“เช่นนั้นเจ้าอยากให้ฝ่าบาทตรวจสอบจวนอู่โหว ยอมไม่มีบ้านอยู่อย่างนั้นหรือ” นายน้อยอู่โหวถามนางเสียงดัง
หลิวอวี้เอ๋อร์ส่ายหน้าเร็วกว่าเดิม “ไม่อยากเจ้าค่ะ”
“อย่างนั้นเจ้าเชื่อฟังพ่อ คิดให้ดีว่าเมื่อพบท่านอ๋องแล้วควรพูดเช่นไร”
หลิวอวี้เอ๋อร์ปฏิเสธ “มิได้ มิได้เจ้าค่ะ ลูกทำเช่นนั้นมิได้ เช่นนั้นจะเป็นภัยต่อครอบครัวท่านตา”
“ท่านอ๋องเป็นผู้ประสบเรื่อง ต่อให้เจ้าไม่พูด ครอบครัวท่านตาของเจ้าก็จบสิ้นแล้ว หากเจ้าพูด จะทำให้จวนอู่โหวของเราเดือนร้อนไปด้วย”
……
ไม่ว่านายน้อยอู่โหวจะกล่าวเช่นไร หลิวอวี้เอ๋อร์ก็เอาแต่ก้มหน้าไม่พูดจา
ขณะที่นายน้อยกำลังอดกลั้นไฟในอก ร้อนใจแทบทนไม่ได้นั้น ในที่สุดหลิวอวี้เอ๋อร์ก็เปิดปากพูด “ท่านพ่อเจ้าคะ ลูกไม่ได้นอนหลับมาหลายวันแล้ว มึนหัวเหลือเกิน ลูกขอพักสักหน่อย แล้วเราค่อยๆ คิดกันนะเจ้าคะ”
ไฟจะลามมาถึงคิ้วอยู่แล้ว นางยังมีจิตใจคิดจะนอนอยู่อีกหรือ นายน้อยอู่โหวแทบอดไม่ได้ที่จะแหวกกะโหลกนาง ดูว่าด้านในมีแต่ขี้เถ้าใช่หรือไม่ เหตุใดจึงไม่รู้จักแยกแยะเรื่องราวบ้าง แต่ก็ไม่กล้าบังคับนางมากเกินไป หากบังคับให้นางพูดอย่างที่ตนอยากให้พูด ไม่แน่ว่าอาจจะได้ผลลัพธ์ตรงกันข้าม จึงได้สูดหายใจลึก ครั้งแล้วครั้งเล่า พยักหน้า “ได้ ไปเถิด รอเจ้าตื่นมาแล้ว เราสองพ่อลูกค่อยคุยกัน”
“ลูกขอตัวเจ้าค่ะ!” หลิวอวี้เอ๋อร์ยืนขึ้น พร้อมเดินออกไป
มองแผ่นหลังของนาง คิ้วของนายน้อยอู่โหวขมวดปม หวังว่าตอนนี้ท่านอ๋องจะยังไม่ส่งคนมาเร่งเร้า
หลิวอวี้เอ๋อร์กลับห้องไป นอนไปทั้งชุด นอนเงยหน้า มองเพดานด้วยสายตาแน่นิ่ง คำของนายน้อยอู่โหวดังขึ้นในหัวของนางครั้งแล้วครั้งเล่า นางคิดไม่ถึงเลยว่าพ่อแท้ๆ ของตนจะพูดอะไรเช่นนั้นออกมา
ผ่านไปหนึ่งก้านธูป ความง่วงเข้าจู่โจม หลิวอวี้เอ๋อร์ปิดตาลง หลับสนิทไป
นายน้อยอู่โหวคิดว่าหลิวอวี้เอ๋อร์นอนหนึ่งชั่วยามก็เพียงพอแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าจนพลบค่ำแล้วนางยังคงไม่ตื่นขึ้นมา เมื่อรู้สึกผิดแผกไป จึงได้ไปเคาะประตูเรียกนาง ไม่มีผู้ใดตอบรับ ด้วยความร้อนใจ จึงได้ยกขาขึ้นถีบประตูออก ปัง เสียงดังขึ้นมา ประตูถูกถีบออก เถ้าแก่และแขกเหรื่อด้านล่างตกใจเสียงนั้น ต่างเงยหน้าขึ้นมามอง ภายในห้องไม่มีสิ่งใด
นายน้อยอู่โหวเดินสาวเท้ายาวเดินเข้าไปด้านใน
หลิวอวี้เอ๋อร์นอนอยู่บนเตียง ตาปิดสนิท หน้าแดงเล็กน้อย ทั้งร่างกายยังสั่นเทา
นายน้อยอู่โหวใช้มือทาบลงบนหน้าผากของนาง รู้สึกว่าหน้าผากร้อนเหลือเกิน จึงได้ตะโกนสั่งเสียงดังว่า “ให้เถ้าแก่ไปเรียกหมอมาที อวี้เอ๋อร์ป่วย”
