ซูจิ่นซีตกตะลึงเล็กน้อย ไม่รู้ว่าความโกรธของเยี่ยโยวเหยามาจากที่ใด
ยิ่งไปกว่านั้น ในไม่ช้า นางพบว่าเยี่ยโยวเหยาเริ่มดึงทึ้งเสื้อผ้าของนาง
ซูจิ่นซีรีบคว้ามือของเยี่ยโยวเหยาอย่างรวดเร็ว
“เยี่ยโยวเหยา ท่านคิดจะทำอันใด? ข้าเพิ่งจะใส่เสื้อผ้าเสร็จ! ”
เยี่ยโยวเหยาหยุดการกระทำชั่วครู่ ดวงตาดำขลับลึกซึ้งสบสายตาซูจิ่นซี ก่อนจะเข้าสู่ความต้องการอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง
สำหรับซูจิ่นซีที่สบตาเยี่ยโยวเหยาในช่วงเวลาสั้นๆ นางได้มองเห็นความปรารถนาอันแรงกล้าภายในดวงตาของเยี่ยโยวเหยาอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
นางตกตะลึงครู่หนึ่ง ไม่เข้าใจว่าเยี่ยโยวเหยาเป็นอันใดกันแน่
เพียงไม่เห็นด้วย เขาก็กลายเป็นสัตว์ร้ายป่าเถื่อน ช่าง ‘ไร้มนุษยธรรม’
ทว่าไม่นาน นางก็ไม่มีโอกาสได้คิดอันใดมากนัก
พลังความแข็งแกร่งของเยี่ยโยวเหยาเหนือกว่านางมาก นางจึงไม่มีโอกาสต่อต้าน ภายใต้การเล้าโลมของเยี่ยโยวเหยา สติและความรู้สึกได้ตกสู่ห้วงแห่งความปรารถนาอย่างรวดเร็ว
เกิดเป็นพายุที่โหมกระหน่ำอย่างรุนแรงอีกครั้ง หลังจากถูกลมพายุซัดเมื่อคืนนี้ ร่างกายของซูจิ่นซีบอบช้ำ นางจึงไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะยกนิ้วของนางขึ้น
ซูจิ่นซีไม่รู้ว่านางผ่านมันมาได้อย่างไร และไม่รู้ว่าตนเองหลับไปตั้งแต่เมื่อไร
เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็เป็นเช้าวันรุ่งขึ้น
นางลืมตาขึ้นมาอย่างเหนื่อยล้า แม้ม่านหน้าต่างและผ้าม่านด้านในจะถูกดึงปิดหมดแล้ว ทว่าแสงที่ส่องผ่านผ้าม่านเข้ามา ทำให้นางรู้สึกตาพร่ามัวเล็กน้อย
นางอยากยกมือขึ้นป้องดวงตาของนาง ทว่ากลับไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะยกมือขึ้น จึงทำได้เพียงเบือนหน้าหนีอย่างยากลำบาก
เยี่ยโยวเหยาไม่ได้อยู่บนเตียงแล้ว ไม่รู้ว่าเขาทำอันใดอยู่นอกเรือน ดูเหมือนว่าเขาจะได้ยินการเคลื่อนไหวของซูจิ่นซี จึงเดินเข้ามา ก่อนจะยกผ้าม่านขึ้นมองซูจิ่นซี “ตื่นแล้วหรือ? ”
ซูจิ่นซีกัดฟันกรอด “เยี่ยโยวเหยา คนป่าเถื่อน! ”
เยี่ยโยวเหยายกยิ้มมุมปากเล็กน้อย เขานั่งลงที่ขอบเตียง พลางลูบไล้นิ้วมือที่เส้นผมบนขมับของซูจิ่นซีอย่างแผ่วเบา
“อืม ข้าป่าเถื่อน! ”
ซูจิ่นซีกัดฟัน “เยี่ยโยวเหยา ไร้ยางอาย! ”
“อืม ข้าไร้ยางอาย! ”
“เยี่ยโยวเหยา! ”
เยี่ยโยวเหยาแย้มยิ้มกว้างขึ้น “ข้าไร้ยางอายกับเจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น! ”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่รู้จะพูดอันใดจริงๆ
เรื่องแบบนี้ นางจะกล่าวโทษเยี่ยโยวเหยาได้หรือ?
ชัดเจนว่าไม่อาจทำได้!
หลังผ่านไปครู่ใหญ่ ดวงตางดงามของซูจิ่นซีก็เปล่งประกาย “เยี่ยโยวเหยา แท้จริงแล้ว ท่านดูดีมากเวลาที่ท่านยิ้ม! ”
มีคนไม่มากที่ได้เห็นโยวอ๋องยิ้มกระมัง?
