เล่มที่ 28 เล่มที่ 28 ตอนที่ 819 แสงสว่างที่ดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์บดบังไม่ได้

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

ทูตส่งสารยืนไม่ติดที่ ซูจิ่นซีนิ่งเงียบอยู่นาน จนกระทั่งบรรยากาศภายในกระโจมใกล้เป็นน้ำแข็ง นางจึงเปิดปากพูด

“แม้อีกฝ่ายจะขาดคุณธรรม ทว่าสิ่งที่ตงหลิงหวงพูดก็ถูกต้อง วันนี้ทำสงคราม ความทุกข์ย่อมตกอยู่ที่ประชาชน”

เมื่อเห็นซูจิ่นซีมีความคิดจะเจรจาสงบศึก ดวงตาของทูตส่งสารพลันสว่างวาบ

ทว่าแม่ทัพหลายท่านที่อยู่ด้านข้างต่างไม่เห็นด้วย

“กงจู่!!”

“กงจู่ ไม่ได้เด็ดขาด! ตอนนี้กองทัพของเราพร้อมเต็มที่ ควรจัดการแคว้นตงเฉินให้เด็ดขาด! เวลานี้จะไปเจรจาสงบศึกได้อย่างไร? ”

“ใช่! ตอนนี้ไม่อาจเจรจาสงบศึกได้! ”

“เงื่อนไขเช่นนี้ ไม่มีทางยอมรับได้แน่นอน! ”

ซูจิ่นซียกมือขึ้น ส่งสัญญาณให้ทุกคนเงียบ

แม้ทุกคนจะต่อต้านการเจรจาสงบศึก ทว่าทูตส่งสารไม่ได้สนใจมากนัก ท่าทางของเขาไม่มีการเปลี่ยนแปลง

เพราะเขารู้ดี แม้หลายคนจะต่อต้าน ทว่าการตัดสินใจอยู่ที่ฉางอันกงจู่ ทั้งฉางอันกงจู่ผู้นี้ยังแตกต่างจากสตรีอื่น แตกต่างจากผู้บัญชาการท่านอื่น นางย่อมมีมุมมองที่ไม่เหมือนผู้ใด

แม้ทุกคนจะมีความเห็นมากมาย ทว่าต้องไว้หน้าซูจิ่นซี พวกเขาจึงเงียบเสียงลงตามที่นางบอก บรรยากาศโดยรอบที่เงียบงันเช่นนี้ ยิ่งส่งเสริมให้ซูจิ่นซีดูสง่างาม

นางนั่งพิงอยู่บนเก้าอี้ไม้โบราณ รัศมีรอบด้านไม่น้อยไปกว่าเยี่ยโยวเหยาเวลาหารือราชกิจเลย

“เจรจาสงบศึกได้ ทว่าสถานที่ พวกเราเป็นคนตัดสินใจ”

“พ่ะย่ะค่ะ ไม่มีปัญหา” ทูตส่งสารรีบตอบโดยเร็ว

“นอกจากนั้น ขณะหารือ ข้าต้องการพบฉีอ๋องฝ่ายข้า”

ทูตส่งสารชะงักไปครู่หนึ่ง

มีน้อยคนที่รู้เรื่องตงหลิงหวงกักขังมู่หรงฉี แม้แต่ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาก็ไม่มีหลักฐานแน่ชัด เพียงคาดเดาไปตามเบาะแสที่มี

ไม่ต้องพูดถึงทูตส่งสารท่านนี้

เขาแสดงสีหน้างุนงง

ฉีอ๋อง?

ฉีอ๋องตกหน้าผาหายตัวไปตอนหารือครั้งก่อนไม่ใช่หรือ? เหตุใดถึงได้ถามหาคนจากพวกเขา?

หลังผ่านไปครู่หนึ่ง ทูตส่งสารจึงเอ่ยด้วยสีหน้าลำบากใจ “เรื่องนี้… กงจู่ แม้การเจรจาครั้งล่าสุด ทางฝั่งเราจะมีความผิด ทว่าเรื่องฉีอ๋องตกหน้าผาไม่เกี่ยวกับฝ่ายเรา! ยามนั้นพระองค์อยู่ในสนามรบ พระองค์ทรงเห็นด้วยตาตนเองแล้ว ท่านอ๋องกระโดดหน้าผาลงไปเอง เรื่องนี้ไม่อาจกล่าวโทษว่าเป็นความผิดพวกเรา! ”

ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ทำให้ผู้คนคาดเดาไม่ได้ “ข้าเพียงต้องการพบฉีอ๋อง หากไม่มีฉีอ๋อง ก็ไม่จำเป็นต้องคุยเรื่องเจรจาสงบศึก”

