บทที่ 2879 พวกเราต้องรักกันหวานชื่น 4
ถึงจะขาดความซื่อตรงไปจริงๆ แต่อย่างไรก็เป็นวิธีที่สร้างความเสียหายล้มตายน้อยที่สุดแล้ว
ต่อให้กู้ซีจิ่วไม่เข้าใจการเมืองเท่าไหร่ ก็ทราบถึงเหตุผลข้อนี้ดี เพียงแต่เธอทำไม่ได้ก็เท่านั้น
กู้ซีจิ่วมองเขาอย่างเหม่อลอยอยู่บ้าง รู้สึกอยู่เสมอว่าคล้ายจะเคยพบเขาที่เป็นเช่นนี้มาก่อน และอาจกล่าวได้ว่าเมื่อนานแสนนานมาแล้ว เธอก็เคยรู้จักบุคคลคนหนึ่งที่ตัดสินผลลัพธ์ชี้ตายขายขาด ควบคุมฟ้าดิน ชี้เป็นชี้ตายได้…
แล้วคนผู้นั้นเป็นใครกัน?
พลันหันหน้าไป มองเห็นตี้ฝูอีมองเธออย่างยิ้มมิเชิงยิ้มอยู่ “นี่ท่านคิดถึงผู้ใดขึ้นมาอีกเล่า?”
สายตาของกู้ซีจิ่วจับอยู่ที่ร่างเขาชัดๆ ทว่าคล้ายจะมองทะลุเขาไปหาใครคนหนึ่ง นี่ทำให้เขาไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง
คนผู้นี้สัมผัสเฉียบไวโดยแท้!
กู้ซีจิ่วไม่อยากพูดมาก จึงลุกขึ้นมา “เจ้าคิดมากแล้ว เอาล่ะ ในเมื่อเจ้ายังไม่เข้าภพมารชั่วคราว เช่นนั้นพวกเราก็แยกย้ายกันก่อนเถอะ เมื่อถึงเวลาที่เจ้าจะเข้าไปค่อยเรียกข้าก็แล้วกัน”
เวลาที่เธออยู่กับเขาจะมีความรู้สึกกดดันอย่างน่าประหลาด ทำให้เธออยากหลบเลี่ยง
ขณะที่เธอกำลังจะจากไป กลับถูกตี้ฝูอีคว้าข้อมือเอาไว้ “ตอนนี้เข้าไปได้แล้ว ตามข้ามา”
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออกเลย
เธอมองดูนาฬิกาทรายตามสัญชาตญาณ ที่แท้คำว่าค่อยเข้าไปทีหลังของเขา ก็ล่าช้าไปเพียงหนึ่งส่วนสี่ชั่วยามเท่านั้น…
….
เสียงเครื่องสายกังวานแว่วเสนาะหู
นาวาใหญ่สีเขียวครามลำหนึ่งล่องลอยอยู่ในอากาศ ตรงหัวเรือและท้ายเรือมีเด็กรับใช้สิบคน สาวใช้สิบคน
บนเรือมีแพรขาวปลิวไสว เรือเสมือนจอดนิ่งอยู่ในเมฆา ฉากนี้โดดเด่นเหนือธรรมดายิ่ง และงดงามตระการตาเป็นอย่างยิ่ง
ประชาชนในเมืองหวงไหลก็นับว่าเคยพบเห็นโลกกว้างมาแล้ว ได้เห็นยานพาหนะอันเลิศหรูของขุนนางชนชั้นสูงในภพมาร ภพมนุษย์มาไม่รู้มากน้อยปานใดแล้ว ทว่าเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นยานพาหนะประเภทนี้
ครู่เดียวก็มีผู้คนแห่แหนมาชมดู พากันพูดคุยวิจารณ์ ล้วนคาดเดากันไปว่านี่คือยานพาหนะของผู้ใด