ลูกน้องส่งต่อคำสั่ง เถ้าแก่รีบสั่งให้คนงานไปเรียกมาจับชีพจร สั่งยา จัดยา ต้มยา เมื่อทำทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ก็ผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม สีท้องฟ้าด้านนอกมืดลงทุกที
เมื่อดื่มยาแล้ว สีแดงบนใบหน้าของหลิวอวี้เอ๋อร์ก็ได้หายไป บนหน้าผากเริ่มมีเหงื่อผุดออกมา
นายน้อยอู่โหวไม่สะดวกดูแลนาง จึงได้โยนเงินจำนวนหนึ่งให้เถ้าแก่ รบกวนเขาไปหาผู้หญิงมาดูแล
งานง่ายเช่นนี้ จะเอาเปรียบผู้อื่นมิได้ เถ้าแก่จึงได้สั่งให้ภรรยาของตนมาดูแลหลิวอวี้เอ๋อร์
เงยหน้ามองฟ้าด้านนอก คุณชายสั่งคนเฝ้าหน้าห้องหลิวอวี้เอ๋อร์ หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นให้รีบรายงานเขาทันที ส่วนเขาไปยังโรงเตี๊ยมที่อ๋องฉีพักอยู่ รายงานเรื่องทั้งหมด เอ่ยด้วยความรู้สึกผิดว่า “ท่านอ๋องขอรับ ลูกสาวข้าล้มป่วยไป เรื่องพยานบุคคลของท่าน…”
“ร่างกายของแม่นางหลิวสำคัญ เรื่องพยานไม่รีบร้อน เมื่อใดที่นางหายดีแล้ว จึงค่อยให้เมิ่งชิงเริ่มการสอบปากคำ”
นายน้อยอู่โหวกลัวก็แต่อ๋องฉีจะคิดว่าลูกสาวตนแกล้งป่วย เมื่อได้ยินเช่นนี้ จึงได้วางใจ กลับโรงเตี๊ยมไป
เป็นเวลาสองวัน หลิวอวี้เอ๋อร์ไข้สูงไม่ลด หมอเองก็จนปัญญา จึงพูดตามตรงให้นายน้อยอู่โหวไปเชิญหมอเก่งมาจากที่อื่น แล้วรีบรักษาอาหารของหลิวอวี้เอ๋อร์
นายน้อยอู่โหวสั่งให้เถ้าแก่ไปหาหมอมาจากที่อื่น ใช้เวลาไปอีกวัน ยังคงไม่เห็นผล เมื่อจนปัญญา ทำได้เพียงแบกหน้าไปขอความช่วยเหลือจากเมิ่งเชี่ยนโยว “ซื่อจื่อเฟยขอรับ ข้าน้อยรู้ว่าฝีมือท่านเก่งกาจ ช่วยไปดูไข้ลูกสาวข้าน้อยได้หรือไม่ขอรับ”
บัดนั้นหลิวอวี้เอ๋อร์ทำร้ายหวงฝู่เย่าเย่ว์ เกือบต้องพรากชีวิตของหวงฝู่เย่าเย่ว์ไปแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวจึงได้บังคับให้นายน้อยอู่โหวส่งนางมา คิดไม่ถึงว่าครานี้นางก็เกือบทำให้เสด็จพ่อและเสด็จแม่พร้อมด้วยลูกทั้งสองของตนต้องตาย เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ใจกว้างขนาดนั้น ไม่ให้คิดแค้นเรื่องที่ผ่านมา นางทำไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ เอ่ยว่า “ที่แม่นางหลิวเป็นไข้ ส่วนมากเป็นเพราะได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจ ท่านบอกสาเหตุกับหมอ พวกเขาจะรู้เองว่าควรจัดยาเช่นไร”
เห็นชัดว่าไม่ยินดี นายน้อยอู่โหวไม่กล้าขอร้องต่อ ทำได้เพียงกลับโรงเตี๊ยมมาบอกหมอ หมอจัดยาให้ใหม่ เมื่อต้มเสร็จแล้วจึงให้หลิวอวี้เอ๋อร์กิน
หนึ่งชั่วยามผ่านไป หน้าผากของหลิวอวี้เอ๋อร์เริ่มมีเหงื่อผุดออกมา
หมอดีใจยิ่ง นายน้อยอู่โหวโล่งใจ
ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม ไข้สูงของหลิวอวี้เอ๋อร์หายไป นางค่อยๆ เปิดตาออกมา เห็นสีหน้าร้อนใจของนายน้อยอู่โหว ถามด้วยเสียงแหบแห้งว่า “ท่านพ่อ ข้าเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ”
