บทที่ 2783 พลีชีพเล่นเป็นเพื่อนคุณชาย 3
ผู้สำเร็จราชการเกรงว่าเขาจะร่วมมือกับจอมมารมาต่อกรกับเขา ดังนั้นหลังจากที่ตี้ฝูอีเข้าสู่ภพมารแล้ว เขาได้ส่งยอดฝีมือนับไม่ถ้วนมาลอบสังหารเขาระหว่างทาง จนปัญญาที่ล้วนกลายเป็นซาลาเปาเข้าปากสุนัขไปเสียทุกครั้ง นักฆ่าเหล่านั้นไม่ได้กลับมาเลยแม้แต่คนเดียว เสมือนวัวดินจมสมุทร
และเขาก็ไม่กล้าส่งกองทัพมาสกัดกั้นเขาอย่างเอิกเกริกเช่นกัน ถึงอย่างไรยามนี้ ตี้ฝูอีก็มีชื่อเสียงเกินไป มีสหายอยู่ทั่วหล้า ผู้นำแห่งภพเซียน ภพปีศาจล้วนเป็นมิตรสหายของเขา หากว่ากำจัดเขาอย่างเปิดเผยเอิกเกริก เกรงว่าจะชักนำยอดฝีมือผู้มีความสามารถในหกภพภูมิให้มาไล่ล่าสังหารเอาได้!
อีกอย่างอิทธิพลในภพมารของตี้ฝูอีก็สูงยิ่งเช่นกัน ประชาชนเคารพเลื่อมใสเขาอย่างยิ่ง
หากว่าเขาส่งทัพใหญ่ไปสังหารเขา จะยิ่งไม่ได้ครองใจปวงประชา ไม่แน่ว่าอาจชักนำให้ปวงประชาก่อจลาจลก็เป็นได้
ดังนั้นหลังจากเขาส่งนักฆ่าไปต่อเนื่องกันมากมายหลายระลอกแล้วก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จ จึงรามือเสีย เพียงสั่งคนให้ลอบจับตามองไว้ ดูว่าหลังจากเข้าสู้ภพมารแล้วเขาติดต่อผู้ใดบ้าง
ถึงอย่างไรตี้ฝูอีก็เข้าสู่ภพมารอย่างยิ่งใหญ่เอิกเกริก ไม่ว่าผู้สำเร็จราชการจะหวาดระแวงเขามากแค่ไหน ก็ยังคงต้องส่งคนมาต้อนรับขับสู้ พิธีการที่จัดเตรียมยังคงไม่เล็กเลย
บุปผามารนับไม่ถ้วนโปรยปรายทั่วนภา สาดน้ำล้างถนน ประชาชนที่อยู่สองฝั่งถนนต่างพากันออกมาชมเรื่องครื้นเครง
ยามที่กู้ซีจิ่วเข้าเมืองมา ทุกอย่างที่พบเห็นล้วนเป็นฉากที่คึกครื้นปานเปลวเพลิงที่ลุกโหม
ผู้สำเร็จราชการนำเหล่าแม่ทัพขุนนางมารอรับ อยู่ด้านหน้าเรือที่พวกตี้ฝูอีนั่งอยู่ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มชื่นมื่น สอบถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ราชครูตี้สามารถมาเยือนภพมารของพวกเราได้ นับว่าภพมารของพวกเรามีอนาคตรุ่งโรจน์แล้ว เพียงแต่ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องใดที่รบกวนให้ราชครูตี้ต้องมาเยี่ยมเยือนด้วยตนเอง?”
ตี้ฝูอียิ้มอย่างสบายๆ แวบหนึ่ง “สองเดือนก่อน ท่านจอมมารเคยเชื้อเชิญผู้ทีรงสิทธิ์อย่างข้าให้มาเที่ยวเล่นที่ภพมาร ไม่ทราบว่าท่านจอมมารสบายดีหรือไม่?”
