สิ่งที่ปรากฏเข้ามาในความคิดของซูจิ่นซีคือภาพของจิ่วหรงในประตูนรก ซึ่งนางเห็นในภาพมายาบนประตูโลหิตทมิฬ
ชั่วครู่ที่อารมณ์ไม่เป็นสุข ความโศกเศร้าปรากฏเข้ามาในจิตใจ ทำให้ซูจิ่นซีชะงักไปชั่วขณะ
“คำนับโยวอ๋อง! ”
เสียงของอวิ๋นจิ่นดังขึ้นอีกครั้งเพื่อกล่าวคำนับเยี่ยโยวเหยา ท่าทางของซูจิ่นซีจึงกลับมาเป็นปกติ นางรีบยกมือบังดวงตาที่เปล่งประกาย และหันศีรษะไปมองเยี่ยโยวเหยาที่เดินมาด้านหลังอย่างเชื่องช้า
เยี่ยโยวเหยายืนนิ่งอยู่ข้างกายซูจิ่นซี มือพาดอยู่บนไหล่ของซูจิ่นซีอย่างเป็นธรรมชาติ แม้คนที่เหลือจะไม่ได้พูดหรือทำอันใด แม้พวกเขาจะมีสีหน้าเป็นปกติ ทว่าผู้คนรอบด้านต่างรู้สึกได้ถึงรัศมีความมีอำนาจ
ตอนที่อวิ๋นจิ่นเห็นภาพนี้ เขามองแววตาของซูจิ่นซีที่มีความผิดปกติ ก่อนที่มันจะอันตรธานหายไป
ซูจิ่นซีเข้าใจเยี่ยโยวเหยาที่สุด เหตุใดนางจะไม่เข้าใจว่าในใจของเยี่ยโยวเหยากำลังคิดอันใด?
นางรีบเหลือบมองเยี่ยโยวเหยา พลางส่งสายตาปลอบใจเขา
จากนั้นจึงเอ่ยกับอวิ๋นจิ่น “อวิ๋นจิ่น เจ้ามาได้อย่างไร? เข้ามาเร็ว! ”
ทหารหน้าประตูที่สร้างความลำบากให้อวิ๋นจิ่นก่อนหน้านี้ เมื่อเห็นว่าซูจิ่นซีรู้จักอวิ๋นจิ่นจริงๆ เขาก็หน้าถอดสีและพยายามลดการมีตัวตนของตนเองลง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการขัดขวางอวิ๋นจิ่น
ตอนที่อวิ๋นจิ่นเดินตรงเข้ามายืนอยู่เบื้องหน้าซูจิ่นซี ใบหน้าของเขายังคงอ่อนโยน
“พระชายาสบายดีหรือไม่? ”
“สบายดี สบายดี”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว ไม่กี่วันก่อน กระหม่อมไปเยือนสกุลจงเมืองเย่หลินครั้งหนึ่ง อาจารย์หญิงคิดถึงพระชายายิ่งนัก จึงให้กระหม่อมมาเยี่ยมพระชายาโยวอ๋องโดยเฉพาะ ทั้งยังมอบยามาให้พระชายาบำรุงร่างกายอีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
แม้ซูจิ่นซีจะรู้ตัวตนที่แท้จริงของอวิ๋นจิ่น ทว่าเส้นแบ่งระหว่างพวกเขาราวกับกระดาษหน้าต่างที่ไม่เคยถูกเจาะหรือฉีกขาด
เมื่อมันไม่ได้ถูกทำลาย ทุกอย่างจึงยังเป็นโลกที่สวยงามและสงบสุขใบนั้น
เช่นเดียวกับวิมานกลางอากาศที่ดำรงอยู่ ขอเพียงกระดาษหน้าต่างน้อยชั้นถูกเจาะ ทุกอย่างจะพังทลายและเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน
ไม่ว่าจะเป็นซูจิ่นซีหรืออวิ๋นจิ่น คงไม่มีผู้ใดต้องการเห็นผลลัพธ์เช่นนั้น
เพียงชั้นกระดาษหน้าต่างไม่ขาด ยามที่อวิ๋นจิ่น ผู้ที่เป็นดั่งสายลมในฤดูใบไม้ผลิอันแสนอบอุ่นยืนอยู่ตรงหน้านางด้วยรอยยิ้มที่เจิดจ้ายิ่งกว่าดอกไห่ถัง เขายังคงเป็นอวิ๋นจิ่นผู้นั้น
ซูจิ่นซีราวกับได้รับผลกระทบจากอวิ๋นจิ่น รอยยิ้มเจิดจ้างดงามที่ไม่ได้เห็นเป็นเวลานาน จึงปรากฏบนใบหน้าของนาง
“ข้างนอกอากาศหนาว เข้าไปคุยในกระโจมเถิด”
