“ถึงแม้ว่าพี่ไป๋อีจะแข็งแกร่งมาก แต่หากเข้าไปในนั้นแล้วละก็ เกรงว่าคงไม่อาจเอาชีวิตรอดออกมาได้ ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นเพราะเจ้า หากไม่ใช่เพราะพี่ไป๋อีเป็นห่วงเจ้าที่จะต้องมาอยู่ในเมืองเฮยตูเพียงลำพัง เขาจะก้าวกลับมาในที่แห่งนี้ได้อย่างไร?”
“ข้าขวางเจ้าไม่ได้ ฝ่าบาทก็คงจะไม่เสี่ยงอันตรายอย่างเอาเป็นเอาตายกับพี่ไป๋อีเพื่อรั้งเจ้าไว้ แต่หากว่าเจ้าจากไปแล้ว เจ้าจะสบายใจได้เหรอ?” มุมปากของราชทินนามเฮยยกยิ้มขึ้นอย่างแปลกประหลาด
มู่เฉียนซีมองราชทินนามเฮยและกล่าวว่า “เจ้าพูดจบหรือยัง?”
“สิ่งที่ควรพูดก็ได้พูดไปหมดแล้ว”
มู่เฉียนซีเหลือบมองไปที่พื้นและกล่าวด้วยเสียงราบเรียบ “เช่นนั้นก็เก็บกวาดให้ข้าด้วย แล้วก็ไสหัวไปได้แล้ว!”
สีหน้าของราชทินนามเฮยดำคล้ำด้วยความโกรธ “สาวน้อย เจ้าช่างบังอาจยิ่งนัก! ข้าเป็นถึงหนึ่งในสิบสองราชทินนามเมืองเฮยตู ส่วนเจ้าเพิ่งเป็นเพียงแค่ตำแหน่งมหาจักรพรรดิ แต่กลับกล้าสั่งให้ข้าเก็บกวาดอย่างนั้นรึ”
“เจ้าเป็นคนทำหน้าต่างแตกแล้วเจ้าจะไม่เก็บกวาดเหรอ อีกอย่างเจ้าไม่รู้สึกว่าใบหน้าเจ้ามันผิดปกติบ้างเหรอ?”
ทันใดนั้นเอง ราชทินนามเฮยก็รู้สึกคันบนใบหน้า เมื่อนางเอามือจับใบหน้าตัวเองก็พบว่าใบหน้าของนางนั้นเต็มไปด้วยตุ่มสิว
นางมองมู่เฉียนซีด้วยความประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งและกล่าวว่า “เจ้า…นี่เจ้าวางยาพิษข้า เจ้า…”
“กล้าบุกเข้ามาในห้องข้าโดยที่ไม่ป้องกัน ความกล้าของเจ้านี่ช่างไม่เลวเลย หากพรุ่งนี้เจ้าไม่อยากไม่มีหน้าไปเจอผู้คนแล้วละก็ เก็บกวาดให้สะอาด!” มู่เฉียนซีกล่าวเสียงขรึม
“ข้าจะไปคิดบัญชีกับเจ้าหมอนั่น พูดจาโกหกแต่ไม่เตรียมคำพูดให้ดูดีเลย ยอดเยี่ยมจริง ๆ!” ดวงตาของมู่เฉียนซีพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมลงทันที
ตูม ปัง ปัง!
ในตอนนี้กู้ไป๋อีกำลังพัวพันอยู่กับราชทินนามซวง
ทันทีที่ลงมือคนผู้นี้ก็ลงมืออย่างเย็นชาและไร้ความปรานีอย่างยิ่ง ขณะที่สองพี่น้องราชทินนามซวงก็มีความกังวลเป็นอย่างมาก ไม่กล้าลงมืออย่างเต็มที่ และถูกยับยั้งในที่สุด
“พี่ชาย! ราชทินนามเฮยนั่นมัวแต่ทำสิ่งใดอยู่ แค่พูดจาเพียงไม่กี่คำต้องใช้เวลานานเช่นนั้นเลยเหรอ น่ารำคาญชะมัด!”
“น้องชาย ไม่ต้องสนใจแล้ว เราล่าถอยก่อน หากเป็นเช่นนี้ต่อไปมีหวังต้องโดนกู้ไป๋อีเล่นงานจนได้รับบาดเจ็บสาหัสเป็นแน่ ถ้าเป็นเช่นนั้นมันจะได้ไม่คุ้มเสีย”
ทันทีที่มู่เฉียนซีรีบวิ่งเข้ามา ก็เห็นว่าสองพี่น้องคู่นี้กำลังจะถอยหนี
นางกำกระบี่มังกรเพลิงแน่น ถ่ายเทพลังวิญญาณลงไป และกวัดแกว่งกระบี่ทันใด
“บัวแดงพิฆาต!”
ทันใดนั้นเอง สองพี่น้องที่คิดจะถอยหนีก็ได้เห็นดอกบัวอัคคีสีแดงฉานปรากฏและเบ่งบานอยู่ตรงหน้า สีหน้าของพวกเขาพลันเปลี่ยนไปมาก!