“เจ้าได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจ ไข้สูงไม่ลด นอนไปสามวันแล้ว”
นายน้อยอู่โหวดีใจเสียจนเกือบร้องไห้ออกมา พูดออกมาด้วยเสียงติดขัด
ความกังวลของเขาได้เผยออกมาบนใบหน้าแล้ว หลิวอวี้เอ๋อร์ซึ้งใจเหลือเกิน “ลูกช่างอกตัญญูเหลือเกินเจ้าค่ะ ที่ทำให้ท่านพ่อต้องเป็นกังวล”
“ฟื้นแล้วก็ดี ฟื้นแล้วก็ดี เจ้าพักผ่อนให้ดี ดูแลร่างกายให้หาย มีเรื่องอะไรรอเจ้าหายดีก่อนค่อยว่ากัน” สีหน้าของนายน้อยอู่โหวเต็มไปด้วยความรัก พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
หลิวอวี้เอ๋อร์พยักหน้า
มียาของเมิ่งเชี่ยนโยว ท่าป๋าหั่นหลินพักมาหลายวัน ร่างกายดีขึ้นไม่น้อย ไม่บอกไม่กล่าวอ๋องฉีสักคำจู่ๆ ก็หายตัวไป
เมื่ออ๋องฉีทราบเรื่องเข้า ขมวดคิ้วเป็นปม เมื่อก่อนได้แต่ดูแลสุขภาพของเขา ไม่ได้ถามว่าเหตุใดจึงได้มาบังเอิญพบเขาที่เจียงหนานได้ บัดนี้เขาหายไปแล้ว ไม่รู้ว่าเพราะเหนียมอาย หรือเพราะว่าไม่ต้องการฟังพวกเขาพูดข้อความซึ้งใจ
ทุกคนเข้าสู่ความเงียบ มีเพียงหวงฝู่เย่าเย่ว์นั่งเหงื่อผุดอยู่บนเก้าอี้ ในมือกำกระดาษแผ่นหนึ่งไว้แน่น เป็นกระดาษที่ท่าป๋าแอบสอดให้นางตอนที่เดินสวนกัน
ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นความผิดแปลกนี้
รอกระทั่งหวงฝู่สือเมื่งไปยังห้องพระชายา นางอ้างว่าต้องการดื่มน้ำอยู่ในห้อง จึงได้เปิดอ่าน เขียนด้านในว่า ‘ข้ารอท่านหญิงเย่ว์เอ๋อร์มาแสนนาน หาเวลาที่เหมาะสมเพื่อสารภาพรักไม่ได้ หากท่านหญิงเย่ว์เอ๋อร์มีใจให้ข้า เช้าวันพรุ่ง โปรดมาเจอข้าที่โรงน้ำชาที่หัวมุมเถิด’
เมื่ออ่านจบ ใบหน้าของหวงฝู่เย่าเย่ว์แดงขึ้น เงยหน้า มองหน้าประตูด้วยสายตารู้สึกผิด พับกระดาษด้วยความรวดเร็ว สอดใส่ในชายเสื้อของตนเอง
นางนอนพลิกตัวไปมาทั้งคืนไม่สามารถนอนหลับสนิท วันที่สองตื่นขึ้นมา รอบดวงตานางเขียวช้ำ หวงฝู่สือเมิ่งเห็นดังนั้น จึงได้ถามด้วยความเป็นห่วงว่า “เย่ว์เอ๋อร์ เจ้านอนไม่หลับหรือ นอนต่ออีกดีหรือไม่”
หวงฝู่เย่าเย่ว์ส่ายหน้า “ไม่เป็นไร พี่ใหญ่ ท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อและท่านแม่ตื่นขึ้นมาหมดแล้ว พวกเราล้างหน้าล้างตาและลงไปกินอาหารพร้อมพวกท่านเถิด”
“เช่นนั้นก็ดี กินข้าวเสร็จเจ้าค่อยกลับมานอนต่ออีกครู่”
หลังกินข้าวเสร็จ หวงฝู่สือเมิ่งอยู่ในห้องพระชายา เพื่อคุยเป็นเพื่อนนางกับเมิ่งเชี่ยนโยว หวงฝู่เย่าเย่ว์กลับห้องมาผู้เดียว นั่งไม่ติดเลยไปเดินมาภายในห้อง เงยหน้ามองฟ้าเป็นระยะ
