หลังจากตงหลิงหวงออกไปจากกระท่อม นางก็มุ่งตรงไปยังค่ายทหาร และเรียกแม่ทัพซ่ง แม่ทัพผาง แม่ทัพฮัว แม่ทัพซืออวิ๋น และแม่ทัพหลิง ทั้งห้านายมาหารือเกี่ยวกับเรื่องสำคัญในกองทัพทั้งคืน
แม่ทัพทั้งห้านอนหลับไปแล้ว พวกเขาถูกปลุกให้ตื่นในตอนกลางดึก ทว่าพวกเขาไม่กล้าละเลย
พวกเขาไม่เคยถูกรัชทายาทเรียกมาหารือกลางดึกเช่นนี้ และพวกเขาไม่เคยเห็นด้านที่เลวร้ายเช่นนี้ขององค์รัชทายาท
แม้วิธีการของตงหลิงหวงจะรุนแรง ทั้งยังทำงานอย่างแข็งแกร่ง ทว่านางไม่เคยมีท่าทางเย็นชาเหมือนคืนนี้
ทั้งเย็นชา เฉียบขาด และน่าหวาดกลัว
ณ หุบเขาหลูเหว่ย ซูจิ่นซี เยี่ยโยวเหยา และคุณชายฉู่ได้ลงมาจากภูเขาแล้ว หลังจากได้รับวิชาการหล่อขึ้นรูป พวกเขาจึงกลับไปที่จวนเจ้าหุบเขา
แม้จะพบวิชาการหล่อขึ้นรูปในหุบเขาหลูเหว่ย อย่างไรเสีย ของสิ่งนี้ซูจิ่นซีเป็นผู้ค้นพบ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับซูจิ่นซี
หลังจากซูจิ่นซีอธิบายเหตุผลให้คุณชายฉู่แล้ว คุณชายฉู่จึงตกลงมอบวิชาการหล่อขึ้นรูปให้ซูจิ่นซี
อย่างไรเสีย… ซูจิ่นซีก็ช่วยหุบเขาหลูเหว่ยไว้มาก
หลังกลับมาที่จวนเจ้าหุบเขา ทุกคนต่างกลับไปที่เรือนพักของตนเอง
เนื่องจากเป็นเวลาหลังเที่ยงคืนแล้ว ทั้งสามจึงไม่ส่งเสียงอันใด เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนคนในจวนมากนัก
ซูจิ่นซีไม่เคยเห็นวิชาการหล่อขึ้นรูป ดูเหมือนมันจะมีความลึกลับมากมายในนั้น ตอนที่ลงมาจากภูเขา ซูจิ่นซีได้พิจารณาวิชาการหล่อขึ้นรูปตลอดทาง และเมื่อกลับมาที่เรือน จิตใจของนางก็จดจ่ออยู่ที่วิชาการหล่อขึ้นรูปตลอดเวลา
นอกจากนั้น ซูจิ่นซีต้องการเข้าไปในอาคมกำไลปี่อั้น เพื่อศึกษามันอย่างละเอียดตลอดทั้งคืน
ทว่าทันทีที่เดินเข้าประตูมา นางยังไม่ทันได้ทำสิ่งใดก็รู้สึกชาวาบไปทั้งตัว
ซูจิ่นซีคุ้นเคยกับความรู้สึกนี้อย่างมาก ร่างกายของนางสั่นสะท้านและหยุดฝีเท้าอย่างรวดเร็ว
นางขมวดคิ้ว และค่อยๆ หันศีรษะ… แต่ยังไม่ทันเห็นเงาที่อยู่ด้านหลังชัดเจน นางก็ถูกเยี่ยโยวเหยาลากไปที่ประตู
ซูจิ่นซีเม้มริมฝีปากแน่น “เยี่ยโยวเหยา ท่านบ้าไปแล้วหรือ? ท่านจะทำอันใด? ”
แท้จริงแล้ว ซูจิ่นซีต้องการพูดว่า เยี่ยโยวเหยา ข้าไปกวนใจท่านเมื่อใดกัน?
