ต่อหน้าสายตาของผู้คุมและคนคุกทั้งหมด นายน้อยอู่โหวสะกดอารมณ์ตนเองอีกครั้ง ลูบผมที่ยุ่งเหยิงราวกับรังนกของหลิวอวี้เอ๋อร์ผ่านกรงเหล็ก “เอาล่ะ หยุดร้องได้แล้ว ข้าจะสั่งคนให้ปล่อยเจ้าออกมาเดี๋ยวนี้”
หลิวอวี้เอ๋อร์ร้องไห้จนไม่สามารถพูดได้ ทำได้เพียงพยักหน้าเท่านั้น
นายน้อยอู่โหวชายตามองผู้คุมเล็กน้อย สั่งให้เขาเปิดประตู
ผู้คุมเข้าใจคำสั่ง เดินเข้ามา ใช้กุญแจเปิดประตูออก หลิวอวี้เอ๋อร์กระโจนเข้ามา พุ่งเข้าหาอ้อมกอดของนายน้อยอู่โหว ร้องไห้เสียงดังกว่าเดิม ปลดปล่อยความรู้สึกน้อยใจและกลัวออกมา
กลิ่นเหม็นฉุนลอยเข้าจมูกนายน้อยอู่โหวเป็นระยะ ทำเอาเขาคลื่นไส้จนแทบจะอาเจียนออกมา รีบผลักหลิวอวี้เอ๋อร์ออก หันหน้าไปอีกทาง หายใจหอบไม่หยุด
หลิวอวี้เอ๋อร์ร้องไห้จนเสียสติ ถูกนายน้อยอู่โหวผลักออกอย่างแรง ร่างของนางจึงได้เซไปด้านหลัง ชนเข้ากับประตูห้องขัง นางไม่เข้าใจ จึงได้หยุดร้องไห้ลงทันที อ้าปากค้างเล็กน้อย ดวงตาที่รอ น้ำตาปกคลุมมองเขาด้วยความประหลาดใจ
ล้วนทำไปเพราะลืมตัว เมื่อนายน้อยอู่โหวนึกได้ว่าตนทำอะไรลงไปนั้น จึงรู้สึกอารมณ์เสียยิ่งนัก ฝืนยิ้มออกมา ฝืนพูดว่า “อวี้เอ๋อร์ เจ้าโตเป็นสาวแล้ว ระวังกิริยาด้วย”
จวนอู่โหวเป็นถึงจวนของข้าราชการระดับสูง ให้ความสำคัญกับเรื่องกิริยามารยาท โดยเฉพาะกับเด็กผู้หญิง ถือว่าได้รับการอบรมสั่งสอน กฎเกณฑ์เหล่านี้หลิวอวี้เอ๋อร์รู้ดี เพียงแต่วันนี้นางตื่นเต้นมากไปจึงได้ลืมตัว เมื่อได้ยินนายน้อยอู่โหวกล่าวเช่นนี้ จึงมีสติขึ้นมา หน้าแดง กดเสียงตัวเองพูดว่า “ท่านพ่อเจ้าคะ ลูกผิดไปแล้ว ท่านอภัยด้วย”
นายน้อยอู่โหวยื่นมือออกมา หวังจะลูบหัวนาง แต่มองดูผมเผ้ายุ่งเหยิงของหลิวอวี้เอ๋อร์ มือที่ยกออกมาจึงได้หดกลับไป “ไปกันเถิด ตามพ่อออกไป มีเรื่องอะไรค่อยว่ากัน”
พูดจบ จึงได้หันหลังเดินก้าวเท้ายาวออกไป