ทันทีที่กู้ซีจิ่วออกมา ก็ได้เห็นสิ่งนี้ อดใจไม่ไหวมองอยู่หลายแวบเช่นกัน เอ่ยวิจารณ์ไปประโยคหนึ่ง “ดูเหมือนเจ้าของยานพาหนะนี้จะเป็นผู้ที่มีความคิดแปลกใหม่แหวกแนวยิ่งนักคนหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าจะรังสรรค์นาวาลำหนึ่งที่สามารถลอยอยู่บนนภาขึ้นมาได้ อวดโอ่ปานนกยูงรำแพนหาง”
“ทูนหัว นี่คือพาหนะของข้า พวกเราจะโดยสารสิ่งนี้เข้าไป”
ตี้ฝูอีเอ่ยเบาๆ ริมหูเธอ จากนั้นก็จูงเธอทะยานขึ้นไป ร่อนลงในเรือที่ลอยอยู่
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออกแล้ว…
เธอหลงนึกว่า หนนี้ตี้ฝูอีจะต้องเข้าสู่ภพมารอย่างเงียบเชียบเรียบง่ายแน่นอน จากนั้นก็ซุ่มรอจังหวะแล้วค่อยเคลื่อนไหว กลับคาดไม่ถึงเลยว่าจะโดดเด่นปานนี้! นี่ไม่ใช่การป่าวประกาศให้คนทั้งภพมารทราบถึงการมาของเขาหรอกหรือ?
อีกทั้งนาวาลำนี้ยังใหญ่โตถึงเพียงนี้ โดดเด่นปานนี้ ล่องลอยอยู่บนท้องนภาอันมืดมัวของภพมารก็กลายเป็นเป้าล่อที่มีชีวิตในทันที
ตี้ฝูอีท่องไปทั่วหกภพภูมิมาเนิ่นนานหลายปี ยามนี้ราษฎรที่รู้จักเขายังคงมีไม่น้อยแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นคือหลังจากเขาขึ้นเรือ เสี่ยวเซียนที่ยืนอยู่ตรงหัวเรือก็ชักกางใบธงผืนใหญ่ บนธงมีอักษรคำว่า ‘ตี้’ ตัวใหญ่โบกพลิ้วไปตามสายลม โดดเด่นจนไม่อาจโดดเด่นไปมากกว่านี้ได้แล้ว ขาดไปเพียงการประกาศนามต่อใต้หล้าเท่านั้น!
เสียงสนทนาของผู้คนด้านล่างฮือฮาขึ้นมาในทันที
หลายปีมานี้ชื่อเสียงของตี้ฝูอีโด่งดังยิ่ง สำหรับเหล่าปวงประชาแล้วนามของเขาก้องหูดุสายฟ้า ไม่ว่าจะเป็นราษฎรของภพมนุษย์หรือว่าภพมาร อันที่จริงล้วนลอบตั้งตารอให้เขามายังดินแดนของตนยิ่งนัก เนื่องจากถ้าเขามาถึงก็เท่ากับว่าจะเกิดการปฏิวัติขึ้น และแสดงว่าวันหน้าประชาชนจะได้มีชีวิตที่ผาสุกสบายใจ…
ตอนนี้ในที่สุดเขาก็ปรากฏตัวแล้ว แถมยังปรากฏตัวอย่างโดดเด่นเช่นนี้ด้วย เหล่าปวงชนย่อมตื่นเต้นคึกคักปานฉีดเลือดไก่มา พากันคาดเดาไปว่าท่านเทพใหญ่ผู้นี้มาที่นี่ด้วยเหตุใด
แน่นอน สายสืบของภพมารและภพมนุษย์ต่างส่งข่าวกลับไปยังดินแดนของตนอย่างรวดเร็วยิ่ง…
ขณะที่ผู้คนคาดเดาถึงถึงจุดประสงค์ในการมาที่นี่ของท่านเทพใหญ่ตี้ ก็ย่อมสังเกตเห็นกู้ซีจิ่วที่อยู่ข้างกายเขาด้วย
————————————————————————————-
