ผู้มาเยือนเปิดประตู เดินเข้าไปด้านใน

 

 

วันนี้ประตูเมืองปิด แขกที่มาเป็นคนในเมือง และพ่อค้าที่ถูกกักไว้ออกไปไม่ได้

 

 

เมื่อกวาดตามองโถงหลัก ไม่พบคนน่าสงสัย ผู้มาเยือนโบกมือ คนด้านหลังถือมีดดาบเดินขึ้นไปด้านบน ตึง ตึง ตึง เสียงฝีเท้าดังสนั่นจนทำเอาคนฟังรู้สึกใจสั่นกลัว

 

 

ผู้มาเยือนก้าวเท้าเดินตาม

 

 

เถ้าแก่รีบตรงเข้ามา “นายท่าน นายท่าน ด้านบนต่างเป็นแขกคนสำคัญ ท่านอย่าไปรบกวนพวกเขาเลย มิเช่นนั้น ข้าขึ้นไปรายงานพวกเขาก่อนได้หรือไม่”

 

 

“ไสหัวไป หากยังเกะกะพวกข้า เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะตัดหัวเจ้าทิ้งเสียเลย” ผู้มาเยือน ไม่เพียงหน้าตาดุร้าย แภมยังพูดจาดุร้ายอีกด้วย

 

 

เถ้าแก่ยกชายเสื้อขึ้นเดินตามไปด้านหลัง

 

 

ประตูห้องระดับสูงถูกเปิดออกทีละบาน แขกที่กำลังกินข้าวอยู่ในห้องร้องออกมาด้วยความตกใจ ผู้มาเยือนทำหูทวนลม ใบหน้าดุร้ายไร้ซึ่งอารมณ์

 

 

จากสุดปลายทางหนึ่งไปยังปลายทางหนึ่ง ได้ทำการตรวจค้นจนหมดแล้ว ไม่เว้นกระทั่งใต้โต๊ะ ไม่มีผู้ใด!

 

 

ผู้มาเยือนไม่ว่าอะไร เดินก้าวเท้ายาวขึ้นไปด้านบน ตรงไปยังเรือนหลัง

 

 

ลูกน้องของเขาเดินตามติดไปด้านหลัง

 

 

เถ้าแก่ร้องห้าม แล้วเดินตามไปด้านหลัง

 

 

เรือนหลังเป็นครัวและที่พักของคนงาน และยังเป็นที่ผูกม้าและรถม้า ตอนนี้ เป็นเวลาอาหาร ในครัวงานยุ่ง ทั้งพ่อครัว ทั้งผู้ช่วย ต่างทำงานกันเป็นพัลวัน ไม่ว่าจะเป็นต้มผัดแกงทอด ล้วนหอมอร่อยในพริบตา

 

 

ผู้มาเยือนบุกเข้าไป ทำคนตรงนั้นตกใจกันหมด ทุกคนหยุดงานตรงหน้า มองพวกเขาด้วยความตกใจ

 

 

ทำหน้าดุ ค้นหาทุกซอกทุกมุม ไม่พูดไม่จา ไม่พบคนน่าสงสัย จึงได้พาคนของตนกลับออกมา หรี่ตาลง มองพิจารณาเรือนหลัง คิดว่าที่ใดสามารถซ่อนคนไว้ได้อีก

 

 

ยกมือขึ้น ผู้มาเยือนชี้ไปที่ห้องทุกห้อง “ค้นให้ทั่ว อย่าให้คลาดสายตาแม้แต่น้อย”

 

 

ที่เหลาจวี้เสียน เปิดมาหลายปีแล้ว ยังคงมีแขกเหรื่อมากมาย ฮั่วเจี่ยเองเคยคิดโลภ อยากได้มาเป็นของตน ต่อมาได้ข่าวว่าพวกเขามีเบื้องหลังที่แข็งแกร่ง หากต้องเสียอำนาจของตนไปเพื่อแย่งชิงที่นี่ คงได้ไม่คุ้มเสีย จึงได้ละทิ้งความคิดนี้ไป แต่ว่า ในเมื่อมีเบื้องหลัง ที่นี่จะต้องมีที่ลับเป็นแน่ วันนี้จะต้องหาที่นั่นให้พบ หากที่นั่นซ่อนคนเอาไว้จริง ก็จับตัวมา ปิดเหลาจวี้เสียนเสีย หากไม่มี ก็ใส่ความให้มี สั่งปิดเหลาจวี้เสียนไป ต่อจากนี้ นายท่านจะได้ไม่ต้องอิจฉาที่พวกเขาค้าขายดีอีก

