เล่มที่ 28 เล่มที่ 28 ตอนที่ 821 ความลับที่บอกไม่ได้

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

เยี่ยโยวเหยานี่… ไม่ไว้หน้าอวิ๋นจิ่นสักนิดเลยจริงๆ

แม้อวิ๋นจิ่นจะไม่ได้พูดอันใด ทั้งใบหน้ายังมีรอยยิ้มดั่งฤดูใบไม้ผลิอันแสนอบอุ่น ทว่าบรรยากาศภายในกระโจมกลับกระอักกระอ่วนอย่างเห็นได้ชัด

ซูจิ่นซีเสนอตัวช่วยได้ทันเวลา นางกระแอมสองครั้ง

“เอ่อ… ฟ้าก็มืดแล้ว อวิ๋นจิ่น มิสู้ให้คนจัดการที่พักในกองทัพให้เจ้าก่อน มีเรื่องอันใดพวกเราค่อยหารือกันพรุ่งนี้”

อวิ๋นจิ่นพยักหน้าโดยไม่คัดค้าน

“ทุกอย่างตามแต่พระชายาและท่อนอ๋องจัดการพ่ะย่ะค่ะ”

ซูจิ่นซีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และพูดเสริมอีกหนึ่งประโยค “ตอนนี้กองทัพกำลังขาดกำลังคน เนื่องจากทรัพยากรทางการแพทย์มีจำกัด ทำให้ไม่สามารถรักษาโรคเก่าของทหารจำนวนหนึ่งให้หายขาดได้ ทั้งคนจำนวนมากยังเจ็บป่วยเรื้อรัง เจ้ามาคราวนี้ดีทีเดียว อยู่ในกองทัพสักระยะหนึ่งเถิด ดูอาการให้พวกเขา”

“พ่ะย่ะค่ะ! ” อวิ๋นจิ่นตอบรับอย่างอ่อนโยนดังเดิม

ครู่หนึ่งที่ซูจิ่นซีมองรูปลักษณ์ของอวิ๋นจิ่นแล้วชะงักเล็กน้อย

นิสัยของบุรุษตรงหน้าคล้ายดอกกล้วยไม้ สุภาพอ่อนโยนราวกับหยก แม้มองแล้วดูธรรมดา ทว่ากลับไม่ใส่ใจเรื่องชื่อเสียงหรือคำดูหมิ่น ไม่ว่าอย่างไร ซูจิ่นซีก็ไม่มีทางรวมเขาเข้ากับจิ่วหรง หลายครั้งนางรู้สึกว่าอวิ๋นจิ่นก็คืออวิ๋นจิ่น จิ่วหรงก็คือจิ่วหรง พวกเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกัน

หลังจากนั้น ซูจิ่นซีจึงให้คนจัดการที่พักให้อวิ๋นจิ่น

เนื่องจากดึกมากแล้ว จึงทำได้เพียงจัดที่พักให้อวิ๋นจิ่นในกระโจมแพทย์ทหารชั่วคราว รอจนเช้าวันรุ่งขึ้นจึงจัดกระโจมเดี่ยวให้อวิ๋นจิ่น

เช้าวันที่สอง กระโจมของอวิ๋นจิ่นถูกตั้งขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งยังจัดซื้อสิ่งของด้านการแพทย์จำนวนมากที่จำเป็นต่อกองทัพให้อวิ่นจิ่น ในไม่ช้าเขาก็ย้ายเข้าไป

ทูตส่งสารของแคว้นตงเฉินกลับไปแล้ว

ไม่นานนัก ซูจิ่นซีก็ได้รับข่าวจากตงหลิงหวงว่าตกลงตามคำขอของซูจิ่นซี

กองทัพทั้งสองจะตกลงเรื่องเจรจาสงบศึกในอีกสามวัน สถานที่ขึ้นอยู่กับซูจิ่นซี นางจึงกำหนดสถานที่เป็นหุบเขามรณะ

หุบเขามรณะ… ไม่ใช่สถานที่ธรรมดา ลักษณะภูมิประเทศอันตราย ป้องกันง่าย โจมตียาก และง่ายต่อการซุ่มโจมตีที่สุด

ครั้งล่าสุด มู่หรงฉีถูกฮ่องเต้แคว้นตงเฉินดักซุ่มโจมตี ภายหลังตงหลิงหวง ซูจิ่นซี และคนอื่นๆ ก็ถูกซุ่มโจมตีโดยนักฆ่าจากตำหนักจิ่วเทียน

ดังนั้น หลังจากที่ซูจิ่นซีบอกสถานที่เจรจาของทั้งสองฝ่าย หลายคนแอบคาดเดาว่าจากครั้งล่าสุด รัชทายาทแห่งตงเฉิน ตงหลิงหวงจะกล้ามาอีกครั้งหรือไม่

ในไม่ช้าก็ถึงเวลานัดพบและเจรจาสงบศึกที่หุบเขามรณะ

ยามเช้า ซูจิ่นซีรีบพาทหารและองครักษ์บางส่วนไปยังหุบเขามรณะ โดยที่ซูจิ่นซีเดินทางไปพร้อมกับอวิ๋นจิ่น

