ตอนที่ 532 ขอบคุณบรรพชนทั้งสิบแปดรุ่นของเจ้า

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

“นี่จะถูกส่งไปเป็นเสบียงหรือยังไง ทำไมแต่ละคนทำท่าอยากตายขนาดนั้น กะกะกะต๊าก” 

 

 

ติ๊งต๊องยืนอยู่ข้างหลังตู๋กูซิงหลัน ยื่นหัวออกไปเพียงครึ่งเดียว แต่กลับมองดูคนกลุ่มนั้นอย่างสนอกสนใจ สองตาไก่กุ๊กของมันจับจ้องไปที่สาวน้อยทั้งสองอย่างไม่วางตา 

 

 

หนุ่มน้อยสองคนนั้นผิวพรรณขาวสะอาดหน้าตาหมดจด เครื่องหน้างดงาม จัดอยู่ในประเภททั้งคิ้วคมตาโต 

 

 

แค่เห็นก็กระตุ้นความอยากอาหารของผู้คน 

 

 

ตู๋กูซิงหลันอยู่ไม่ห่างจากคนกลุ่มนั้นเท่าไรนัก พอติ๊งต๊องเอ่ยปากออกมา เสียงของมันย่อมถูกคนได้ยิน 

 

 

ชายฉกรรจ์หลายคนในกลุ่มหันมาในทันที สายตาของพวกเขาไม่เป็นมิตร ทั้งยังเปี่ยมไปด้วยไอสังหาร 

 

 

พอเห็นว่าอีกฝ่ายมีเพียงหนึ่งคน หนึ่งไก่ ไอสังหารของคนกลุ่มนั้นก็ยิ่งเข้มข้นขึ้นมากกว่าเดิม 

 

 

“จ้องอะไรของพวกเจ้า ไม่เคยเห็นไก่ที่พูดได้อย่างเฮียมาก่อนหรือไง?” ติ๊งต๊องว่าท่าโอหังอย่างเต็มที่ สองปีกกระพืออยู่ข้างเอว อุ้งเท้าข้างหนึ่งตวัดขึ้นมา สองตาไก่กุ๊กของมันจ้องเขม็ง 

 

 

เกิดเป็นไก่ทั้งที ย่อมไม่มีทำหงอคอหดอยู่แล้ว 

 

 

ถูกคนจ้องมาแล้วไม่จ้องตอบ มีอย่างที่ไหน? 

 

 

ตู๋กูซิงหลันไม่ได้ห้ามปรามมัน ดวงตาดอกท้อเพียงหรี่ลงครึ่งหนึ่ง จับตาดูอย่างเงียบๆ 

 

 

ป่าแห่งนี้อยู่ใกล้ฝั่งทะเล เป็นจุดแรกของการเข้าสู่ดินแดนจิ่วโจว 

 

 

ตอนที่พึ่งมาถึงชายป่า ตู๋กูซิงหลันก็พบแล้วว่า ที่นี่มีสัตว์วิญญาณที่แข็งแกร่งอยู่ไม่น้อย ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งสามารถอาศัยอยู่ในเขตที่เต็มไปด้วยสัตว์วิญญาณ ก็แสดงว่า ‘ชาวบ้าน’ กลุ่มนี้จะต้องไม่ใช่ชาวยุทธธรรมดา 

 

 

โดยเฉพาะเมื่อติ๊งต๊องโผล่ออกมาเจรจากับพวกเขานั้น สีหน้าของคนกลุ่มนี้ก็ไม่ได้ดูจะแปลกใจมากสักเท่าไร 

 

 

เพียงแต่เกิดความสงสัยอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็คืนสู่ปกติอย่างรวดเร็ว 

 

 

พวกเขามองดูติ๊งต๊อง จากนั้นก็พากันหันเหสายตามาที่ตู๋กูซิงหลัน 

 

 

หนุ่มน้อยผู้นี้อายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปี รูปโฉมขาวสะอาดหมดจด หัวคิ้วหางตามีชีวิตชีวา สวมใส่เสื้อผ้าปราณีตเนื้อดี เพียงแต่บนร่างปราศจากพลังวิญญาณเคลื่อนไหว 

 

 

เป็นคนที่มาจากนอกป่าชายทะเล 

 

 

“ไอ้ไก่งี่เง่านี่เป็นของเจ้าหรือ?” ครู่หนึ่ง ชาววัยกลางคนที่สวมเสื้อผ้ารัดกุมผู้หนึ่งก็เดินออกมา สายตาของเขาจับจ้องตู๋กูซิงหลันอย่างพิจารณา ทั้งยังประเมินอยู่ตลอด 

 

 

ราวกับว่ากำลังกะประมาณเนื้อติดมันที่ส่งมาถึงหน้าประตู 

 

 

“เป็นของบ้านข้าเอง” ตู๋กูซิงหลันพยักหน้าติดกัน “พึ่งจะหัดพูดภาษาคนเป็น” 

 

 

พอนางพูดจบ หัวคิ้วของคนผู้นั้นก็อดที่จะขมวดไม่ได้ 

 

 

ไอ้หนุ่มผู้นี้ไม่ได้ใช้คำหยาบคายแม้แต่คำเดียว แต่กลับเหมือนดูถูกพวกเขาอย่างไรก็ไม่รู้ 

 

 

เห็นอยู่ชัดๆว่ามันหมายความว่า พวกเขากำลังหาเรื่องกับไก่ที่พึ่งจะหัดพูดเป็นหรือ? นี่มิเท่ากับด่าว่าพวกเขาเองก็เทียบเท่าสัตว์เดรัจฉานหรอกหรือ?  