วาจาประโยคเดียวก็ทำให้ผู้สำเร็จราชการนึกแคลงใจในตัวจอมมารแล้ว ทว่าสีหน้ายังสงบนิ่งอยู่ บอกว่าพักนี้จอมมารสุขภาพมิสู้ดี ไม่สามารถมาต้อนรับขับสู้ด้วยตัวเองได้ แล้วเอ่ยเจรจาพาทีกับตี้ฝูอีอีกสองประโยค สายตาร่อนลงบนร่างของกู้ซีจิ่ว มองเห็นตี้ฝูอีจูงมือเธออยู่ตลอด จึงเอ่ยถามประโยคหนึ่ง “ท่านนี้คือ?”
ตี้ฝูอีตอบไปหกคำ “ว่าที่ภรรยาของข้า”
หินหนึ่งก้อนสะท้อนพันระลอกคลื่น วาจานี้ของเขาสร้างความปั่นป่วนมหันต์ไปทั่วทั้งภพมาร
สายตานับไม่ถ้วนร่อนลงบนร่างกู้ซีจิ่ว ทั้งผู้ที่ริษยา ผู้ที่อิจฉาอาฆาต ผู้ที่ดูหมิ่น
กู้ซีจิ่วล้วนไม่ใส่ใจ เธอหาวอย่างเกียจคร้านทีหนึ่ง “ฝูอี ข้าง่วงแล้ว” เธอเดินหมากกับตี้ฝูอีมาทั้งวัน อ่อนล้ามากจริงๆ
ตี้ฝูอีโอบแขนนางไว้ทันที ให้นางเอนซบร่างตน “ได้ เดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปพักผ่อนนะ” เขามองไปที่ผู้สำเร็จราชการ
ผู้สำเร็จราชการรีบเอ่ยว่า “จวนรับรองหลังใหม่ได้รับการทำความสะอาดแล้ว ท่านราชครูตี้ เชิญ!”
….
ภายในจวนรับรอง
ทันทีที่กู้ซีจิ่วเข้าไปในเรือนนอนหลังหนึ่งพร้อมกับตี้ฝูอี ก็ยืดกายเหยียดตรงในทันใด ดึงแขนออกมาจากวงแขนของเขา แล้วโผลงบนเตียงหลังใหญ่ทันที “ในที่สุดก็ไม่ต้องเล่นละครแล้ว ดีเหลือเกิน เจ้ารีบไปทำเรื่องของเจ้าเถอะ”
ตี้ฝูอีมองวงแขนที่ว่างเปล่า ยิ้มแวบหนึ่ง “ง่วงขนาดนี้เชียวหรือ? พวกเราเดินหมากกันแค่ไม่กี่ตาเท่านั้น ยังคิดจะพาท่านไปเดินเล่นตามถนนอยู่เลย อันที่จริงภพมารมีของเล่นที่น่าสนใจยิ่งนักอยู่มากมายเลย”
กู้ซีจิ่วนั่งกอดเข่าอยู่ตรงนั้น “ละครของวันนี้แสดงไปพอควรแล้ว ไม่จำเป็นต้องออกไปอีก อันที่จริงข้าแปลกใจอยู่บ้างนะ ทำไมพวกเราต้องเล่นละครที่ภพมารด้วยล่ะ?”