หลิวอวี้เอ๋อร์เช็ดน้ำตา เดินตามออกไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อออกจากคุกมา ก็ตรงมายังโรงเตี๊ยมที่พักอยู่ เข้าประตูมา นายน้อยอู่โหวก็ได้สั่งเถ้าแก่ว่า “เปิดห้องชั้นดี หนึ่งห้อง ให้คนนำน้ำร้อนมาส่งด้วย”
เถ้าแก่เงยหน้ามอง เห็นร่างอ่อนแรงของหลิวอวี้เอ๋อร์จึงได้ชะงักเล็กน้อย มองนายน้อยอู่โหวด้วยความสงสัย ความคิดบางอย่างแล่นเข้ามาในหัว
นายน้อยอู่โหวไม่ได้สังเกตสีหน้าของเขา ทิ้งตั๋วเงินจำนวนห้าสิบตำลึงลงบนโต๊ะ “รบกวนให้เถ้าแก่เนี้ยไปซื้อเสื้อผ้าให้นางสองชุด เงินที่เหลือนับว่าเป็นค่าเดินทาง”
เถ้าแก่คำนวณในใจ ชุดอย่างดีชุดหนึ่ง รวมแล้วก็สิบกว่าตำลึงเท่านั้น สองชุดไม่เกินสี่สิบตำลึง เพียงไปซื้อของเท่านี้ได้เงินเยอะเพียงนี้ เถ้าแก่ยินดียิ่งนัก รอยยิ้มบนหน้าเผยออกมา พยักหน้า เอ่ยรับรองว่า “ท่านโปรดวางใจ ข้าจะให้คนไปซื้อให้บัดเดี๋ยวนี้เลยขอรับ จะมิให้เสียเวลาแม่นางผู้นี้เลย”
พูดจบ ก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองหลิวอวี้เอ๋อร์อีกครั้ง ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าสกปรกดูมิได้ ร่างกายยังส่งกลิ่นเหม็นออกมา ดูไม่ออกเลยว่ามีอะไรที่ทำให้คนชอบใจได้
นายน้อยอู่โหวเดินขึ้นบันไดไป หลิวอวี้เอ๋อร์เดินตามไปด้านหลัง
เถ้าแก่ถลึงตาใส่เสี่ยวเอ้อร์คนหนึ่ง เสี่ยวเอ้อร์รีบตามไปอย่างรวดเร็ว เปิดห้องอย่างดีให้พวกเขา จากนั้นก็วิ่งลงมา ไปต้มน้ำที่เรือนหลัง จากนั้นก็นำไปส่ง
มองดูห้องสะอาดสะอ้าน หลิวอวี้เอ๋อร์จึงได้เข้าใจว่าชีวิตกลับมาแล้ว เรื่องที่ผ่านมาหลายวันก่อนจะต้องเป็นฝันร้ายเป็นแน่ นางไม่อยากประสบพบอีกแล้ว
น้ำร้อนมาส่งให้แล้ว นางอาบน้ำจนสบายตัว เถ้าแก่เนี้ยไปซื้อเสื้อผ้ามาด้วยความรวดเร็ว ตัวหนึ่งสีชมพู อีกตัวสีแดงด้านบนมีดอกไม้เล็กๆ พอ เหมาะสมยิ่งนัก นางเป็นเด็กสาวอายุรุ่นราวคราวนี้ ฐานะไม่ได้ดี แต่ไม่ได้แน่ เป็นชุดที่คนพอมีเงินใส่กันปกติ หากเมื่อก่อน หลิวอวี้เอ๋อร์คงไม่ถูกใจ แต่บัดนี้นางไม่สนใจแล้ว หยิบชุดสีชมพูดขึ้นมา สวมใส่ เปิดประตู หยิบชุดเก่าของตนโยนออกไปให้คนงาน “เอาไปทิ้งเสีย”