 

 

ที่ด้านหลังของบุรุษเหล่านั้น มีสตรีอยู่หลายคน ตอนแรกสตรีเหล่านั้นยังร้องไห้คร่ำครวญอยู่เลย ใบหน้ายังมีน้ำตาไม่ขาด แต่แล้วก็พากันหยุดลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หันมามองดูตู๋กูซิงหลัน 

 

 

สายตาของพวกนางมีทั้งออกจะสับสน ยินดี และเสียดายปะปน มีสตรีสองสามคนถึงกับส่งเสียงฮึดฮัดอย่างฉุนเฉียวออกมา 

 

 

ตู๋กูซิงหลันไม่ได้สนใจปฏิกริยาของคนเหล่านั้น นางเพียงแต่เหลือบมองดูสองหนุ่มน้อยที่ถูกจับมัดเอาไว้บนเกี้ยวอ่อนด้วยท่าทางประหลาดใจ 

 

 

“ข้าพึ่งจะผ่านมาทางนี้ มิทราบว่าหมู่บ้านของท่านเกิดเรื่องใดกัน แล้วน้อยชายสองคนนี้?” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันพูดพลางก็ชี้นิ้วไปทางสองหนุ่มน้อย “ทำไมถึงได้ท่าทางเหมือนกำลังหวาดกลัวอะไรบางอย่าง?” 

 

 

สองหนุ่มน้อยคิดไม่ถึงว่าอยู่ๆก็จะมีคนนอกโผล่มจากไหนไม่รู้ พวกเขารู้สึกเหมือนอยู่ๆก็ได้เห็นแสงสว่าง จึงพากันดิ้นรนขึ้นมา 

 

 

หนึ่งในหนุ่มน้อยที่ถูกมัดเอาไว้ดิ้นรนจนผ้าคาดปากหลุดออก หันมาตะโกนกับนางว่า “พวกเรากำลังจะถูกส่งไปเสวยสุขต่างหาก รู้จักสำนักหยินหยางไหม? พวกเขาจะรับศิษย์ใหม่ พวกเราจะถูกส่งไปเป็นศิษย์ใหม่ไงล่ะ” 

 

 

 พอหนุ่มน้อยผู้นั้นพูดจบ เหล่าคนที่อยู่ในที่นั้นก็ทำสีหน้าปั้นยากออกมา 

 

 

หนุ่มน้อยอีกคนก็หันไปมองดูเขาด้วยสีหน้าตกตะลึงเช่นกัน 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “หืม? เสวยสุข? สำนักหยินหยาง?” 

 

 

“ใช่แล้วๆๆ พวกเขาจะถูกส่งไปเสวยสุขที่สำนักหยินหยาง” สตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งรีบพยักหน้าสนับสนุน 

 

 

นางทางหนึ่งสนับสนุน ทางหนึ่งก็เดินออกมาข้างหน้าหลายก้าว ใช้ศอกกระทุ้งชาววัยกลางคนที่เป็นผู้นำคนนั้น 

 

 

“ใช่แล้ว” ชายวัยกลางคนผู้นั้นได้สติขึ้นมา ก็พยักหน้าตาม 

 

 

สายตาของเขาทอดอยู่บนร่างของตู๋กูซิงหลัน “เห็นเจ้าอายุยังน้อย หน้าตาก็ดี ไยจึงไม่ไปเสวยสุขเป็นศิษย์ของสำนักหยินหยางเล่า” 

 

 

ว่าแล้วเขาก็กล่าวเสริมอีกว่า “ตอนนี้ในดินแดนจิ่วโจว สำนักหยินหยางถือเป็นสำนักที่โด่งดังอย่างคึกคักที่สุดแล้ว มีผู้คนตั้งเท่าไหร่ที่วาดฝันว่าจะได้เข้าเป็นศิษย์ โอกาสที่ดีงามและหาอยากเช่นนี้เจ้าอย่าได้พลาดไปเชียว” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันรู้สึกเหมือนกับว่าความฉลาดของตนถูกบดบี้ลงไปกับพื้นดิน 

 

 

มีสำนักไหนรับศิษย์แล้วต้องหามไปราวกับหมูหันเช่นนี้กัน? 

 

 

แม้แต่ติ๊งต๊องยังรู้สึกเหมือนถูกดูถูกเลย! 