ตี้ฝูอีเอ่ยตอบ “ท่านคงไม่คิดจะพาข้ากลับไปที่หุบเขาเสียงสวรรค์แล้วประกาศวิวาห์ทันทีเลยกระมัง? ท่านคิดว่าทำเช่นนั้นแล้วศิษย์ของท่านจะเชื่อหรือ? เกรงว่าเขาคงจะเดาออกทันทีว่าท่านจงใจแสดงละครฉากนี้เพื่อให้เขายอมตัดใจ และเขาก็มีหูตาอยู่ในภพมารด้วย ความเคลื่อนไหวของพวกเราที่นี่ จะต้องล่วงรู้สู่หูเขาแน่นอน ถึงมีความเป็นไปได้ที่เขาจะไม่หลงเชื่อ”
————————————————————————————-
บทที่ 2884 พลีชีพเล่นเป็นเพื่อนคุณชาย 4
“เช่นนั้นข้าต้องกลับสู่สภาพเดิมไหม? มิเช่นนั้นผู้อื่นอาจจะไม่รู้ว่าคู่หมั้นของเจ้าคือข้า…”
“รออีกสักสองสามวันเถอะ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา”
เขาไม่คิดจะอ้างชื่อนางมาจัดการเรื่องราวในภพมาร เลี่ยงไม่ให้ถูกนางคิดว่าใช้นางเป็นเครื่องมือ เขาจะต้องอาศัยความสามารถที่แท้จริงของตนเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
กู้ซีจิ่วย่อมไม่ทราบว่าที่แท้แล้วในใจเขาคิดคำนวณอะไรอยู่ เพียงแต่ทราบเช่นกันว่าที่เขาทำเช่นนี้จะต้องมีเหตุผลของตัวเองแน่ จึงไม่ดื้อดึงอีก “ได้ เอาตามที่เจ้าว่า”
จากนั้นก็โบกมือให้เขา “ข้าง่วงจะพักผ่อนแล้ว เสี่ยวฝูอี เจ้าไปจัดการธุระของเจ้าได้เลย”
มุมปากตี้ฝูอีกระตุกแวบหนึ่ง “เสี่ยวฝูอี? ตัดคำว่าเสี่ยวทิ้งไปได้หรือไม่?”
กู้ซีจิ่วง่วงจนลืมตาไม่ขึ้นแล้ว “เจ้าอายุน้อยกว่าเปิ่นจุนมากมายจริงๆ นี่”
“น้อยกว่ามากขนาดไหนก็ไม่อนุญาตให้เรียกแบบนี้!”
“เอาล่ะๆ เช่นนั้นข้าจะเรียกเจ้าว่าฝูอีโดยตรงก็แล้วกัน ใช่แล้ว วันหน้าไม่อนุญาตให้เรียกข้าว่า ‘ทูนหัว’ อันใดอีก”
ทุกครั้งที่เขาเรียกเธอแบบนี้ จะทำให้เส้นขนทั่วร่างเธอลุกชันขึ้นมาตลอด
ตี้ฝูอียิ้มแวบหนึ่งเดินออกไป ทิ้งไว้เพียงประโยคเดียว “ข้าจะพยายาม”
….
กู้ซีจิ่วถูกเสียงโหวกเหวกที่แว่วเลือนรางอยู่ด้านนอกปลุกให้ตื่นขึ้นมา
“เอะอะอะไรกัน?” เธอสวมเสื้อแล้วลงจากเตียง เปิดประตูออกไป
ถูกขบวนใหญ่ที่อยู่ด้านนอกทำเอาสะดุ้งโหยง
ด้านนอกมีคนมากันเป็นขบวนใหญ่ แถมยังเป็นขบวนสตรีด้วย กู้ซีจิ่วคะเนดูคร่าวๆ แล้ว คนกลุ่มนี้มีอยู่ถึงร้อยคน
เสื้อผ้าที่สตรีเหล่านี้สวมใส่ล้วนเป็นแบบเดียวกัน สีสันก็เป็นสีเขียวสด ยามที่เรียงกันเป็นสองแถว ราวกับใบไม้ที่กองซ้อนทับกัน
และสตรีเหล่านี้ก็ห้อมล้อมเกี้ยวสีแดงขนาดใหญ่หลังหนึ่งเอาไว้ เมื่อมองดูจากทิศทางนี้ของกู้ซีจิ่วแล้ว เกี้ยวหลังนั้นคือสีแดงเพียงหนึ่งเดียวท่ามกลางขบวนสีเขียว สะดุดนัยน์ตาคนเป็นอย่างยิ่ง
พอกู้ซีจิ่วเปิดประตูออกมา ก็มีใครสักคนตะโกนขึ้นว่า “สำเร็จแล้ว นางออกมาแล้ว! ออกมาแล้ว! ท่านหญิง นางออกมาแล้วเจ้าค่ะ!”