อ๊า!
สุดท้ายก็ไม่อาจหนีพ้นไปจากการทำลายล้างของดอกบัวอัคคีนี้ได้ พวกเขาทำได้เพียงแค่กรีดร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดทรมาน และร่างก็ถูกโจมตีจนกระเด็นออกไปจากป้อมปราการของกู้ไป๋อี
ร่างในชุดม่วงเคลื่อนไหวไป มู่เฉียนซียกกระบี่ทาบลงบนคอของกู้ไป๋อี และเงยหน้ามองดวงตาที่เย็นยะเยือกคู่นั้น
“กู้ไป๋อี หากเจ้าอยากตายก็เข้ามา ให้กระบี่มังกรเพลิงเล่มนี้ตัดหัวเจ้าซะ!”
ดวงตาสีดำขลับคู่นั้นเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว กู้ไป๋อีกล่าว “คุณหนูใหญ่ ข้ารู้ผิดแล้ว ข้าไม่ควรปิดบังคุณหนูใหญ่”
มู่เฉียนซีกล่าวถาม “ความจริงเจ้ารู้อยู่แล้วว่าหากเข้ามาในเมืองเฮยตูแล้วเจ้าจะต้องเจอกับสิ่งใด เหตุใดเจ้ายังจะเข้ามาอีก?”
“กู้ไป๋อี อย่างไรเจ้าก็นับว่าเป็นอาจารย์ของข้า แต่เจ้าไม่ได้มีความเชื่อมั่นในตัวข้าเลย ต่อให้เมืองเฮยตูจะอันตรายมากเพียงใด แต่เจ้าคิดว่าข้าจะตายที่นี่ได้ง่าย ๆ อย่างนั้นเหรอ แต่นี่เจ้ากลับเสี่ยงอันตรายกลับเข้ามาอีกครั้ง ในสมองเจ้ามันกลวงไปแล้วหรือไง?”
กู้ไป๋อีรู้ดีว่านางโกรธ นางโกรธมาก
เขาจึงรีบกล่าวชี้แจงว่า “คุณหนูใหญ่ มันไม่ใช่อย่างที่คุณหนูใหญ่คิด เป้าหมายที่ข้ากลับเข้ามาก็เพื่อจะไปที่นั่น เพราะที่นั่นมีของบางอย่างที่ข้าต้องการ”
“สำหรับความสามารถของคุณหนูใหญ่ ข้าไม่เคยสงสัย ตั้งแต่ต้นจนจบ ข้าเชื่อว่าคุณหนูใหญ่ไม่มีวันตายในเมืองเฮยตูนี้แน่นอน”
ถึงแม้ว่าเขาจะเชื่อมั่นในตัวนาง แต่เพราะรู้ว่าในที่แห่งนี้นั้นมีความยากลำบากแค่ไหน ดังนั้นจึงทนเห็นนางต้องได้รับความทุกข์และความเจ็บปวดไม่ได้
อีกอย่างในที่แห่งนั้นก็มีของบางอย่างที่เขาต้องการอยู่จริง ๆ
มู่เฉียนซีจ้องมองดวงตาคู่นั้นของกู้ไป๋อี ดูเหมือนว่าเจ้าหมอนี่จะไม่ได้โกหก
มู่เฉียนซีกล่าว “ของอันใด?”
กู้ไป๋อีกล่าว “คุณหนูใหญ่รู้มากไปมันจะไม่ส่งผลดีต่อตัวคุณหนูใหญ่ ทันทีที่ฟ้าสาง คุณหนูใหญ่ต้องรีบออกไปจากที่นี่ทันที”
“ใครบอกว่าข้าจะจากไป ในเมื่อเจ้าบอกว่าที่แห่งนั้นมีของที่เจ้าอยากได้ เช่นนั้นก็ไปด้วยกันนี่แหละ ข้าไม่อยากให้เจ้าตายก่อนที่ข้อตกลงของเราจะจบ” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
กู้ไป๋อีขมวดคิ้วพลางกล่าว “คุณหนูใหญ่ ที่นั่นมันอันตรายมาก บางทีข้าอาจจะถอยหนีออกมาได้ แต่คุณหนูใหญ่…”
“ตลอดเวลาหลายหมื่นปีที่ผ่านมา มีเพียงแค่ฝ่าบาทอย่างหลงฉือเท่านั้นที่สามารถเอาชีวิตรอดออกมาได้ เสี่ยวไป๋ เจ้าสามารถเอาชีวิตรอดออกมาได้จริง ๆ เหรอ เจ้าหยุดหลอกตัวเองได้แล้ว”
“ถึงแม้ว่าข้าจะไม่อาจเอาชีวิตรอดออกมาได้ แต่ข้าก็ไม่อยากให้คุณหนูใหญ่ต้องไปเสี่ยงอันตราย”
มู่เฉียนซีกวาดสายตามองเขาอย่างเย็นชา “เจ้าบอกว่าที่แห่งนั้นมีของที่เจ้าต้องการอยู่ เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้ว่าจะมีของที่ข้าต้องการเช่นกัน ยิ่งเป็นสถานที่ที่แปลกประหลาดมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสเป็นไปได้ว่ามันจะมีของที่ข้าต้องการมากเท่านั้น ฉะนั้น ข้าจะอยู่ต่อ!”