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ นี่ถือเป็นความโชคดีของนางใช่หรือไม่?
ทันทีที่สิ้นเสียงพูดของซูจิ่นซี เยี่ยโยวเหยาก็โน้มตัวลงมาที่ใบหน้าของนาง นางตกใจหวาดกลัว รีบเมินหน้าหนีอย่างรวดเร็ว ทั้งยังเกิดอาการเกร็งไปทั่วตัว
“เยี่ยโยวเหยา คนป่าเถื่อน! ท่านจะทำอันใดอีก? ”
ไม่คิดว่า ใบหน้าของเยี่ยโยวเหยาจะหยุดลงอย่างกะทันหัน เมื่ออยู่ห่างจากใบหน้าของซูจิ่นซีเพียงห้าชุ่น รอยยิ้มอันชั่วร้ายปรากฏขึ้นที่มุมปาก เขาขยับริมฝีปากไปที่ใบหูของซูจิ่นซี น้ำเสียงที่มีเอกลักษณ์ดึงดูดเฉพาะตัวเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา “หากเจ้าทำเช่นนี้อีก ข้าอาจอดทนไม่ไหว! ”
ทันใดนั้น เส้นประสาททั่วทั้งร่างของซูจิ่นซีก็ยิ่งเกร็งตัวมากขึ้น นางรีบคว้าผ้าห่มบนร่างมาปกคลุมทั้งตัวอย่างแน่นหนา แม้ว่าการทำเช่นนั้นจะไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ต่อหน้าโยวอ๋องก็ตาม
เยี่ยโยวเหยามองท่าทางของซูจิ่นซี พลางเลิกคิ้วขึ้น “หากข้าต้องการทำสิ่งใด เจ้าทำเช่นนี้… ก็ไร้ประโยชน์”
หัวใจของซูจิ่นซีจะ… ร้องไห้จริงๆ
สตรีแต่งงานกับคนไม่ดี สตรีแต่งงานกับคนไม่ดี!
เยี่ยโยวเหยายื่นมือออกไปลูบผมของซูจิ่นซีแผ่วเบา “ลุกขึ้น! ได้เวลารับประทานอาหารแล้ว พวกเราควรออกเดินทางได้แล้ว”
พวกเขาอยู่ในหุบเขาหลูเหว่ยมานานพอสมควร ตอนนี้ไม่รู้ว่าเหตุการณ์ข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง
ทั้งตงหลิงหวงยังส่งทูตมา มู่หรงฉียังอยู่ในมือของแคว้นตงเฉิน หากตอนนี้อากาศหนาวเย็นลงเรื่อยๆ สงครามกับแคว้นตงเฉินไม่อาจดำเนินต่อไป ต้องแก้ไขปัญหาเหล่านี้โดยเร็วที่สุด
หลังจากซูจิ่นซีแต่งตัวและลุกจากเตียงเรียบร้อย บ่าวรับใช้ของหุบเขาหลูเหว่ยก็ยกอาหารเช้าเข้ามาในห้อง ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยารับประทานอาหารร่วมกัน ก่อนจะเตรียมพร้อมเดินทางออกจากหุบเขาหลูเหว่ย
ก่อนออกเดินทาง ซูจิ่นซีคำนวณเวลาก่อนและหลังที่นางและเยี่ยโยวเหยาหลับนอนกันหลายครั้ง เมื่อคำนวณเวลาจากครั้งล่าสุด ตอนนี้ผ่านมาสิบสองชั่วโมงแล้ว นางพลาดช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการรับประทานยาคุมกำเนิด ไม่รู้ว่าหากรับประทานตอนนี้จะมีประสิทธิภาพหรือไม่? นางปวดหัวกับเรื่องนี้จริงๆ
ทว่านางยังแอบเยี่ยโยวเหยาทานยาหนึ่งเม็ดอย่างเงียบงัน
คุณชายฉู่และเจ้าหุบเขาฉู่กล่าวคำอำลาด้วยตนเอง พวกเขาส่งซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาออกจากหุบเขาหลูเหว่ย ทั้งสองเดินทางตลอดโดยไม่หยุดพัก จนกลับมาถึงค่ายทหารแคว้นหนานหลี
เมื่อพวกเขากลับมายังค่ายทหาร ก็เป็นเวลาบ่ายแล้ว ทูตส่งสารของแคว้นตงเฉินรออยู่ที่ค่ายทหารทั้งวันทั้งคืน ตามมารยาทการทำสงครามระหว่างสองกองทัพ ซูจิ่นซีไม่ต้องการให้เขารอนานเกินไป จึงเรียกทูตส่งสารเข้าพบทันที