แม้ว่าชุดจะสกปรกมาก แต่เนื้อผ้าดูก็รู้ว่าเป็นของดี คนงานเสียดาย คิดว่าจะนำกลับไปซักแล้วให้คนที่บ้านใส่ ปากรับคำ หยิบลงบันไดมา แต่กลับแอบไว้ที่มุมหนึ่ง รอตนมีเวลาว่างแล้วจึงค่อยซักให้สะอาด ส่งให้คนที่บ้านใส่
เนื้อตัวสะอาดแล้ว หลิวอวี้เอ๋อร์สดชื่นขึ้นมา เดินไปเคาะประตูห้องนายน้อยอู่โหว พูดด้วยความยินดีว่า “ท่านพ่อ ข้าเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
“เข้ามาสิลูก!” นายน้อยอู่โหวกลับมาใจดีเช่นเดิม พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
หลิวอวี้เอ๋อร์เปิดประตูเดินเข้าไป
ภายในห้องเต็มไปด้วยอาหารร้อนๆ นายน้อยอู่โหวกวักมือเรียกนาง “รีบมาเร็วเข้า พ่อรอเจ้าจนหิวแล้ว สั่งให้คนนำของที่เจ้าชอบมาให้เจ้าด้วย”
กลิ่นหอมลอยเข้าจมูก หลิวอวี้เอ๋อร์สูดเข้าไปอย่างลืมตัว ไม่นานเดินเข้ามาข้างโต๊ะ นั่งลงพูดด้วยความดีใจว่า “ขอบพระคุณเจ้าค่ะ ท่านพ่อ”
“ลูกคนนี้นี่ เกรงใจพ่อด้วยเหตุใดกัน” พูดจบ หยิบตะเกียบที่วางอยู่บนโต๊ะส่งให้นาง “รีบกินเร็ว หิวแย่แล้วใช่หรือไม่”
“อื้ม!” หลิวอวี้เอ๋อร์พยักหน้า หยิบตะเกียบขึ้นมาด้วยความดีใจ กินเข้าไปคำใหญ่ กินไปไม่กี่คำก็นึกถึงคำที่พ่อของตนดุตอนอยู่ในคุกได้ จึงได้กินให้ช้าลง
“ที่นี่ไม่มีคนนอก เจ้าอยากกินอย่างไรก็ได้ ในฐานะพ่อ ข้าไม่ว่าอะไรเจ้าหรอก” นายน้อยอู่โหวเองคิดถึงคำของตนเมื่อครู่ได้ จึงได้ยิ้มพร้อมปลอบโยนนาง
หลิวอวี้เอ๋อร์สบายใจ นางหิวมากจริงๆ จึงได้กินอย่างตะกละตะกลาม
แต่ตอนที่นางไม่ได้สนใจนั้น นายน้อยอู่โหวขมวดคิ้วลง เมื่อนางเงยหน้ามองเขา เขาจึงได้เผยรอยยิ้มออกมา
กินเสร็จจนอิ่มแล้ว หลังเรอออกมาอย่างไม่สุภาพ หลิวอวี้เอ๋อร์พูดออกมาด้วยความเขินอายว่า “ไม่ได้กินข้าวอิ่มมาหลายวันแล้ว ข้าหิวเหลือเกิน ท่านพ่อได้โปรดอย่าว่าข้าไร้มารยาเลยนะเจ้าคะ”
