แววตาคาดหวังของทุกคนมองไปที่มู่หรงฉี
เดิมที สายตาของนายทหารแคว้นหนานหลีควรทำให้ตงหลิงหวงรู้สึกลำบากใจจึงจะถูก หากคนธรรมดาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ คาดว่าพวกเขาคงตื่นตระหนกไปนานแล้ว
ทว่าตงหลิงหวงที่เผชิญแรงกดดันจากทุกคน ไม่เพียงไม่เปลี่ยนแปลงสีหน้าเท่านั้น นางยังชาญฉลาดและเจ้าความคิด โยนเรื่องนี้ให้มู่หรงฉีตอบแทนนาง
นางรู้ดีว่ามู่หรงฉีคิดอย่างไรกับตน และรู้ดีว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เขาไม่มีวันทำให้นางลำบากใจ
ดังนั้น นางมั่นใจว่ามู่หรงฉีจะเลือกเงื่อนไขที่เป็นประโยชน์ต่อนางอย่างแน่นอน
สตรีเช่นนี้ ไม่ใช่สตรีธรรมดาแน่นอน
เดิมที ซูจิ่นซีชื่นชมตงหลิงหวงมากอยู่แล้ว ตอนนี้ แววตาแห่งความชื่นชมจึงมองตงหลิงหวงอย่างลึกซึ้งมากขึ้น
ทว่าตอนนี้เป็นโอกาศพิเศษ ซูจิ่นซีไม่อาจปล่อยให้ผู้อื่นจับสังเกตอารมณ์เช่นนี้ได้โดยง่าย นางจึงปิดบังความคิดนั้นด้วยสายตาสงบนิ่ง
“ท่านอ๋อง นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่? ”
“พระองค์ถูกพวกเขาบีบบังคับใช่หรือไม่? ”
“สตรีผู้นี้ทำอันใดกับพระองค์? ”
“ท่านอ๋องตรัสเถิด! เพียงพระองค์ตรัสมาประโยคเดียว เหล่าพี่น้องจะติดตามพระองค์และต่อสู้ไปจนถึงเมืองหลวงแคว้นตงเฉิน เพื่อลบล้างความอัปยศให้แก่พระองค์! ”
“ท่านอ๋อง? พระองค์ตรัสเถิด! เหตุใดถึงไม่ตรัสอันใดเลย? ”
ทุกคนต่างตั้งตารอคอยคำอธิบายของมู่หรงฉี ทว่ามู่หรงฉีไม่ยอมเปิดปาก ทำให้พวกเขาเป็นกังวลอย่างมาก
ความจริงแล้ว มู่หรงฉีไม่คิดว่าตงหลิงหวงจะโยนเรื่องนี้มาให้เขา ดังนั้นในใจของเขาจึงสับสน ทั้งแปลกใจและไม่คาดฝัน
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องไม่คาดฝัน ที่แปลกใจคือ เขาสามารถรู้สึกได้ว่าตงหลิงหวงรับรู้ถึงความจริงใจของเขา แม้นางจะหลอกใช้ประโยชน์จากเขา ทว่าเขากลับมีความสุขมาก
เมื่อเผชิญกับคำถามของเหล่าทหารแคว้นหนานหลี มู่หรงฉีจึงไม่ได้ลำบากใจ ทว่าหัวใจของเขาอยู่ที่ร่างของตงหลิงหวง
หลังผ่านไปครู่ใหญ่ ในที่สุดเขาก็ลุกขึ้นเพื่อผ่อนคลายความกังวลของทุกคน