บทที่ 2880 พวกเราต้องรักกันหวานชื่น 5
ตอนนี้กู้ซีจิ่วยังอยู่ในรูปโฉมของหญิงสาวธรรมดา เมื่อยืนอยู่ต่อหน้าตี้ฝูอีแล้วดูหม่นหมองด้อยราศีอย่างเห็นได้ชัด
หลายปีมานี้ตี้ฝูอีได้กลายเป็นชายในฝันของหญิงสาวนับไม่ถ้วนในหกภพภูมิ เพียงแต่เขาถือตัวสูงส่งสันโดษเสมอมา นอกจากการช่วยเหลือราชินีของภพปีศาจผู้นั้นแล้ว ข้างกายเขาไม่เคยปรากฏสตรีนางอื่นเลย ตอนนี้กู้ซีจิ่วยืนอยู่ตรงนั้นอย่างผ่าเผยถึงเพียงนี้ แถมตี้ฝูอียังจับจูงมือเธอไว้ด้วย ดูสนิทสนมยิ่งนัก ความสัมพันธ์ชัดเจนโดยไม่ต้องเอ่ยวาจา
นี่ย่อมดึงดูดความอยากรู้อยากเห็นของผู้คนนับไม่ถ้วน และเหยียบย่ำหัวใจอันเปราะบางของหญิงสาวนับไม่ถ้วนด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงพากันคาดเดาถึงฐานะของกู้ซีจิ่ว...
บ้างก็เดาว่าเธอคือนางเซียนจากภพเซียน บ้างก็เดาว่าเธอคือปีศาจสาวจากภพปีศาจ ถึงขั้นที่มีบางคนเดาไปว่าเธอเป็นน้องสาวของเขา ร้อยแปดพันเก้า พิสดารเช่นใดล้วนมี
ไม่ว่าจะคาดเดาฐานะอะไร สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่คู่ควรกันเกินไปแล้ว! ล้วนไม่เข้าใจเลยว่าท่านราชครูตี้ผู้สูงส่ง เหตุใดถึงต้องตาสตรีสามัญเช่นนี้ได้?
หรือว่านี่คือสิ่งที่เรียกกันว่า ‘ชายชาญไร้ภรรยาประเสริฐ ชายทรามได้ยอดนารี’ ?
“ท่านต้องการกลับสู่รูปโฉมเดิมหรือไม่?” ตี้ฝูอีเอ่ยถามนางที่อยู่ตรงกันข้าม
กู้ซีจิ่วไม่ใส่ใจเลย “ไม่จำเป็น เปิ่นจุนไม่แยแสเรื่องนี้”
ไม่รู้ว่าเธอหยิบกระดานหมากชุดหนึ่งออกมาจากไหน วางลงตรงหน้าของคนทั้งสอง “การเดินทางน่าเบื่อ เดินหมากกันสักตาไหม?”
เดิมทีเหล่าเสี่ยวเซียนข้ารับใช้บนเรือ ก็ดูหมิ่นกู้ซีจิ่วที่ดูธรรมดาสามัญอยู่บ้าง เพียงแต่พวกเขาได้รับการอบรมสั่งสอนมา จึงไม่ได้เผยสีหน้าออกมาเลย
แต่ก็ยังคงดูแคลนอยู่ บัดนี้เห็นนางหยิบกระดานหมากออกมาบอกว่าจะเดินหมาก พวกเขาก็หยามหยันอยู่ในใจอีกครั้ง
นายท่านของพวกเขาเป็นยอดฝีมือด้านกลหมาก นายท่านของพวกเขายังไม่เคยพ่ายแพ้ในการเดินหมากมาก่อนเลยนะ! ไม่รู้ว่ามียอดฝีมือด้านกลหมากมากน้อยเพียงใดแล้วที่พ่ายแพ้ให้แก่เขา
ไม่นึกเลยว่าหญิงผู้นี้จะไม่รู้เรื่องรู้ราว อยากจะเดินหมากกับนายท่านเสียได้…
รอถูกขย้ำได้เลย!