ซูจิ่นซีมีท่าทีแนวแน่ ทูตส่งสารจึงไม่มีโอกาสปฏิเสธ ท่าทางของเขายังคงมึนงงดังเดิม

ซูจิ่นซีพึมพำอยู่ครู่หนึ่ง

“เจ้ากลับไปบอกรัชทายาทของเจ้าก็พอ เอาเถิด เรื่องวันนี้หารือกันเท่านี้! แม่ทัพทุกท่านคงเหนื่อยแล้ว กลับไปพักผ่อนเถิด ท้องฟ้ามืดค่ำ ถนนหนทางเดินไม่สะดวก จัดการที่พักในกองทัพให้ท่านทูตส่งสารด้วย พรุ่งนี้แม่ทัพมู่หรงจะส่งท่านออกจากค่ายทหารด้วยตนเอง”

“พ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพมู่หรงรีบตอบรับ

ตั้งแต่มู่หรงฉีหายตัวไป แม้ซูจิ่นซีจะรับผิดชอบเรื่องในกองทัพชั่วคราว ทว่านางไม่เคยหยุดพักเรื่องการตามหาตัวมู่หรงฉี

แม่ทัพใหญ่ในกองทัพแคว้นหนานหลีต่างคาดหวังว่ามู่หรงฉีจะกลับมาควบคุมสถานการณ์ เพราะฉะนั้น แม้พวกเขาจะต่อต้านการเจรจาสงบศึกกับแคว้นหนานหลีในเวลานี้ ทว่าตอนที่ซูจิ่นซีเสนอให้แคว้นตงเฉินส่งตัวมู่หรงฉีคืนมา พวกเขาไม่มีผู้ใดต่อต้านการเจรจาสงบศึกอีก

ซูจิ่นซีเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง หลังประกาศสิ้นสุดการหารือ นางก็เดินจากไปด้วยสีหน้าอ่อนล้า และกลับไปยังกระโจมของตนเอง

แม้เยี่ยโยวเหยาไม่ได้ยื่นมือเข้ามาช่วย ทว่าเขาอยู่ข้างกายซูจิ่นซีเสมอ

แท้จริงแล้วมีความรักรูปแบบหนึ่ง ใช่ว่าข้ามีความสามารถแก้ไขหรือจัดการปัญหาทุกอย่างแทนเจ้า แล้วข้าจะปกป้องเจ้าไว้ใต้ปีกของข้าด้วยความรักที่มีให้เจ้า

ทว่าเป็น เพียงข้ายกมือก็สามารถทำทุกอย่างแทนเจ้าได้ แต่ข้าเคารพความคิดของเจ้า ห่วงความรู้สึกของเจ้า จึงซ่อนความสามารถตนเอง เปลี่ยนแปลงจังหวะ สนับสนุนเจ้า และอยู่เคียงข้างเจ้าเงียบๆ

นี่คือการอยู่เคียงข้างกันและกัน

ซูจิ่นซีออกจากกระโจมบัญชาการ และกำลังจะกลับเข้าไปในกระโจมของตนเอง ทว่านางได้ยินเสียงโหวกเหวกดังขึ้นมาเสียก่อน

“ได้โปรด พวกเจ้าให้ข้าเข้าไปเถิด! ข้าเป็นสหายของกงจู่ของพวกเจ้าจริงๆ ! ”

“คนนอกห้ามเข้าใกล้ค่ายทหาร ออกไปให้พ้น อาวุธของข้าไม่มีตา”

“ข้าเป็นสหายของกงจู่จริงๆ รบกวนท่านไปบอกนาง ได้โปรด! ”

“ออกไป! ”

“หากพวกเจ้าไม่เชื่อก็ดูนี่! นี่เป็นแหวนที่กงจู่มอบให้ข้ากับมือ แหวนนี้มีอยู่เพียงในจวนของโยวอ๋อง มีเพียงกงจู่ของพวกเจ้าที่มี ข้าเป็นสหายของกงจู่ของพวกเจ้าจริงๆ ”

“หากยังไม่ไปอีก ข้าจะจับเจ้าในฐานะศัตรูของแคว้น! ”

……

เสียงเอะอะยิ่งดังชัดเจนมากขึ้น ทั้งซูจิ่นซียังรู้สึกคุ้นเคยกับเสียงของบุรุษผู้นั้นอย่างมาก

“เกิดอันใดขึ้น? ”

ทหารที่เฝ้าอยู่ด้านหน้ารีบตอบโดยไว “ดูเหมือนจะเป็นหมอที่ดูอ่อนแอผู้หนึ่ง แต่เขากลับบอกว่าเป็นสหายของกงจู่และต้องการพบพระองค์”

“เหตุใดไม่รีบเข้ามารายงาน? ”

เมื่อซูจิ่นซีคาดเดาได้ว่าคนด้านนอกคือผู้ใด สีหน้าของนางพลันขึงขัง และรีบเดินออกไป