“แม่ทัพและทหารทุกท่าน ทุกคนวางใจได้! แคว้นตงเฉินและรัชทายาทตงเฉินไม่ได้ทำอันใดข้า ตรงกันข้าม ก่อนหน้านี้ข้าตกหน้าผา ทำให้ขาหัก ทั้งยังได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการลอบสังหารของนักฆ่าตำหนักจิ่วเทียน ทว่ารัชทายาทแคว้นตงเฉินได้ช่วยชีวิตข้าไว้! ”
ทุกคนไม่คิดว่าคำตอบจะเป็นเช่นนี้ พวกเขาต่างพากันนิ่งงันอย่างประหลาดใจ
ทว่าไม่นานนัก คนผู้หนึ่งก็ตั้งคำถามขึ้นมาทำลายความเงียบ
“ตอนที่ตกหน้าผา ท่านอ๋องไปอยู่ที่ใด? ”
“ใช่ ท่านอ๋อง พวกเราพี่น้องตามหาพระองค์ที่ใต้หน้าผาอยู่นาน ทว่าหาไม่พบ พวกเราตามหาพระองค์จนแทบพลิกแผ่นดิน พระองค์ไปอยู่ที่ใด? ”
“ในเมื่อรัชทายาทตงเฉินช่วยพระองค์ไว้ อย่างน้อยพระองค์ก็ควรส่งข่าวคราวรายงานความปลอดภัยให้ทุกคนทราบ! เหตุใดพระองค์ถึงไม่ติดต่อกับกองทัพเล่า? ”
“หึ! นี่ยังต้องพูดอีกหรือ? พูดให้น่าฟัง ท่านอ๋องพวกเรายกย่องพวกเขา เห็นแก่คนที่ช่วยชีวิต หากพูดไม่น่าฟัง อาจเป็นแคว้นตงเฉินที่ทำท่านอ๋องบาดเจ็บและกักขังท่านอ๋องไว้ ท่านอ๋องถูกบังคับให้เป็นตัวประกันในแคว้นตงเฉิน จึงไม่สามารถส่งข่าวให้พวกเราพี่น้องได้กระมัง? ”
“ใช่ ต้องเป็นเช่นนี้แน่ ไม่เช่นนั้นท่านอ๋องคงส่งข่าวรายงานความปลอดภัยมาให้พวกเรานานแล้ว สำหรับพวกเรา เรื่องนี้เป็นความอัปยศอย่างถึงที่สุด คำพูดเช่นนี้ พวกเราไม่อาจกล้ำกลืนยอมรับได้! ”
“ใช่ จะต้องเอาคืน”
ทุกคนยิ่งพูดยิ่งตื่นเต้น ต่างสรุปกันไปเองแล้วว่ามู่หรงฉีถูกตงหลิงหวงกักขังไว้ และถูกแคว้นตงเฉินจับเป็นตัวประกัน
ตอนนี้ เพียงเพราะแคว้นตงเฉินมีศึกภายในและภายนอก ไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากส่งมอบมู่หรงฉี ตามการบีบบังคับของซูจิ่นซี
หากไม่ใช่เพราะแคว้นตงเฉินเกิดปัญหาขัดแย้งภายใน บางทีพวกเขาอาจทำเรื่องอันใดบางอย่างกับมู่หรงฉีก็เป็นได้
แท้จริงแล้ว หลังออกมาจากหุบเขาหลูเหว่ย ในตอนแรก ตงหลิงหวงพามู่หรงฉีไปที่แคว้นตงเฉินเพราะต้องการกักขังมู่หรงฉีไว้จริงๆ
ส่วนเป้าหมายที่แท้จริงนั้น… ตงหลิงหวงไม่ได้ใช้ประโยชน์จากมู่หรงฉีเพื่อบีบบังคับแคว้นหนานหลี!