รอถึงเวลาสาย จึงกัดฟัน เปิดประตูอย่างเบามือ แอบมองออกไปด้านนอก ไม่มีผู้ใดเฝ้าหน้าประตู จึงได้ลงไปด้านล่าง ออกจากโรงเตี๊ยมไป ยกชายกระโปรงเดินออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว นางต้องรีบไปรีบกลับ เพื่อไม่ให้พี่ใหญ่กลับมาเห็นนางไม่อยู่ในห้อง หากถามขึ้นมา นางคงไม่รู้ว่าควรตอบเช่นไร
สายตามองเห็นหัวมุมถนนอยู่ไม่ไกล ใจของนางเต้นแรงมาก ไม่รู้ว่าเพราะตื่นเต้น หรือเพราะความกลัว ปล่อยชายกระโปรงลง ฝีเท้าก็ช้าลงด้วย
ยิ่งเดินไปด้านหน้า ยิ่งใกล้กับโรงน้ำชามากขึ้น นางเห็นป้ายร้านแล้ว หยุดฝีเท้าลง กัดปาก ยืนอยู่ที่เดิม
ท่าป๋าหั่นหลินรอนางอยู่ที่ชั้นสองของโรงน้ำชา มองตรงมาที่โรงเตี๊ยมเสมอ หวงฝู่เย่าเย่ว์ออกมาจากโรงเตี๊ยม เขาก็เห็นแล้ว มุมปากเผยรอยยิ้มมีเลศนัยออกมา การสั่งสอนของจวนอ๋องฉีก็เพียงเท่านี้เอง ดูเข้าสิ แค่กระดาษใบเดียวของเขา นางก็ออกมาพบเขาโดยไม่กลัวความอับอาย
ยิ่งแล้วเมื่อเห็นนางเดินมาด้วยความรวดเร็ว ความแคลนในใจยิ่งมีมากขึ้น รอยยิ้มหยันแสยะกว้างกว่าเดิม นั่งพิงระเบียงของชั้นสองอย่างสบายใจ รอการมาถึงของหวงฝู่เย่าเย่ว์อย่างใจเย็น
เมื่อเห็นหวงฝู่เย่าเย่ว์หยุดกะทันหัน รอยยิ้มของเขาแข็งทื่อไป ร่างกายยืดตรง คิ้วขมวดปม ไม่เข้าใจว่าเหตุใดนางจึงหยุดลง เมื่อเห็นหวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่เดินต่อ ซ้ำยังหันหลังเดินกลับไป เขาชะงักไปทันที
เมื่อร่างของหวงฝู่เย่าเย่ว์ลับตาไปในโรงเตี๊ยม จึงได้หันมาช้าๆ ถามคนของตนว่า “เหตุใดนางจึงกลับไป”
ลูกน้องไม่เข้าใจ ตอบคำถามของเขาไม่ได้
หวงฝู่เย่าเย่ว์กลับโรงเตี๊ยมมา รีบวิ่งกลับเข้าห้อง ปิดประตูลง ร่างพิงประตู ใจเต้นแรง วันนี้นางเกือบทำผิดพลาดไปแล้ว กล้าลักลอบพบกับชายหนุ่ม หากเรื่องนี้แพร่ออกไป นางไม่เพียงเสียชื่อเสียง แต่ชื่อเสียงของจวนอ๋องก็คงต้องสูญสิ้นเพราะนาง โชคดี โชคดี ที่นางคิดได้ก่อน ไม่ได้ทำผิดลงไป มิเช่นนั้น ท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อ และท่านแม่คงต้องเสียใจเป็นแน่
สูดหายใจลึก ให้ตนเองสงบลง ผละจากประตู นั่งลงบนตั่ง หยิบกระดาษออกมาจากชายเสื้อของตน จ้องมองแสนนาน จึงได้ตัดสินใจ ยืนขึ้น ไปยังห้องของพระชายา
เมื่อเห็นนางเข้ามา พระชายาจึงได้ยิ้มและถามว่า “เย่ว์เอ๋อร์ ตื่นแล้วหรือ”
หวงฝู่เย่าเย่ว์เม้มปาก ไม่ได้ตอบคำถาม
รอยยิ้มของพระชายาหายไป ถามว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวและหวงฝู่สือเมิ่งมองนาง
“ท่านย่าเจ้าคะ ท่านแม่ ข้าเกือบทำผิดลงไปแล้ว” หวงฝู่เย่าเย่ว์พูดตามตรง
“เด็กคนนี้ เป็นอะไรไป พอตื่นขึ้นมาก็พูดจาเช่นนี้” พระชายายิ้มออกมาอีกครั้ง หัวเราะพร้อมถาม
หวงฝู่เย่าเย่ว์เดินเข้ามา นำกระดาษในมือมอบให้เมิ่งเชี่ยนโยว “ท่านแม่ ท่านอ่านนี่ดูเจ้าค่ะ”