เมื่ออีกฝ่ายมาถึงหุบเขามรณะ ตงหลิงหวงก็มาถึงเรียบร้อยแล้ว ทว่าฝั่งตงหลิงหวงเหมือนจะพาคนมาไม่มากเท่าไร มีเพียงทหารสิบกว่านายและองครักษ์สองสามคน ส่วนการแอบซุ่มโจมตีมีหรือไม่นั้น ไม่อาจทราบได้

อย่างน้อย อาคมกำไลปี่อั้นของซูจิ่นซีก็ยังเปิดอยู่ตลอด ทว่านางตรวจไม่พบความผิดปกติอันใด

ตงหลิงหวงประสานมือคำนับซูจิ่นซีอย่างสง่างาม “พวกเราพบกันอีกแล้ว ทว่า… ไม่รู้ว่าครั้งนี้ควรเรียกว่าพระชายาโยวอ๋องหรือฉางอันกงจู่? หรือว่าท่านผู้บัญชาการ? ”

ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากเล็กน้อย

“ตอนนี้ข้าเป็นผู้นำกองทัพแคว้นหนานหลี ซึ่งเป็นตัวแทนของแคว้นหนานหลี”

ใบหน้าของตงหลิงหวงปรากฏรอยยิ้ม แววตาของนางมองผ่านร่างของเยี่ยโยวเหยาและอวิ๋นจิ่นที่อยู่ด้านหลังซูจิ่นซีเล็กน้อย

“ตกลง! ฉางอันกงจู่! ข้ากับท่านถือว่าเป็นสหายเก่า ใจตรงกัน นิสัยตรงไปตรงมา ไม่ทนต่อการพูดจาอ้อมค้อม ดังนั้นข้า ตงหลิงหวงขอพูดตามตรง เหตุผลในการนัดพบฉางอันกงจู่ในครั้งนี้ ได้เขียนไว้ในจดหมายอย่างชัดเจนแล้วว่า เพื่อเห็นแก่ชาวบ้าน หวังว่าข้าจะสามารถหยุดพักการทำสงครามกับแคว้นของท่านชั่วคราว

ข้า ตงหลิงหวงขอเสนอให้สงบศึก หากแคว้นของท่านมีความต้องการอันใดก็อย่าได้ลังเล ตราบใดที่แคว้นเราสามารถทำได้ ก็จะทำให้ท่านพอใจอย่างสุดความสามารถ”

หากต้องการบรรลุความสงบสุขระหว่างสองแคว้นชั่วคราว โดยทั่วไปย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงเงื่อนไขการประนีประนอมไปได้ ตอนที่ตงหลิงหวงเสนอการเจรจราสงบศึก นางได้คิดเรื่องนี้มาบ้างแล้ว

ซูจิ่นซีกวาดสายตามองไปยังด้านหลังของตงหลิงหวงครั้งหนึ่ง “ดูเหมือนข้าจะบอกทูตส่งสารของแคว้นท่านไปแล้ว ในการเจรจาสงบศึกนี้ ข้าต้องการเห็นฉีอ๋องของแคว้นข้า โอ้ ไม่สิ! พูดให้ถูกต้องคือ รัชทายาทของแคว้นข้า”

อย่างไรเสีย ตอนที่มู่หรงอวิ๋นไห่ขึ้นครองราชย์ เขาได้แต่งตั้งให้มู่หรงฉีเป็นรัชทายาทแล้ว

“หากไม่ได้พบรัชทายาทของแคว้นข้า เรื่องเจรจาสงบศึกถือเป็นโมฆะ”

ตงหลิงหวงนั่งอยู่บนหลังม้าด้วยท่าทางดุดันองอาจ มองดูแล้วสง่างามอย่างมาก

“ฉางอันกงจู่วางใจ ในเมื่อได้ตกลงกับกงจู่แล้ว ข้าไม่มีวันคืนคำ”

หลังจากนั้น นางก็สั่งการองครักษ์ด้านหลัง “เชิญฉีอ๋อง! ”

ในเวลาเพียงชั่วครู่ องครักษ์ทั้งสองก็เชิญฉีอ๋องออกมา

แม้จะรู้อยู่แล้วว่ามู่หรงฉีอยู่ในมือของตงหลิงหวง ทว่าเมื่อเห็นกับตาตนเองว่ามู่หรงฉีปลอดภัย ในใจของซูจิ่นซีก็ยังรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย

ส่วนเหล่าทหารและองครักษ์ที่อยู่ด้านหลังของนาง พวกเขาไม่รู้สถานการณ์ของมู่หรงฉี เมื่อครู่ ตอนที่ซูจิ่นซีพูดถึงมู่หรงฉี ความประหลาดใจและความสงสัยก็ปรากฏขึ้นในใจของพวกเขา ตอนนี้ เมื่อได้เห็นกับตาว่ามู่หรงฉีที่หายตัวไปนาน กำลังยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา ทำให้พวกเขาประหลาดใจจนไม่สามารถอธิบายได้

“ฉีอ๋อง! พระองค์สบายดีหรือไม่! ”