นางพูดพลางพาอวิ๋นจิ่นเข้าไปในกระโจม
เรื่องที่เยี่ยโยวเหยาแสดงตัวเป็นเจ้าของเมื่อครู่ เมื่อพูดคุยกับอวิ๋นจิ่น ซูจิ่นซียังต้องหลีกเลี่ยงคำต้องห้าม ร่างกายของนางในตอนนี้ไม่สามารถรองรับการทรมานจากภารกิจหนักหน่วงบนเตียงของเยี่ยโยวเหยาได้อีกแล้ว
นางจึงไม่ต้องการรับการลงโทษอันใดอีก
หลังจากเข้าไปในกระโจมแล้ว อวิ๋นจิ่นก็มอบขวดกระเบื้องเล็กๆ สีขาวขุ่นให้ซูจิ่นซี
“พระชายา นี่คือยาที่อาจารย์หญิงพัฒนาขึ้นมา ทั้งหมดเป็นยาบำรุงร่างกาย อาจารย์หญิงฝากกระหม่อมนำมาให้พระชายา”
ซูจิ่นซีรับขวดยามาและเปิดออก ระบบถอนพิษได้ตรวจสอบส่วนผสมของยาที่อยู่ข้างใน ทั้งหมดเป็นของดีจริงๆ อย่างที่คาดไว้
แม้ในระบบถอนพิษจะมียาสมุนไพรมากมาย ทว่ายังมีไม่ครบถ้วน ทั้งยานี้ฮูหยินเฒ่าหานปรุงยาขึ้นด้วยตนเอง ยาทั่วไปย่อมไม่อาจเทียบได้
ซูจิ่นซีรับมาด้วยความยินดี
“ดูแล้ว สถานการณ์ของสกุลจงในช่วงนี้ถือว่าดีพอสมควร! ”
อวิ๋นจิ่นยังคงอ่อนโยนและสุภาพเช่นเคย “การจัดการในสกุลจงดีมากพ่ะย่ะค่ะ ตั้งแต่พระชายากำจัดสำนักโอสถ ชื่อเสียงของสำนักแพทย์ก็เจริญรุ่งเรืองมากขึ้นเรื่อยๆ ปัจจุบันนี้ สำนักแพทย์มีชื่อเสียงทั่วทั้งแคว้นหนานหลี ยิ่งกว่าสำนักโอสถในอดีตมากนัก
เดิมทีผู้คนรู้จักเพียงสำนักโอสถ ไม่รู้จักสำนักแพทย์ ทว่าเวลานี้ ไม่มีผู้ใดกล่าวถึงสำนักโอสถอีกเลย
นอกจากนั้น ศิษย์พี่รุ่ยอันและเทียนโย่วได้ดำเนินการตามวิธีการของพระชายาและผู้นำอวี้ที่ทิ้งไว้ให้ พวกเขาจัดการทั้งสกุลจงอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย กิจการหอโอสถของสกุลจงที่มีพื้นฐานแต่เดิมอยู่แล้ว มีการพัฒนาเพิ่มขึ้นมาก ผลตอบรับน่าชื่นชมไม่น้อย”
ซูจิ่นซีพยักหน้าอย่างพอใจ
“สกุลซูเป็นอย่างไร? อวี้เอ๋อร์บรรจุเป็นขุนนางในราชสำนัก หอโอสถมอบให้ลูกน้องดูแล จัดการได้อย่างราบรื่นดีหรือไม่? ”
“ผู้นำอวี้เข้ารับตำแหน่งเป็นขุนนาง เพียงเวลาไม่กี่เดือนก็มีผลงานมากมาย เวลานี้เขาเป็นรองเจ้ากรมมหาดไทยแล้ว นอกจากนั้น ท่านอ๋องยังเป็นผู้อนุมัติด้วยพระองค์เอง”
ซูอวี้เป็นรองเจ้ากรมมหาดไทยแล้วหรือ ทั้งเยี่ยโยวเหยายังเป็นคนอนุมัติด้วยตนเองอีกด้วย?
ทว่าซูจิ่นซีไม่เคยได้ยินเยี่ยโยวเหยาพูดถึงมาก่อนเลย!
นางเหลือบมองไปทางเยี่ยโยวเหยาที่นั่งอ่านหนังสือเงียบๆ อยู่อีกด้านอย่างประหลาดใจเล็กน้อย
เมื่อรับรู้สึกได้ถึงแววตาของซูจิ่นซี เยี่ยโยวเหยาก็หันมา กวาดสายตาผ่านร่างของอวิ๋นจิ่นเล็กน้อย ก่อนจะหยุดอยู่บนร่างของซูจิ่นซี
“เจ้ากรมมหาดไทยคนก่อนจะเกษียณแล้ว เดิมทีต้องการรอให้เขาเข้ารับตำแหน่งเจ้ากรมก่อน แล้วค่อยบอกให้เจ้าประหลาดใจ”
เยี่ยโยวเหยาต้องการให้ซูอวี้เป็นเจ้ากรมมหาดไทยตั้งแต่แรกแล้ว?
พระเจ้า!