ทว่าทันทีที่นางเปล่งเสียงพูด ริมฝีปากเย็นชาและบางเฉียบของเยี่ยโยวเหยาก็ประทับรอยจูบลงมาราวกับเป็นการลงโทษ ผสมผสานกับความเร่าร้อนด้วยไฟปรารถนาดั่งพายุฝน
ซูจิ่นซีถูกจุมพิตอย่างดูดดื่ม นางไม่มีเวลาคิดหาเหตุผล ยิ่งไม่มีโอกาสให้ดิ้นรนต่อสู้
เมื่อเยี่ยโยวเหยากดทับร่างกายของนาง นางก็ไม่มีโอกาสต่อต้านได้เลย
กระทั่งซูจิ่นซีถูกเล้าโลมจนใบหน้าแดงก่ำ ลมหายใจหอบถี่ ขณะที่นางกำลังจะหายใจไม่ออก ริมฝีปากของเยี่ยโยวเหยาก็ผละออกเล็กน้อย ทำให้ซูจิ่นซีมีช่องว่าง
ดวงตาของซูจิ่นซีทอประกายอย่างลึกซึ้ง
แววตาเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด “เยี่ยโยวเหยา ท่านบ้าไปแล้วหรือ? ท่านคิดจะทำอันใด? ”
เยี่ยโยวเหยาค่อยๆ เชยคางของซูจิ่นซีด้วยนิ้วเรียวยาวและแข็งแรงของเขา ทำให้ซูจิ่นซีต้องมองไปที่เขา
“ซูจิ่นซี เจ้าถามข้าว่าหมายความว่าอย่างไร เช่นนั้นหรือ? หึ… ” เยี่ยโยวเหยายิ้มเยาะเย้ยอย่างเย็นชา ทว่าหลังจากรอยยิ้มนั้น ดวงตาของเขาพลันเปล่งประกายอย่างน่าดึงดูดใจและคมคายมากยิ่งขึ้น “ข้าเป็นบ้าไปแล้ว ข้าเป็นบ้าเพราะอิจฉาพวกเจ้า… ”
อิจฉา…
ทันใดนั้น หัวใจของซูจิ่นซีก็บีบแน่นราวกับถูกบางสิ่งกระแทกอย่างแรง นางมองเยี่ยโยวเหยาอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
เขาบอกว่าอิจฉา…
ไม่ต้องพูดถึงซูจิ่นซีที่ไม่เคยได้ยินคำนี้จากปากของเยี่ยโยวเหยา ในใต้หล้านี้มีสิ่งใดที่ทำให้โยวอ๋องผู้สูงส่งอิจฉา?
เขาพูดว่าอิจฉา?
“เยี่ยโยวเหยา… ”
ภารกิจบนเตียงครั้งนี้ นางราวกับถูกคนแยกกระดูกออกและใส่กลับเข้าไปใหม่อีกครั้ง…
ภายในใจของนางรู้สึกสับสน เดิมทีนางต้องการเรียกเยี่ยโยวเหยา ทว่าขณะที่กำลังเปิดปาก ยังไม่ทันเรียกออกมา เยี่ยโยวเหยาก็เหมือนจะรู้สึกตัว เขาหันมามองนาง ก่อนจะวางเอกสารในมือลงและลุกขึ้น
ในหัวของซูจิ่นซีปรากฏภาพอันไร้ความปรานีของเยี่ยโยวเหยาเมื่อคืนนี้ ทั้งยังรู้สึกขุ่นเคือง นางจึงรีบเบือนหน้าหนี
เยี่ยโยวเหยายืนอยู่ข้างเตียงของซูจิ่นซี เมื่อเห็นท่าทีของซูจิ่นซี และดวงตาที่ไร้ซึ่งอารมณ์ เขาจึงนั่งลงที่ขอบเตียง พลางหยิบผ้าห่มมาห่มให้ซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีรีบหลับตา
หลังจากนิ่งเงียบไปนาน เยี่ยโยวเหยาก็เอ่ยทำลายความเงียบ เขาถามขึ้นว่า “โกรธข้าหรือ?”