“ไม่ใช่เพราะเจ้า!” นางกล่าวคำพูดนี้ปิดท้าย
“คุณหนูใหญ่!” สีหน้าของกู้ไป๋อีพลันเปลี่ยนไปเป็นสีหน้าที่จนใจ
“ข้าตัดสินใจแล้ว ต่อให้เจ้าพูดเช่นไรมันก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี ฝันดี!”
มู่เฉียนซีหันหลังจะจากไป กู้ไป๋อีกลับลงมือกับนาง เขากล่าวเสียงขรึมว่า “แล้วหากว่าข้าทำให้คุณหนูใหญ่หมดสติได้ล่ะ?”
“นี่เจ้าคิดจะทำร้ายข้าอย่างนั้นเหรอ?” มู่เฉียนซีกำกระบี่มังกรเพลิงในมือแน่น ดวงตาก็ยิ่งเย็นชามากขึ้นเรื่อย ๆ
ขณะเดียวกันราชทินนามเฮยก็วิ่งเข้ามา นางยิ้มพลางกล่าวว่า “พี่ไป๋อี ท่านลืมไปแล้วหรือไร คิดอยากจะออกไปจากเมืองเฮยตู ก็ต้องดูทัศนคติของคนผู้นั้นด้วย มิเช่นนั้นแล้วอีกาดำก็คงจะไม่นำพาคนไปได้”
“หากมหาจักรพรรดิโยวไม่อยากจากไป ต่อให้เป็นฝ่าบาทก็ไม่อาจให้นางจากไปได้ ฉะนั้น ทำให้หมดสติก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี!”
จากนั้นแสงจันทราสีเงินแสงหนึ่งก็ได้ปรากฏขึ้นและกวาดไปทางราชทินนามเฮย
“เจ้าสมควรตาย!” ในตอนนี้ภายในดวงตาของกู้ไป๋อีได้ปะทุจิตสังหารอันแรงกล้าออกมา ราชทินนามเฮยเห็นเช่นนี้แล้วก็ตกอกตกใจเป็นอย่างยิ่ง
แต่นางก็ยังคงยิ้มพลางกล่าวว่า “พี่ไป๋อี นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นท่านโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเช่นนี้ จำต้องบอกเลยว่า เวลาที่ท่านโกรธเช่นนี้ มันยิ่งน่าหลงใหลนัก!”
ตูม ปัง ปัง!
ร่างชุดขาวกับร่างชุดดำทั้งสองได้ปะทะกันในยามรัตติกาล ขณะที่มู่เฉียนซีก็ได้เฝ้าดูสถานการณ์ทุกอย่าง
แสงสลัววาบผ่านดวงตาของนาง นางกล่าว “เสี่ยวไป๋ เจ้าอย่าได้ถูกยายเฒ่าประหลาดผู้นี้ฆ่าตายเสียล่ะ หากเป็นเช่นนั้น คุณหนูใหญ่ของเจ้าคงต้องอับอายขายหน้าเป็นแน่”
กล่าวจบ นางก็หันหลังเดินกลับไปนอนพักผ่อน
ราชทินนามเฮยถูกบีบบังคับให้เก็บกวาดเศษซากเหล่านั้น ส่วนมู่เฉียนซีในตอนนี้นอนเอนกายอยู่บนเตียงด้วยแววตาที่เคร่งขรึม!
หลงฉือ!
ทุกอย่างนี้เกรงว่าจะเป็นสิ่งที่นางได้คาดเอาไว้!
ช่างเป็นคนที่รับมือได้ยากยิ่งนัก
เช้าวันต่อมา ทุกอย่างดูเงียบสงบคล้ายกับว่าไม่ได้เกิดเรื่องอันใดขึ้น อีกาดำน้อยก็มาตั้งแต่เช้าตรู่
อีกาดำน้อยกล่าวอย่างมีความสุขว่า “ท่านมหาจักรพรรดิโยว ไปกันเถอะ!”
มู่เฉียนซีกล่าว “ทำให้เจ้าเสียเวลามาเปล่าแล้ว ข้าจะท้าประลองหอคอยทมิฬ ตอนนี้ยังไม่อยากจากไปได้”
อีกาดำน้อยกล่าวขึ้นด้วยความตื่นเต้นว่า “ท่านมหาจักรพรรดิโยวจะท้าประลองหอคอยทมิฬ เยี่ยมไปเลย!”
กู้ไป๋อีเดินมา เขากล่าวเสียงขรึมขึ้นว่า “คุณหนูใหญ่ จะไม่คิดพิจารณาอีกสักหน่อยเหรอ?”
“ข้าตัดสินใจไปแล้ว ไม่เปลี่ยนใจแน่นอน”
.
.