เป็นเวลาที่ควรเผยความรู้สึกกลัวในใจออกมาแล้ว “อวี้เอ๋อร์ เจ้ารู้หรือไม่ว่าหลังพ่อมายังเจียงหนานแล้ว เมื่อพ่อได้ยินว่าเจ้าถูกโจรจับตัวไป พ่อแทบเป็นลมล้มไป พ่อมีเจ้าเป็นลูกสาวอยู่ผู้เดียว หากเจ้าเป็นอะไรขึ้นมา พ่อและแม่ของคงมีชีวิตต่อไปไม่ได้”
เมื่ออยู่ในจวน นายน้อยอู่โหวไม่เคยพูดจาเช่นนี้กับนาง หลิวอวี้เอ๋อร์ซาบซึ้งจนขอบตาแดง จึงได้เอ่ยว่า “ท่านพ่อ…”
พูดได้สองคำ ก็ถูกนายน้อยอู่โหวตัดบท “อวี้เอ๋อร์ บ้านของท่านตาของเจ้าเกิดเรื่องขึ้นแล้ว เจ้ารู้แล้วหรือไม่”
อาศัยอยู่ในจวนฮั่วมาหนึ่งปี ฮั่วเจี่ยและฮั่วฮูหยินรักนางมาก หลิวอวี้เอ๋อร์เองก็รักพวกเขา เมื่อได้ยินเช่นนั้น ดวงตาแดงกว่าเดิม “ลูกเองก็เพิ่งรู้เมื่อตอนที่กลับจวนไปเมื่อครู่เจ้าค่ะ ท่านพ่อรู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับท่านตา”
“คนในจวนถูกจับเข้าคุกไปทั้งหมด ท่านตาและท่านยายของเจ้าก็ไม่รอด”
“เช่นนั้น ท่านพ่อมีวิธีช่วยพวกเขาอย่างไรหรือเจ้าคะ” หลิวอวี้เอ๋อร์ถามด้วยความร้อนรน
นายน้อยอู่โหวส่ายหน้า “ฝ่าบาทส่งคนตระกูลเมิ่งมาเป็นผู้แทนพระองค์ ข้าเป็นเพียงผู้ช่วยเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์อื่นใด”
เสียงของหลิวอวี้เอ๋อร์ดังขึ้นเล็กน้อย ถามด้วยความร้อนใจว่า “แต่ ที่ท่านตาทำเช่นนี้ ก็เพื่อข้า เพื่อจวนอู่โหวของพวกเรานะเจ้าคะ เพียงแต่อยากแก้แค้นแทนพวกเราเท่านั้น”
นายน้อยอู่โหวมีความคิดที่อยากจะบีบคอเด็กโง่ผู้นี้ให้ตาย ยิ่งนางตะโกนโหวกเหวกเช่นนี้ กลัวคนด้านนอกไม่ได้ยินอย่างนั้นหรือ สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นทันที พูดด้วยน้ำเสียงสั่งสอนว่า “อวี้เอ๋อร์ เรื่องนี้ผู้ใดบอกเจ้า”
“ไม่มีผู้ใดบอกลูกเจ้าค่ะ ลูกเพียงเห็นด้วยตาลูกเอง” เสียงของหลิวอวี้เอ๋อร์ไม่ได้เบาลง แต่กลับดังขึ้นกว่าเดิม
ความอดทนของนายน้อยอู่โหวถึงที่สุดแล้ว จึงได้ทุบโต๊ะเสียงดัง ตะคอกเสียงดังว่า “พอได้แล้ว! อย่าพูดจาซี้ซั้วอีก!”