ทว่าเป็นเหตุผลอันใดนั้น เกรงว่ามีเพียงนางผู้เดียวที่รู้
อย่างไรก็ตาม มู่หรงฉีไม่สามารถบอกความจริงแก่เหล่าทหารแคว้นหนานหลีได้
เขาไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพบคำพูดที่สมเหตุสมผลเพื่อปลอบขวัญและจิตใจของเหล่าทหาร
“หลังจากตกลงมาจากหน้าผา ข้าได้รับบาดเจ็บสาหัสจริงๆ ทำให้ไม่รู้สึกตัวเป็นเวลานาน จึงไม่ได้รายงานความปลอดภัยและปล่อยให้พี่น้องทุกท่านเป็นห่วง ต้องขออภัยจริงๆ ”
เหตุผลนี้ครอบคลุมอย่างมาก ทว่าไม่ได้ไร้ข้อบกพร่องเสียทีเดียว
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านอ๋อง หลังจากที่พระองค์ฟื้น เพราะเหตุใดจึงไม่ส่งจดหมายให้พวกเรา? ”
“ใช่แล้ว หลังจากที่พระองค์ฟื้น พระองค์ควรเขียนจดหมายให้พวกเราทราบทันที! ต้องเป็นเพราะถูกสตรีผู้นี้กักขังใช่หรือไม่? ท่านอ๋อง พระองค์ไม่จำเป็นต้องแก้ตัวแทนสตรีผู้นี้ พี่น้องทุกคนเข้าใจ! ”
เรื่องเลยเถิดไปถึงขั้นนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่เกี่ยวกับซูจิ่นซีสักนิด เวลานี้นางจึงทำตัวเป็นผู้ชมที่ดี
ทว่ายิ่งดู นางยิ่งเป็นกังวลแทน!
กังวลกับสติปัญญาของทหารที่น่ารักเหล่านี้เสียจริง!
มู่หรงฉีพูดชัดเจนมากแล้ว ทว่าไม่ได้พูดตรงๆ ให้เข้าใจว่า สตรีนางนี้ ข้าหมายตาไว้แล้ว หลังจากนี้นางจะเป็นรัชทายาทของพวกเจ้า ฮองเฮาของพวกเจ้า มารดาของแคว้นพวกเจ้า พวกเจ้าไม่อาจทำให้นางลำบากใจ
ทว่าพวกเขาไม่เข้าใจ!
นอกจากนั้นยังคิดหาเหตุผลแทนมู่หรงฉีอีก
ช่างน่ารักเหมือนตัวปิกาจูจริงๆ
ซูจิ่นซีเห็นว่าคำพูดของทุกคน ยิ่งพูดยิ่งออกนอกประเด็นไปไกลขึ้นเรื่อยๆ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่ามู่หรงฉีคงไม่อาจไกล่เกลี่ยได้ นางจึงเข้าควบคุมสถานการณ์
“เอาเถิด ทหารทุกท่านอย่าได้วู่วาม เรื่องของฉีอ๋องพักไว้ชั่วคราว พวกเรามาคุยเรื่องสำคัญของวันนี้ก่อน”
เรื่องสำคัญ แน่นอนว่าเป็นเรื่องการเจรจาสงบศึก
เมื่อสิ้นเสียงของซูจิ่นซี ทุกคนต่างแสดงสีหน้าคัดค้านทันที
“กงจู่ ไม่ได้เด็ดขาด! เจรจาสงบศึกไม่ได้เด็ดขาด เรื่องเจรจาสงบศึก พวกเราไม่ตกลงด้วยแน่นอน! ”
“ใช่ แม้ตัวตาย พวกเราก็ไม่อาจตกลงเจรจาสงบศึก! ”
นี่คือจิตวิญญาณแห่งสกุลมู่หรงและจิตวิญญาณของทหารกล้าสกุลเกา
เมื่อสกุลมู่หรงอยู่ในอาณาจักรต้าฉิน พวกเขาเป็นตระกูลแม่ทัพ ส่วนสกุลเกาก็มีอำนาจภายใต้เชื้อพระวงศ์ต้าฉิน
สกุลเกาชำนาญด้านการต่อสู้ อาบเหงื่อหลั่งเลือด ไม่มีวันก้มหัวให้ผู้ใด
ซูจิ่นซีนั่งบนหลังม้าด้วยท่าทีทะนงตน นางหันหน้าไปมองเหล่าทหารที่อยู่ด้านหลังด้วยแววตาสง่าผ่าเผย
ไม่รู้เพราะเหตุใด เห็นได้ชัดว่าเป็นแววตาราบเรียบ ทั้งยังเป็นแววตาที่ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ทว่าพวกเขากลับรู้สึกได้ถึงความสง่างามและแรงกดดันแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แรงกดดันเช่นนี้ พวกเขาอดก้มศีรษะไม่ได้ ทั้งยังไม่กล้าสบสายตา
หลังจากนั้น ซูจิ่นซีจึงพูดขึ้นว่า “ตาย? พวกเจ้าหมายถึงตนเองหรือประชาชนผู้บริสุทธิ์? ”
ครู่เดียว ทุกคนก็ไม่พูด ไม่คุย ไม่กล้าส่งเสียงหายใจออกมา
ซูจิ่นซีกล่าวต่อ “พวกเจ้าอยู่ในสถานะใด? มีหน้าที่รับผิดชอบอันใด?