 

 

ผู้มาเยือนมีความคิดเช่นนี้ แน่นอนว่าไม่มีทางถอดใจโดยง่าย ลูกน้องเข้าใจความหมายของเขา ค้นหาโดยละเอียด ไม่ปล่อยไปแม้กระทั่งหนูตัวเดียว แต่ไม่พบร่องรอยอะไรแม้แต่น้อย จึงได้มารายงาน

 

 

ไม่ได้เป็นดั่งที่หวังไว้ ก้อนเนื้อบนหน้าของผู้มาเยือนโกรธจนสั่น พูดอย่างไม่เต็มใจว่า “ไป!”

 

 

พูดจบ ก็นำทัพเดินออกไป

 

 

เถ้าแก่ถอนใจยาวเหยียด

 

 

คิดไม่ถึงว่าผู้มาเยือนกลับหันหลังมากะทันหัน ราวกับมีเรื่องจะพูดกับตน จึงได้เห็นสีหน้าของเขาเข้าพอดี ขมวดคิ้วเล็กน้อย ยกยิ้มมุมปาก ไม่ได้ว่าอะไร หันหลังเดินออกไป

 

 

เถ้าแก่ตกใจกับท่าทางของเขา ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่มีท่าทีจะเดินออกไปส่งพวกเขา

 

 

ผู้มาเยือนเดินออกไปทางโถงใหญ่ หันมามองคำว่า “เหลาจวี้เสียน”

 

 

บนป้ายชื่อที่ยังใหม่แม้เวลาจะผ่านมานานหลายปีแล้ว มุมปากเผยรอยยิ้มน่ากลัวออกมา หันหลังเดินออกไป

 

 

เมื่อแน่ใจว่าพวกเขากลับไปแล้ว เถ้าแก่ไปยังที่ลับ เปิดห้องที่เต็มไปด้วยกองฟืน เดินเข้าไปด้านใน หอบกองฟืนที่กองอยู่เต็มพื้นขึ้นมา ประตูลับบานหนึ่งปรากฎออกมา

 

 

หยิบกุญแจที่พกติดตัวออกมา เปิดประตู เดินเข้าไปด้านในยังมีอีกห้องหนึ่งซ่อนอยู่ ที่แท้ที่นี่เป็นสนามฝึก ตั้งแต่หลายปีก่อนเมื่อองครักษ์ลับถูกเรียกตัวกลับเมืองหลวงไปแล้ว ที่นี่ก็ไม่มีผู้ใดใช้งานอีก เถ้าแก่ทั้งหลายของเหลาจวี้เสียน ปรับเปลี่ยนสนามฝึกที่นี่ตามแบบที่หวงฝู่อี้เซวียนบอก ไว้ใช้ในยามคับขัน คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้ใช้จริงๆ

 

 

อ๋องฉีและเหล่าองครักษ์ลับพร้อมทั้งคนของท่าป๋า รออยู่ห้องริมสุดทาง เถ้าแก่เดินเข้าไป คำนับอ๋องฉี “ท่านอ๋อง พวกเขาไปแล้ว พวกท่านออกมาได้แล้วขอรับ”

 

 

ในห้องเหล่านี้ ไม่เคยมีผู้ใดเคยพักมาก่อน อับชื้นยิ่งนัก ทนอยู่ด้านในอยู่ไม่ได้แม้เพียงหนึ่งก้านธูป อย่าว่าถึงหนึ่งชั่วยามเลย และยิ่งไม่ต้องพูดถึงท่าป๋าที่กำลังบาดเจ็บอยู่ด้วย

 

 

“แน่ใจหรือว่าไปแล้ว จะไม่กลับมาอีก” อ๋องฉีถามด้วยเสียงเบา

 

 

เถ้าแก่ชะงักไป นึกถึงรอยยิ้มของผู้มาเยือน เกิดความไม่แน่ใจขึ้น “เรื่องนั้น…”

 

 

“เพื่อความปลอดภัย พวกข้าอยู่ที่นี่ต่อดีกว่า หลีกเลี่ยงความปัญหาที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น จากการคาดเดาของข้า ทางเมืองหลวงคงได้ข่าวแล้ว ถ้าไม่วันนี้ อย่างเร็วก็วันพรุ่ง เซวียนเอ๋อร์และโยวเอ๋อร์น่าจะมาถึง”

 

 

เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ขึ้นกับตน หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวต้องมาด้วยตัวเองเป็นแน่ อ๋องฉีรู้จักพวกเขาเป็นอย่างดี

 

 

เมื่อได้ยินว่านายท่านจะมา เถ้าแก่ยินดียิ่งนัก ไม่คะยั้นคะยอ เดินกลับไปตามคำสั่ง ใส่กลอน ปิดให้มิด เดินออกไปด้านนอก

 

 

สามวันแล้ว ฮั่วเจี่ยส่งคนค้นหาทุกมุมในเมือง แต่ไม่ได้อะไรกลับมา ไม่เพียงหาร่องรอยของอ๋องฉีไม่พบ แต่กระทั่งหลิวอวี้เอ๋อร์ก็หายไปราวกับหายตัวได้ ไม่พบแม้แต่เส้นผมเส้น

 

 

ฮั่วเจี่ยเสียใจจนเป็นลมไปครั้งแล้วครั้งเล่า หมอที่ร้านยาถูกจับตัวมาจนหมด นั่งรออยู่ในจวน เพื่อป้องกันไม่ให้เขาเกิดเรื่องอะไรขึ้น

 

 

ลูกชายและลูกสะใภ้พร้อมทั้งหลานๆ ของฮั่วเจี่ย โดยเฉพาะเด็กหญิง เมื่อได้ยินว่าหลิวอวี้เอ๋อร์ถูกจับตัวไป ดีใจจนพูดไม่ออก บอกว่าฟ้ามีตา เห็นนางไม่รู้จักเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ ไม่รักพี่รักน้อง ถูกลงโทษแล้ว

 

 

ตั้งแต่คืนนั้นเป็นต้นมา จูจือหมิงใช้ชีวิตราวคนไร้วิญญาณ นอนอยู่บนเตียง ไม่ขยับ ไม่เปิดประตู กระทั่งข้าวปลาก็ไม่ยอมกินแล้ว เวลาสั้นๆ เพียงสามวัน ก็ผอมลงอย่างเห็นได้ชัด รอบดวงตาคล้ำลงไปมาก

 

 

ฮูหยินจูขวัญเสีย ใช้ผ้าเช็ดน้ำตาไม่หยุด พูดเสียงอ่อนโยนว่า “ท่านพี่ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ท่านพูดกับข้าสิ”

 

 

จูจือหมิงขยับปากเล็กน้อย แต่กลับไม่พูดอะไรออกมา เรื่องจนบัดนี้ หากบอกพวกนาง มีแต่จะทำให้พวกเขาขวัญเสียกันยิ่งขึ้น สู้ให้ตนรับกรรมเองดีกว่า

 

 

ฮูหยินจูร่ำไห้ตาแดง สุดท้ายจนปัญญา พาลูกสาวและลูกชายคุกเข่าต่อหน้าเขา “ท่านพี่ ในเมื่อท่านไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว พวกเราแม่ลูกจะไปกับท่าน”

 

 

จูจือหมิงแต่งกับฮูหยินจูตั้งแต่ก่อนที่ตนจะสอบจอหงวน ตอนนั้นที่บ้านยากไร้ นำของจากบ้านฮูหยินจูมาก็ไม่น้อย จูจือหมิงซาบซึ้งนัก เมื่อสอบได้ จึงไม่ทอดทิ้งเมียที่กัดก้อนเกลือกินมาด้วยกัน ไม่รับอนุเพิ่ม สองสามีภรรยารักใคร่กลมเกลียวกันดี

 

 

เมื่อเห็นท่าทางไม่อยากมีชีวิตต่อเช่นนี้ของเขา ใจของฮูหยินจูกลัวยิ่งนัก ต้องใช้วิธีนี้เพียงหวังให้เขาบอกมาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

 

 

จูจือหมิงหันมามองพวกนางอย่างช้าๆ เปิดปากพูด เสียงแหบแห้ง ถามคำถามที่ฟังไม่เข้าใจกับพวกนาง “ประตูเมืองเปิดแล้วหรือยัง”

 

 

ทุกคนไม่เข้าใจ แต่กลับส่ายหน้า ลูกชายคนโตพูดว่า “ยังขอรับ”

 

 

จูจือหมิงเก็บสายตากลับไป ปิดตาลงอย่างหมดหวัง ทีแรกอยากจะคิดว่าก่อนตาย จะส่งพวกนางแม่ลูกหนีไปก่อน มีเงินหลายแสนตำลึงจากฮั่วเจี่ย ต่อให้ไม่มีตนแล้ว ชีวิตพวกนางภายภาคหน้าก็ไม่ลำบาก แต่บัดนี้ คนของฮั่วเจี่ยปิดประตูเมืองไปแล้ว ไม่มีผู้ใดออกไปได้ หรือเข้ามาได้ ต่อให้เป็นเขาก็ตาม