“บังอาจมากนะ ไม่น่าเชื่อว่าจะปล่อยให้ท่านหญิงของพวกเรารออยู่ที่นี่นานถึงเพียงนี้!”
“ใช่แล้ว มีอะไรวิเศษวิโสกัน เพียงอาศัยว่าได้รับความโปรดปรานเอ็นดูจากท่านราชครู ก็ยโสโอหังขนาดนี้แล้ว”
เสียงดังเซ็งแซ่ จ้อกแจ้กจอแจ
กู้ซีจิ่วไม่สนใจเสียงนกเสียงกาพวกนี้ หันไปมองเด็กรับใช้ที่อยู่นอกประตู
เด็กรับใช้รีบรายงานสาเหตุต่อเธอ ที่แท้บุตรสาวคนเล็กของผู้สำเร็จราชการก็มาเยี่ยมคารวะเธอ เนื่องจากก่อนที่ตี้ฝูอีจะออกไปเคยสั่งการเอาไว้ ห้ามมิให้ผู้ใดมารบกวนเธอ ดังนั้นตอนที่ท่านหญิงมาถึง เด็กรับใช้ที่เฝ้าประตูอยู่จึงยืนกรานไม่ยอมขานเสียงรายงาน ทำให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งฉากเล็กๆ ขึ้น
กู้ซีจิ่วเคยได้ยินเรื่องของท่านหญิงผู้นี้มาบ้าง
ผู้สำเร็จราชการมีสองธิดาหนึ่งโอรส ธิดาคนโตคือเมิ่งหลิวเซียง ก็คือคนที่ถูกอินจิ่วซือผนึกเอาไว้บนภูเขาคนนั้น
และบุตรสาวคนรองก็คือผู้ที่มาเยือนในวันนี้ เล่าขานกันว่าวรยุทธ์ก็นับว่าไม่เลวเลย เพียงแต่สิ่งที่นางเลื่องชื่อมิใช่ด้านวรยุทธ์ แต่เป็นรูปโฉม ถูกขนานนามว่าเป็นโฉมสะคราญอันดับหนึ่งของภพมาร โฉมงามมักเป็นที่หมายปองเสมอมา นับประสาอะไรกับนางที่มีบิดาเป็นผู้ทรงอำนาจเล่า? ดังนั้นนางเพิ่งจะบรรลุนิติภาวะ คนที่มุ่งหน้าไปสู่ขอยังจวนผู้สำเร็จราชการก็มีอยู่นับไม่ถ้วนแล้ว เป็นที่หมายปองยิ่งกว่าพี่สาวผู้มีวรยุท์แกร่งกล้าคนนั้นของนางเสียอีก
โฉมงามเย่อหยิ่งนัก คนทั่วไปนางไม่เห็นอยู่ในสายตาเลยจริงๆ
ร่ำลือกันว่าโฉมงามนางเคยลั่นวาจาไว้ หากมิใช่ยอดคนอับดับหนึ่งของหกภพก็จะไม่แต่งด้วย
กู้ซีจิ่วฉงนอยู่บ้าง โฉมงามที่หยิ่งผยองจองหองนางนี้มาเยี่ยมคารวะตนทำไม? หรือว่าจะมาหาผิดคน?
เธอหันไปถามเด็กรับใช้ “นางต้องการพบข้าหรือ? มิใช่นายท่านของบ้านเจ้ารึ?”
เด็กรับใช้ยังไม่ทันเอ่ยตอบ “น้ำเสียงกังวานปานกระดิ่งเงินสายหนึ่งก็แว่วออกมาจากในเกี้ยวแล้ว ”ผู้ที่ท่านหญิงอย่างข้าต้องการพบก็คือแม่นาง”
————————————————————————————-