ทหารเดินตามหลังซูจิ่นซีโดยไม่กล้าละเลยแม้แต่น้อย “เรื่องนี้… เรื่องแบบนี้พบได้บ่อยในกองทัพ พวกเรา… พวกเราเพียงคิดว่าแคว้นอื่นส่งสายลับมาสอดแนมเรื่องกองทัพของเรา จึงไม่ได้รายงานกงจู่พ่ะย่ะค่ะ”

ในเวลานี้ แม่ทัพมู่หรงเพิ่งเดินออกมาจากกระโจม ซูจิ่นซีเดินสับเท้าไม่หยุด “แม่ทัพมู่หรง คุณภาพของทหารยังต้องปรับปรุงให้ดีกว่านี้ ท่านไม่คิดว่าควรยกระดับการฝึกฝนให้แข็งแกร่งมากขึ้นหรือ? ”

คุณภาพของทหารส่งผลต่อคุณภาพของค่ายทหาร คุณภาพของค่ายทหารส่งผลต่อคุณภาพของกำลังทหาร จากคุณภาพของกำลังทหาร สามารถแสดงให้เห็นถึงภาพรวมความแข็งแกร่งของแว่นแคว้น

น้ำเสียงของซูจิ่นซีสง่างามอย่างมาก แม้จะมีความหมายในเชิงตำหนิเล็กน้อย ทำให้เคราของแม่ทัพมู่หรงสั่นไหวสองครั้ง ก่อนที่เขาจะรีบตอบรับ “พ่ะย่ะค่ะ พ่ะย่ะค่ะ! ”

จากนั้น แม่ทัพมู่หรงจึงบอกทหารนายนั้น “ยังไม่ไปรับโทษโบยยี่สิบไม้อีก! ”

สีหน้าของทหารนายนั้นพลันซีดเผือด

ทหารที่อยู่โดยรอบบริเวณ เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็ไม่กล้าละเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังเพิ่มความตื่นตัวในทันที

ซูจิ่นซีไม่ได้สนใจอันใดอีก นางเดินไปข้างหน้าต่อ ในที่สุด… ก็มาถึงประตูค่ายทหาร

คนผู้นั้นกำลังถกเถียงกับทหาร หางตาของเขาเหลือบเห็นร่างของซูจิ่นซี ใบหน้าจึงเผยรอยยิ้มยินดีและอ่อนโยน ก่อนจะเดินไปยังทิศทางของซูจิ่นซี และคำนับตามขนบธรรมเนียม “กระหม่อมคำนับพระชายา! ”

ใช่แล้ว ผู้ที่มาคืออวิ๋นจิ่น

ภายในใจอวิ๋นจิ่น ท้องฟ้ากว้างใหญ่เพียงใด ก็ไม่ยิ่งใหญ่เท่าซูจิ่นซี

แม้สภาพอากาศจะมีเมฆและฝน เพียงแค่มีซูจิ่นซีอยู่ รอบด้านของเขาก็เป็นวันแดดออก รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาสดใสยิ่งกว่าดอกไห่ถัง

ซูจิ่นซีมองร่างนั้น ฝีเท้าพลันหยุดชะงัก

เขาสวมเสื้อสีน้ำเงินทะเล ด้านนอกสวมเสื้อคลุมสีขาวหิมะราวกับดอกอวี้หลานอันบริสุทธิ์ ขนคิ้วราวกับกลุ่มดาวจันทร์กระจ่าง ใบหน้านุ่มนวลดั่งหยก บุคลิกสุภาพสง่างาม

อวิ๋นจิ่นยังคงเป็นหมออายุน้อยแห่งสำนักหมอหลวงที่มีพรสวรรค์ ทว่าในความคิดของซูจิ่นซีกลับเป็นร่างของอีกคน

เขายังคงสวมชุดสีขาวหิมะบริสุทธิ์ ทว่าบุคลิกกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง

บุคลิกของเขาราวกับดอกหอมหมื่นลี้ ราวกับดอกไห่ถัง ราวกับพระจันทร์ ไม่ว่าอยู่ที่ใดก็ตาม หากยืนอยู่ท่ามกลางผู้คน เขาอาจดูสุภาพจนแทบไม่มีผู้ใดสังเกตถึงการมีอยู่ของเขา

ทว่าคนผู้นั้นกลับต่างออกไป เขาราวกับก้อนเมฆ ราวกับกลุ่มดาวสว่างไสว ราวกับเทพเซียนจากสวรรค์ชั้นฟ้า เพียงยืนอยู่ที่ใดก็ตาม ผู้คนรอบข้างก็ดูไร้ค่า สิ่งมีชีวิตดูไร้ความหมาย