หลิวอวี้เอ๋อร์ตกใจมาก เบิกตาโตมองเขา ถูกกระทบกระเทือนต่อเนื่อง น้ำแกงไหลลงมาตามโต๊ะมายังกระโปรงของนาง แต่นางยังไม่รู้สึก
นายน้อยอู่โหวยืนขึ้น เดินวนไปมาในห้อง หวังจะกดไฟโกรธในใจของตนลง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ทำไม่ได้ จึงหันหลัง จ้องหลิวอวี้เอ๋อร์ สั่งด้วยเสียงดุว่า “คำพูดเมื่อครู่นี้ ห้ามเจ้าพูดออกมาอีก หากเจ้ายังกล้าพูดออกมาแม้ครึ่งคำ ข้าจะไล่เจ้าออกจากจวนอู่โหว ตัดพ่อตัดลูกกับเจ้าไปตลอดกาล”
หลิวอวี้เอ๋อร์ตกใจน้ำเสียงและท่าทางของเขา ร่างห่อลงด้วยความกลัว ถามด้วยความขลาดว่า “เพราะ… เพราะอะไรหรือเจ้าคะ”
“เพราะว่าตระกูลฮั่วจบสิ้นแล้ว เพราะว่าอาจจะทำให้จวนอู่โหวติดร่างแหไปด้วย เจ้ารู้หรือไม่” นายน้อยอู่โหวโกรธเสียจนหน้าแดง กดเสียงต่ำตะคอกนาง
หลิวอวี้เอ๋อร์ไม่กล้าพูดอีก แต่จากสีหน้านางรู้ได้ว่ายังไม่เข้าใจ
นายน้อยอู่โหวโกรธเสียจนเดินวนไปมาในห้องครู่ใหญ่ ฝืนกดไฟโกรธในใจลงไปได้ จึงได้เดินกลับไปที่เดิม พูดกับหลิวอวี้เอ๋อร์อย่างตั้งใจว่า “อวี้เอ๋อร์ พ่อรู้ว่าที่ลูกพูดเป็นความจริง ท่านตาของเจ้าอยากแก้แค้นแทนจวนอู่โหวของเราจริง แต่เขามิควรเอาเสียเลย ทำคนตายไปหลายคน แล้วยังอยากฆ่าครอบครัวอ๋องฉี นี่เป็นโทษประหารเจ็ดชั่วโคตร ฝ่าบาทไม่พอพระทัยจวนอู่โหวของเราแล้ว หากฝ่าบาททรงทราบสาเหตุ ตัดความเมตตาที่มีต่อจวนอู่โหวของเรา เช่นนั้นพวกเราทุกคนก็คงต้องไปเป็นขอทานข้างทางแล้ว”
หลิวอวี้เอ๋อร์เข้าใจแล้ว จึงได้เข้าใจความร้ายแรงของเรื่องนี้ จึงได้เบิกตาโต กลืนน้ำลาย “ท่าน ท่านพ่อหมายความว่าท่านตาจะสามารถทำพวกเราติดร่างแหไปด้วยอย่างนั้นหรือ”
“ก็ต้องดูว่าเจ้าจะพูดอย่างไร หากเจ้าพูดได้ดี ต่อจากนี้จวนอู่โหวของเรายังมีโอกาสในเมืองหลวง แต่หากเจ้าพูดไม่ถูก จวนอู่โหวของเราก็คงจบสิ้นเพราะเจ้าแล้ว”
หลิวอวี้เอ๋อร์ตกใจ สีหน้าซีดขาว ถามปากสั่น “ความ ความหมายของท่านพ่อลูกฟังไม่เข้าใจเจ้าค่ะ”
นายน้อยอู่โหวถอนหายใจ ยืนขึ้น เทน้ำส่งให้ตรงหน้าหลิวอวี้เอ๋อร์ “อวี้เอ๋อร์ มิใช่ว่าพ่อใจร้าย แต่พ่อจนปัญญาจริงๆ ต้องคิดหาวิธีปกป้องจวนอู่โหวของเราก่อน จึงค่อยหาทางปกป้องท่านตาของเจ้าได้”
หลิวอวี้เอ๋อร์เข้าใจบางอย่างแล้ว ถามว่า “ท่านพ่อเจ้าคะ ลูกควรทำเช่นไรดี”
นายน้อยอู่โหวกดเสียงต่ำลง พูดสิ่งที่ตนคิดไว้เมื่อตอนรอนางออกมา
หลิวอวี้เอ๋อร์ยิ่งฟังยิ่งตกใจ สีหน้ายิ่งซีดขาว ยิ่งไม่อยากเชื่อมากขึ้น นายน้อยอู่โหวพูดจบ นางส่ายหน้าเป็นพัลวัน “มิได้ มิได้เจ้าค่ะ ท่านพ่อ ข้าพูดเช่นนี้ไม่ได้ หากพูดเช่นนี้ ครอบครัวของท่านตาต้องจบสิ้นแล้ว!”