ทูตส่งสารส่งมอบสาสน์ที่ตงหลิงหวงเขียนถึงซูจิ่นซี ซูจิ่นซีจึงเปิดอ่านด้วยตนเอง
เนื้อหาในสาสน์ของตงหลิงหวงนั้นจริงใจอย่างมาก นางเสนอให้พบปะเพื่อเจรจากับแคว้นหนานหลีอีกครั้ง โดยหวังว่าจะบรรลุข้อตกลงในการยุติสงครามชั่วคราว
จากสถานการณ์ปัจจุบันระหว่างแคว้นหนานลีกับแคว้นตงเฉิน แม้การหยุดทำสงครามชั่วคราวจะเป็นเรื่องดีต่อแคว้นตงเฉิน
ทว่าสำหรับแคว้นหนานหลีแล้ว ตอนนี้เป็นเวลาดีที่สุดที่จะฉวยโอกาสโจมตีและกำราบแคว้นตงเฉินในคราวเดียว หากยุติสงคราม แคว้นตงเฉินจะมีโอกาสได้ฟื้นตัวอย่างแน่นอน เมื่อแคว้นตงเฉินใช้ประโยชน์จากการยุติสงครามเพื่อแก้ไขปัญหาความวุ่นวายภายในแล้ว จากนั้นจึงโจมตีกลับแคว้นหนานหลี ยามนั้นแคว้นตงเฉินจะเป็นเหมือนเสือที่กลับคืนสู่ภูเขา เช่นนั้นคงยากที่จะโค่นล้มได้อีกครั้ง
ภายในกระโจมขนาดใหญ่ เยี่ยโยวเหยาและแม่ทัพนายกองแคว้นหนานหลีทั้งหมดต่างอยู่ที่นี่
หลังจากซูจิ่นซีอ่านจดหมายเรียบร้อยแล้ว นางกลับไม่พูดสิ่งใด มือกุมที่วางแขนบนเก้าอี้ ดวงตางดงามของนางลึกซึ้งอย่างมากจนไม่มีผู้ใดสามารถคาดเดาสิ่งที่นางกำลังครุ่นคิดได้
น้ำร้อนกำลังเดือดพล่านอยู่บนเตาภายในกระโจมหลังใหญ่ กาต้มน้ำส่งเสียง ไอน้ำร้อนกระจายไปทั่วพื้นที่
ผ่านไปครู่ใหญ่ ทูตส่งสารอดพูดหยั่งเชิงไม่ได้ “ฉางอันกงจู่ รัชทายาทของพวกเรากล่าวว่า อากาศหนาวจัดมากขึ้นเรื่อยๆ หากทั้งสองกองทัพยังคงต่อสู้กัน คงมีเพียงประชาชนที่ต้องทนทุกข์ทรมาน
กงจู่และโยวอ๋องทรงรักใคร่และหวงแหนประชาชนอย่างยิ่ง คงไม่ต้องการเห็นประชาชนทนทุกข์ รัชทายาทของพวกเราก็เช่นเดียวกัน
ครั้งนี้ หากสองแคว้นสามารถบรรลุสันติภาพในระยะยาวได้ก็จะดีกว่า ดังนั้นรัชทายาททรงหวังว่าจะได้พบกงจู่เพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการทหารของทั้งสองแคว้น”
ซูจิ่นซีเลิกคิ้วเล็กน้อย แม้สายตากำลังมองไปที่ทูตส่งสาร ทว่าแววตาของนางกลับลึกซึ้งและยากคาดเดา
“โอ้ จริงหรือ? ”
ทูตส่งสารไม่เข้าใจว่าซูจิ่นซีหมายความว่าอย่างไร จึงไม่พูดอันใด
นิ้วมือของซูจิ่นซีที่วางอยู่บนที่พักแขนหยุดลงอย่างกะทันหัน นางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้
“การนัดหมายเพื่อหารือไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ทว่า… ครั้งที่แล้วที่หุบเขามรณะ พวกเราเคยคุยกันไปแล้วครั้งหนึ่ง และพวกเจ้าได้ทำ… สิ่งที่ไร้คุณธรรมที่สุด”
ทูตส่งสารไม่คิดว่าซูจิ่นซีจะพูดอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ ทั้งนางยังกล่าวหาว่า การที่รัชทายาทแคว้นตงเฉินพบกับมู่หรงฉีที่หุบเขามรณะเป็นการเสแสร้งหลอกลวง ทันใดนั้น ใบหน้าของเขาก็ซีดขาว
น่าละอายใจอย่างยิ่ง