 

 

ฮูหยินจูเห็นเขากลับไปสภาพดังเดิม ยิ่งสังหรณ์ใจไม่ดีมากขึ้นไปอีก อยู่กินกันมาหลายปี ไม่เคยเห็นเขาเป็นเช่นนี้มาก่อน

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยว พร้อมทั้งเมิ่งชิงพาองครักษ์ลับเดินทางข้ามวันข้ามคืน พลบค่ำวันที่สาม ก็มาถึงประตูเมือง

 

 

สามวันแล้ว ยังจับตัวคนไม่ได้ ฮั่วเจี่ยโกรธถึงขีดสุด ก่นด่าตำหนิฮั่วต้าต่อหน้าทุกคนทุกวัน

 

 

ฮั่วต้าเสียศักดิ์ศรีไปจนสิ้น อารมณ์เสียเป็นที่สุด คนหลายร้อยคนเดินมาแต่ไกล เขาเห็นแล้ว เห็นพวกเขาเดินมาถึงประตูเมือง หยุดม้า เมื่อได้ยินคำของเมิ่งชิง ก็ตกใจยิ่งนัก หลายวันมานี้พวกเขาปิดประตูเมือง ห้ามมิให้ผู้ใดเข้าออก อย่างนั้นข่าวนี้แพร่ไปได้อย่างไร

 

 

ในใจคิดเช่นนี้ โบกมือสั่งให้ทุกคนเตรียมธนูให้พร้อม จากนั้นสั่งให้คนรีบไปรายงานฮั่วเจี่ย จึงได้พูดกับคนด้านล่างด้วยเสียงดังกังวานว่า “เมืองนี้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้น ท่านเจ้าเมืองยังหาคนร้ายไม่พบ จึงได้สั่งให้ปิดประตูเมือง ต่อให้ฝ่าบาทส่งพวกเจ้ามา ข้าก็ให้เจ้าเข้ามาไม่ได้”

 

 

“ไปเรียกจูจือหมิงมาสืบความที่นี่!” เมิ่งชิงกล่าวเสียงดัง

 

 

“ขอประทานอภัย เจ้านายของพวกเรามีการงานมากมาย ไม่มีเวลามาหาพวกเจ้าหรอก พวกเจ้ารอยู่ด้านนอกดีกว่า รอพวกเราจับตัวคนได้แล้ว จะเปิดประตูให้พวกเจ้าเอง”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนฟังจบ รู้ได้ทันทีว่ามีความผิดปกติ ควบม้าเข้ามาด้านหน้า ตะโกนรายงานสถานะของตน “ข้าเป็นซื่อจื่อของอ๋องฉี ตามท่านขุนนางมาลาดตระเวนที่นี่ตามพระประสงค์ของฝ่าบาท เจ้าจงรีบเปิดประตู ให้พวกเราเข้าไปด้านในเถอะ”

 

 

ฮั่วต้าเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ ต้องการมองหวงฝู่อี้เซวียนให้ชัดเจน น่าเสียดายที่มืดเกินไป ทั้งยังไกล มองไม่ชัดเจน แต่ยังคงบังคับใจของตน ตอบกลับเสียงดังว่า “ขออภัยด้วย พวกข้าอยู่นี่ที่มานานหลายปี ไม่เคยเห็นหน้าค่าตาของซื่อจื่อมาก่อน ไม่รู้ว่าเจ้าเป็นตัวจริงหรือไม่ อย่างไรรอเจ้านายของพวกเราเสร็จกิจแล้วค่อยว่ากันเถิด”

 

 

“พวกเจ้ายืนยันจะไม่เปิดประตูเช่นนั้นหรือ” หวงฝู่อี้เซวียนถามเสียงเย็นชา

 

 

“ขออภัยด้วย พวกข้าต้องทำตามคำสั่ง จำใจต้องทำเช่นนี้จริงๆ”

 

 

เมื่อได้ยินความโอหังจากน้ำเสียงของเขา มองคนที่กำลังจ้องมองมาทางตนพร้อมธนู หวงฝู่อี้เซวียนเผยรอยยิ้มน่ากลัวออกมา สั่งว่า “โจมตีกำแพงเมือง แล้วเปิดประตูออกเสีย!”