ผู้ที่จะดำรงตำแหน่งเจ้ากรมมหาดไทยได้นั้น โดยปกติแล้วต้องอยู่ในราชสำนักมากว่าครึ่งชีวิต ต่อให้อายุไม่ถึงสี่ห้าสิบปีก็ต้องมีอายุราวสามสิบกว่าปี
ราชวงศ์ก่อนมีเจ้ากรมอายุน้อยที่สุดคือสามสิบห้าปี แต่ตอนนี้ซูอวี้เพิ่งอายุได้เก้าขวบ อีกไม่กี่เดือนจะอายุสิบขวบ
อายุสิบขวบก็ดำรงตำแหน่งเจ้ากรมได้ ช่าง… ช่างน่าตื่นตกใจจนขนลุกทีเดียว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าคุณสมบัติเพียงพอหรือไม่ เกรงว่าคงยากที่จะโน้มน้าวใจขุนนางในราชสำนัก!
ซูจิ่นซีเลิกคิ้ว “เยี่ยโยวเหยา ความจริงแล้วท่านไม่ต้องเห็นแก่หน้าข้าก็ได้ ควรให้เขาได้เรียนรู้งานในราชสำนักสักสองสามปี ไม่จำเป็นต้องเลื่อนขั้นเร็วถึงเพียงนี้”
แท้จริงแล้ว ซูจิ่นซีต้องการพูดว่า ข้าไม่อยากเป็นสาวงามล่มเมือง! เช่นนี้คงถูกขุนนางเฒ่าพ่นน้ำลายใส่จนจมน้ำตายกระมัง?
ไม่ว่าซูจ้งจะให้กำเนิดซูจิ่นซีหรือไม่ เห็นได้ชัดว่าสกุลซูเป็นสกุลของซูจิ่นซี นอกจากนี้ สกุลซูยังเป็นตระกูลที่ทำการค้า ไม่ได้อยู่ในแวดวงขุนนางชั้นสูง ไม่ว่าในราชสำนักซูอวี้จะทำผลงานดีเพียงใด ทว่าในสายตาของขุนนางราชสำนัก พวกเขาต้องโจมตีด้วยคำครหา กล่าวหาว่าซูอวี้พึ่งพาเครือญาติในการเลื่อนขั้นโดยมิชอบ
ตอนนี้ซูอวี้อายุราวสิบขวบ หากเขาได้เป็นเจ้ากรม ยิ่งเป็นการยืนยันข้อกล่าวหานี้ไม่ใช่หรือ?
ซูจิ่นซี… กลุ้มใจจะตายแล้วจริงๆ !
ซูจิ่นซีไม่คิดเลยว่าน้ำเสียงของเยี่ยโยวเหยาจะราบเรียบ ไม่รีบร้อน “เขาควรคู่และมีศักยภาพสำหรับตำแหน่งเจ้ากรมนี้ นอกจากนั้น… ข้ายังคิดว่าการให้เขารับตำแหน่งเจ้ากรม เป็นการด้อยค่าเขาด้วยซ้ำ”
ความหมายคือ เยี่ยโยวเหยาเลื่อนขั้นให้ซูอวี้ช้ามากแล้ว?
คำพูดเหล่านี้เป็นการปรับทัศนคติของซูจิ่นซีใหม่
นางรู้เพียงว่าซูอวี้มีพรสวรรค์ด้านการแพทย์ ทว่ากลับไม่คิดว่าด้านการปกครอง ซูอวี้ก็มีพรสวรรค์โดดเด่นเช่นกัน
คำพูดที่ออกมาจากปากของเยี่ยโยวเหยา ย่อมไม่มีทางผิดพลาด
ต้องทราบว่าเยี่ยโยวเหยาไม่เคยเอ่ยปากชมผู้ใดมาก่อน อย่างน้อย ตั้งแต่ที่ซูจิ่นซีจดจำได้ก็ไม่มีจริงๆ คนที่อยู่ในสายตาของเขาได้ ย่อมล้ำค่าและหายาก
ยกตัวอย่างเช่น อวิ๋นจิ่นที่อยู่ตรงหน้า
ไม่ว่าเขาจะเป็นหมอเทวดาอายุน้อยจากสำนักหมอหลวงแคว้นจงหนิง ที่เก็บงำความสามารถภายในและสวมหน้ากากอันอบอุ่นกับซูจิ่นซี หรือเป็นจิ่วหรงที่ลงมาจากแท่นบูชา ทว่าในสายตาของโยวอ๋อง เขาไม่มีอันใดแตกต่างจากคนทั่วไปตามท้องถนน
อวิ๋นจิ่นแสดงท่าทางขออภัยเล็กน้อย “ดูเหมือนว่ากระหม่อมจะพูดมากเกินไปแล้ว ไม่คิดเลยว่าท่านอ๋องต้องการทำให้พระชายาประหลาดใจ หากรู้มาก่อน กระหม่อมจะไม่พูดถึงเรื่องนี้”
ใบหน้าซูจิ่นซีมีรอยยิ้มสดใส นางกำลังจะพูดขัด แต่ไม่คิดว่าโยวอ๋องจะเอ่ยออกมาตรงๆ ว่า “แน่นอน! ”