อย่าลืมว่าพวกเจ้าเป็นทหารแคว้นหนานหลี สวมชุดเกราะและเครื่องแบบทหารเพื่อปกป้องชาติบ้านเมือง เพื่อปกป้องประชาชนที่อยู่ด้านหลังพวกเรา แน่นอนว่าการต่อสู้ด้วยเลือดและการตายในสนามรบคือวีรบุรุษ ทว่าการมีชีวิตอยู่คือชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ตราบใดที่มีชีวิตอยู่ก็มีความเป็นไปได้อย่างไร้ที่สิ้นสุด และมีโอกาสในการทำสิ่งต่างๆ แทนชาติบ้านเมืองที่อยู่ด้านหลังพวกเราได้มากขึ้น
หากการตายนั้นเป็นของพวกเจ้า ตอนนี้พวกเจ้าก็ไปได้เลย! สู้กับศัตรูจนตาย บนอนุสาวรีย์จะได้สลักชื่อของพวกเจ้าตลอดไป ข้า ท่านอ๋อง รัชทายาท และประชาชนแคว้นหนานหลีจะไปกราบไหว้พวกเจ้าทุกปี ทว่าไม่อาจจดจำพวกเจ้าได้ตลอดไป เพราะหลังจากสิ้นพวกเจ้าแล้ว ยังมีแม่ทัพและทหารจำนวนมากขึ้นมาปกป้องบ้านเมืองนี้ด้วยเลือดเนื้อของพวกเขาเช่นกัน
หากการตายนั้นเป็นของประชาชนผู้บริสุทธิ์… ”
พูดถึงตรงนี้ ซูจิ่นซีก็หยุดชะงัก เห็นได้ชัดว่าแววตาของนางราบเรียบ ทว่าอธิบายไม่ได้ เพียงสายตาคู่นั้นมองผ่าน พวกเขาก็รู้สึกถึงความเย็นยะเยือก
แม้แต่แม่ทัพเฒ่ามู่หรงที่อ้างว่าตนเองอาวุโสที่สุดในแคว้นหนานหลี ยังอดรู้สึกแผ่นหลังเย็นวาบไม่ได้
‘ชริ้ง! ’
ซูจิ่นซีชักกระบี่เฟิ่งอวี่ในมือออกมา ปลายกระบี่ปักลงบนพื้นอย่างทรงพลัง และปักอยู่เบื้องหน้าม้าของแม่ทัพสองสามนายที่อยู่ด้านหน้าสุด
ม้าพลันตกใจกลัวและยกเท้าหน้าขึ้นสูง ก่อนจะร้องด้วยความตกใจ ทหารที่อยู่ข้างหลังต่างถอยออกไปสองสามก้าวด้วยความตื่นตระหนก
น้ำเสียงเย็นชาและสง่างามของซูจิ่นซี ดังก้องระหว่างสวรรค์และโลก “พวกเจ้าคือทหาร หากเป็นเช่นนั้น ข้ากับพวกเจ้าจะมีหน้าเอาตัวรอดอยู่บนโลกนี้ได้อย่างไร? ”