่นคาวเลือดในปากทำให้เขาเข้าใจอันใดบางอย่าง เขาปล่อยริมฝีปากของตงหลิงหวงทันที ทว่ามือของเขายังคงจับแขนของตงหลิงหวงแน่น
ตงหลิงหวงจ้องมู่หรงฉีด้วยสายตาเย็นชา “มู่หรงฉี เจ้าคนป่าเถื่อน”
ดวงตาของมู่หรงฉีเปล่งประกายด้วยความเจ็บปวด เขามองแววตาของตงหลิงหวงอย่างลึกซึ้งโดยไม่พูดสิ่งใด
ทั้งสองนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ดวงตาของทั้งคู่สบกันอีกครั้ง ราวกับมีเสียงหัวใจเต้นแรง
อย่างไรก็ตาม ทั้งคู่ไม่เต็มใจยอมรับกันและกัน
จนกระทั่งตงหลิงหวงรู้สึกว่าเสียงหัวใจนั้น กำลังทำให้หัวใจของนางแตกสลาย นางจึงหันหน้าหนี
“ปล่อย! ” น้ำเสียงนั้นเย็นชาอย่างมาก
ดวงตาของมู่หรงฉีเป็นประกาย เขาถอยออกจากร่างของตงหลิงหวง และพลิกตัวนอนตะแคงด้านข้าง
ตงหลิงหวงรีบลุกขึ้นจัดเสื้อผ้า พยายามทำจิตใจให้สงบที่สุด นางไม่อยากอยู่ที่นี่อีกจึงเดินออกไป
ทันทีที่เดินไปถึงประตู นางก็หยุดชะงักอีกครั้ง ทว่าไม่ได้หันกลับมามอง
“มู่หรงฉี ความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงทุกคนในโลกใบนี้ล้วนมีความเป็นไปได้ ทว่าเจ้ากับข้า… เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน เว้นเสียแต่ว่าต้นเถี่ยจะออกดอกบานสะพรั่ง”
พูดจบ นางก็เปิดประตูเดินออกไป
แม้จะเป็นคำพูดที่ไร้หัวใจ ทว่าตงหลิงหวงพูดออกมาหลายครั้ง มู่หรงฉีก็ฟังหลายครั้งเช่นกัน ทว่าคราวนี้ ดวงตาของมู่หรงฉีกลับเจ็บปวดอย่างลึกซึ้ง
ต้นเถี่ยออกดอกบานสะพรั่ง…
นั่นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เขาไม่คิดว่าตงหลิงหวงจะไร้หัวใจและโหดเหี้ยมเช่นนี้
มู่หรงฉีจ้องไปยังทางที่ตงหลิงหวงจากไปเป็นเวลานาน ชัดเจนแล้วว่าตรงประตูไม่มีแม้แต่เงาของตงหลิงหวง ทว่าดวงตาของเขายังคงมองไกลออกไป
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็นอนหมดแรงอยู่บนเตียงและหลับตาลง
ภายในห้องที่เงียบสงัด
เสียง ‘เอี๊ยด’ ดังขึ้น ประตูเปิดออกอีกครั้ง ทว่าไม่ใช่ตงหลิงหวง แต่เป็นองครักษ์
องครักษ์มองมู่หรงฉีที่นอนหลับตาด้วยความลังเลเล็กน้อย ทว่าเขารู้ดีว่ามู่หรงฉีไม่ได้หลับ
“ฉีอ๋อง รัชทายาทตรัสว่า หากท่านต้องการกลับแคว้นหนานหลี ท่านต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป”
มู่หรงฉีไม่ตอบสนองและไม่เคลื่อนไหว ราวกับว่าเขาไม่ได้ยิน
องครักษ์รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย เขาเหลือบมองไปยังอาหารบนโต๊ะที่ยังไม่ถูกแตะต้อง และทำได้เพียงเดินออกไป