ยามที่มองเห็นเส้นตาราง ที่ตัดสลับกันอยู่บนกระดานหมากอย่างชัดเจน พวกเขาก็มีสีหน้างงงันอีกครั้ง
นี่เป็นการตีเส้นบ้าบออันใดกัน?
มีกระดานหมากแบบนี้อยู่ด้วยหรือ?
สายตาของตี้ฝูอีก็จับอยู่บนกระดานหมากเช่นกัน ในเต้นแรงนิดๆ กระดานหมากนี้มิใช่กระดานหมากทั่วไป ตารางที่ตัดสลับกันไปมาเสมือนใยแมงมุม ทำให้คนมองแล้วลายตา…
จากนั้นเขาก็มองดูชามหมากสองใบนั้นต่อ สีดำดุจนิล สีขาวดั่งหิมะ แวววาวประหนึ่งส่องแสงได้ สุกสกาวปานดวงดารา
“เกมหมากนี้ก็ดูพิเศษดีนี่ เช่นนั้นมาเล่นกันสักสองสามตาเถิด อย่างไรก็ตามข้าเพิ่งเคยเห็นเกมหมากเช่นนี้เป็นครั้งแรก ท่านอธิบายกติกามาหน่อยเถิด” ตี้ฝูอีสนใจขึ้นมาแล้ว
“นี่มันแน่อยู่แล้ว…” กู้ซีจิ่วเริ่มอธิบายจุดหลักๆ ของเกมหมากนี้รวมถึงเรื่องที่ควรจะให้ความสนใจแก่ตี้ฝูอี
เกมหมากนี้ยุ่งยากนัก และซับซ้อนยิ่ง เหล่าเสี่ยวเซียนที่คอยรับใช้อยู่ด้านข้างฟังจนมึนงง หัวโตกันหมดแล้ว
ทว่าตี้ฝูอีฟังไปเพียงรอบเดียวก็จดจำสิ่งที่จำเป็นได้แล้ว คว้าตัวหมากสีขาวทันที “เริ่มกันเถอะ”
กู้ซีจิ่วยิ้มนิดๆ หยิบตัวหมากสีดำ “เช่นนั้นก็บุกเข้ามาเลย!”
….
เรือเคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว แล่นผ่านท้องนภาอันดำมืดไป
แล่นเข้าสู่อาณาเขตของภพมารแล้ว ไอมารสีเทาอ่อนล่องลอยอยู่รอบตัวเรือ ต้องการจะพัวพันผู้คนบนเรือ แต่ยังล่องลอยเข้าไปไม่ถึง ก็คล้ายจะปะทะเข้ากับแรงต้านอันใดจนกระจัดกระจายออกไป
เหล่าเซียนรับใช้ยังนึกอยู่เลยว่า พอเข้าสู่ภพมารแล้ว ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องดูดซับไอมารบางส่วนเข้าไป ดังนั้นบนร่างพวกเขาจึงยังคงพกหญ้าต้านมารเอาไว้ กลับคาดไม่ถึงเลยว่าจะประสบสถานการณ์เช่นนี้
ชัดเจนยิ่งนัก บนเรือลำนี้ติดตั้งเขตแดนขจัดไอมารอันใดเอาไว้ ทำให้ไอมารเข้าใกล้ตัวเรือไม่ได้
เมื่อก่อนพวกเขาก็เคยติดตามตี้ฝูอีล่องเรือเข้าสู่ภพมารมาแล้ว ตอนนั้นไม่มีเขตแดนเช่นนี้…
ไม่จำเป็นต้องถามเลย เขตแดนอันไร้รูปลักษณ์นี้เป็นสตรีสามัญที่อยู่ในเรือ ก่อขึ้นมา
ด้วยเหตุนี้ สายตาของพวกเขาจึงจดจ้องไปที่ร่างของสตรีผู้นั้นอย่างเงียบเชียบอีกครั้ง
————————————————————————————-