“ฉีอ๋อง ดีจริงๆ ที่พระองค์ไม่เป็นอันใด! กระหม่อมและคนอื่นๆ ตามหาพระองค์มานาน ยังคิดว่า… ยังคิดว่าท่านอ๋องจะ… ”

ใบหน้าของมู่หรงฉีซูบลงเล็กน้อย คาดว่าอาการบาดเจ็บบนร่างกายยังไม่หายดี นอกจากนั้น ตอนที่เดินยังมีอาการโคลงเคลงอยู่บ้าง เนื่องจากกระดูกส่วนขาที่แตก

ทว่าเขายังรักษาท่าทีสงบสุขุมในฐานะผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสูงส่งไว้เสมอ

“ข้าสบายดี แม่ทัพทุกท่านและเหล่าพี่น้องจงวางใจ! ”

ทันทีที่ทหารจำนวนมากเห็นมู่หรงฉี น้ำตาของพวกเขาก็ไหลรินลงมาด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะพยายามเช็ดคราบน้ำตาออกจากใบหน้า มู่หรงฉีเคยย้ำเสมอว่าบุรุษหลั่งเลือดไม่หลั่งน้ำตา โดยเฉพาะเวลาอยู่ในสนามรบ

“ท่านอ๋องไม่เป็นอันใดก็ดี ไม่เป็นอันใดก็ดี! ”

ทว่าเพียงพริบตา เหล่าทหารและแม่ทัพใหญ่ที่ยืนอยู่ข้างหลังซูจิ่นซีก็สูญเสียการควบคุมอีกครั้ง พวกเขาเล็งเป้าไปที่ตงหลิงหวง

“รัชทายาทตงเฉิน นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่? พวกเราตามหาอยู่นาน ทว่าไม่พบฉีอ๋องของพวกเรา พระองค์ไปอยู่ที่แคว้นตงเฉินของพวกท่านได้อย่างไร? ”

“ใช่แล้ว! พวกท่านคุมขังฉีอ๋องของพวกเราไว้ใช่หรือไม่? เรื่องนี้ ท่านต้องมีคำอธิบายให้พวกเรา”

“ใช่ เรื่องนี้จำเป็นต้องชี้แจงแก่แคว้นหนานหลีของพวกเรา มิฉะนั้น อย่าคิดถึงเรื่องเจรจาสงบศึกเลย เสียเวลาคุย! ”

“กงจู่ เรื่องเจรจาสงบศึกกับแคว้นตงเฉินไม่อาจตอบรับได้ เรื่องนี้สำหรับกับแคว้นหนานหลีของพวกเรา เป็นความอัปยศอย่างถึงที่สุด! ”

“ใช่แล้ว ไม่อาจตกลงเจรจาสงบศึกได้ ไม่เพียงเท่านั้น แคว้นตงเฉินต้องมีคำอธิบายที่น่าพอใจให้แก่พวกเรา ไม่เช่นนั้น เรื่องในวันนี้ พวกเราไม่ยอมรามือกับแคว้นตงเฉินแน่”

“ใช่ ไม่ยอมรามือ! ต่อให้ทุกที่จะเต็มไปด้วยศีรษะ พวกเราก็ขอต่อสู้กับแคว้นตงเฉินไม่ให้เหลือซาก! ”

เดิมที เหล่าทหารก็ต่อต้านเรื่องเจรจาสงบศึกมากพออยู่แล้ว แม่ทัพคนสำคัญหลายท่าน หากไม่เห็นมู่หรงฉีอยู่ในแคว้นตงเฉิน พวกเขาย่อมไม่ตอบตกลงมาเจรจาสงบศึก

วันนี้ เมื่อเห็นมู่หรงฉีตกอยู่ในมือของคนพวกนั้น ทุกคนต่างคาดเดากันไปต่างๆ นานา และยิ่งต่อต้านการเจรจาสงบศึก

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าทุกคนจะหยิบยกประเด็นการคัดค้านอันใดขึ้นมา แม้ว่าคำพูดจะไม่น่าฟังเพียงใด ทว่าท่าทางของตงหลิงหวงยังคงสงบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง

รอจนทุกคนวิพากษ์วิจารณ์อยู่นาน ในที่สุด ซูจิ่นซีก็ส่งสายตาแสดงความคาดหวังมาทางตงหลิงหวง นางถึงได้เอ่ยปากพูด

“เรื่องนี้ ข้าต้องมีคำอธิบายแก่เหล่าทหารแคว้นหนานหลีแน่นอนอยู่แล้ว ทว่า… เหตุใดฉีอ๋องถึงได้มาอยู่แคว้นหนานหลีของข้า เกรงว่าเหตุผลนี้ ต้องให้ฉีอ๋องอธิบายให้ทุกคนฟังเองกระมัง! ”

หืม?

ฉีอ๋องถูกแคว้นตงเฉินคุมขังไว้ไม่ใช่หรือ? จะให้ฉีอ๋องอธิบายได้อย่างไร?

หรือว่ามีเหตุผลอื่นที่ไม่อาจบอกให้ทุกคนทราบ?

หรือว่ามีความลับที่พูดไม่ได้?