 

 

แต่ว่าสีหน้าของตู๋กูซิงหลันกลับไม่มีวี่แววของความสงสัยแม้แต่น้อย ทั้งยังเพิ่มพูนความบริสุทธิ์ใสซื่อขึ้นมาอีกหลายส่วน 

 

 

นางเอียงศีรษะ ถามออกไปด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เป็นเรื่องจริงหรือ? ตอนที่ข้าอยู่ที่บ้านก็ได้ยินมาว่า สำนักหยินหยางเก่งกาจมาก! หากว่าเป็นศิษย์ใหม่ของสำนักหยินหยาง จะมีโอกาสได้พบหน้าเจ้าสำนักคนใหม่หรือไม่? ข้านับถือเขามากเลย!” 

 

 

ตอนที่อยู่ในดินแดนโบราณ หลงเซียวใช้ฝีมือรีดเร้นข้อมูลจากเซียวเฉินจนแห้งเหือด ทั้งเรื่องที่ควรพูดและไม่ควรพูด เซียวเฉินล้วนสารภาพออกมาจนหมดแล้ว 

 

 

เรื่องที่เกี่ยวข้องกับสำนักหยินหยาง ตู๋กูซิงหลันจึงมีความเข้าใจอยู่ไม่น้อย 

 

 

ที่นางเดินทางมายังจิ่วโจว หนึ่งเพื่อตามหาพี่รอง สองคิดจะกำจัดขุมกำลังในดินแดนจิ่วโจวที่เป็นเภทภัยต่อดินแดนโบราณให้ตายเสียตั้งแต่ในมุ้ง 

 

 

ตอนนี้ดูๆแล้ว ผู้ที่เป็นภัยมากที่สุดก็คือเจ้าสำนักคนใหม่ของสำนักหยินหยางนั่นเอง 

 

 

เรื่องที่สองหนุ่มน้อยถูกส่งไปเสวยสุขย่อมเป็นเรื่องโกหก แต่ว่าพวกเขากำลังจะถูกส่งไปที่สำนักหยินหยางนั้นเป็นเรื่องจริง เพียงแต่ว่าส่งไปทำอะไร นั้นยังไม่แน่ 

 

 

“ย่อมต้องเป็นเรื่องจริง!” หนุ่มน้อยผู้นั้นรีบตอบ “เจ้าไม่เห็นหรือว่า ข้ากับน้องชายดีใจกันขนาดไหน?” 

 

 

เมื่อครู่เขายังหลั่งน้ำตานองหน้าอยู่เลย ตอนนี้กลับลิงโลดขึ้นมา ราวกลับกลัวว่าตู๋กูซิงหลันจะไม่เชื่ออย่างไรอย่างนั้น 

 

 

“สำนักหยินหยางชื่นชอบศิษย์ที่มีรูปโฉมงดงามที่สุดแล้ว น้องชาย เจ้าก็นับว่าน่าตาดีมาก หากไปละก็จะต้องได้รับความโปรดปรานเป็นแน่ จะต้องได้เห็นหน้าท่านเจ้าสำนักคนใหม่ทุกๆวัน!” 

 

 

ตาขาวของติ๊งต๊องแทบจะกรอกขึ้นฟ้าไปแล้ว 

 

 

พวกเขาคิดว่าพี่สาวตัวน้อยเป็นเพียงเด็กปัญญาอ่อนในบ้านของตนเองหรือยังไง? 

 

 

ถ้าหากเชื่อพวกเขาก็มีหวังโดนผีหลอกตอนกลางวันแสกๆแล้ว 

 

 

“ใช่แล้ว เรื่องที่ดีๆแบบนี้ เจ้าได้พบเข้าอย่างบังเอิญ คนในหมู่บ้านชายขอบอย่างพวกเราล้วนเป็นคนมากเมตตามีน้ำใจ นี่ถือเป็นวาสนา ยินดีจะไปส่งเจ้าสักครั้งถือเป็นการกระทำความดี” สตรีวัยกลางคนรีบบอกออกมา 

 

 

“เช่นนั้นก็ดีเลย ตกลงเช่นนี้ละ ส่งน้องชายน้อยผู้นี้ไปพร้อมกัน เรื่องดีๆอย่างการไปเสวยสุขที่สำนักหยินหยาง ย่อมไม่สมควรจะปล่อยให้บุตรหลานของพวกเราได้รับแต่เพียงฝ่ายเดียว” ชายวัยกลางคนผู้นั้นว่าต่อไป 

 

 

เขาพูดจบแล้ว เขาก็ก้าวเท้ายาวๆมาที่เบื้องหน้าตู๋กูซิงหลัน มือใหญ่ข้างหนึ่งตบลงบนบ่าของตู๋กูซิงหลันหนักๆครั้งหนึ่ง 

 

 

เพียงเท่านี้ก็สามารถ ‘จับตัว’  ตู๋กูซิงหลันไว้ได้อย่างแสนจะง่ายดาย 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเองก็ไม่ได้ขัดขืน นางทำเหมือนเป็นหนุ่มน้อยอ่อนแอที่ไม่มีแม้แต่แรงจะฆ่าไก่ ทั้งยังไร้เดียงสาอย่างยิ่ง 

 

 

“ไม่น่าเชื่อว่าในใต้หล้าจะมีเรื่องดีๆเช่นนี้ ข้าต้องขอขอบคุณบรรพชนทั้งสิบแปดรุ่นของเจ้าแล้ว” 

 

 

………………………….