เยี่ยโยวเหยาไม่เพียงไม่ตอบคำถามซูจิ่นซี ทว่าเขายังกระชากมือของซูจิ่นซีให้เดินจากไป
อวิ๋นจิ่นรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อตรวจอาการบาดเจ็บของมู่หรงฉี
มู่หรงฉีได้รับบาดเจ็บสาหัส มีอาการบาดเจ็บที่อวัยวะภายใน อวิ๋นจิ่นจึงรีบนำตัวมู่หรงฉีเข้ามาในห้องและฝังเข็มบนร่างกายของเขาหลายจุด จากนั้นจึงถ่ายเทพลังภายในเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ
ในช่วงแรก มู่หรงฉียังมีสติ ทว่าสติของเขาเริ่มเลือนรางมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งขั้นตอนสุดท้าย เขาก็หมดสติไปในทันที
อวิ๋นจิ่นยังคงเป็นเช่นเดิม เขารู้มารยาทและความพอดีเสมอ เขาไม่ได้ถามเรื่องที่เกิดขึ้นให้มากความ ทำเพียงช่วยชีวิตมู่หรงฉีเท่านั้น
อีกด้าน เยี่ยโยวเหยาลากซูจิ่นซีออกไป หลังจากทั้งสองกลับมาถึงห้อง ซูจิ่นซียังไม่ทันได้ถามอันใด เยี่ยโยวเหยาก็คว้าแขนของนางและกอดนางไว้ในอ้อมแขนของเขาแน่น แน่นจนนางแทบแทรกเข้าไปในร่างกายของเขา
ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดที่ทำให้โยวอ๋องหวาดกลัวได้ หากมีก็คงเป็นซูจิ่นซี
สตรีนางนี้ดูเหมือนอ่อนแอ ร่างกายบอบบาง ทว่านางแข็งแกร่งดั่งเหล็กกล้า หลายครั้งที่นางทำให้โยวอ๋องหวาดกลัวมากจนหัวใจสั่นไหว
ครั้งนี้ซูจิ่นซียังรู้สึกถึงความหวาดกลัวของเยี่ยโยวเหยาอย่างชัดเจน
นางเอื้อมมือออกไปลูบหลังเยี่ยโยวเหยาอย่างเชื่องช้า และกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น? ”
เยี่ยโยวเหยาซุกศีรษะลงที่ต้นคอของซูจิ่นซี และกระชับแขนให้แน่นมากขึ้น
“เจ้าอย่าจากข้าไปไหน”
ภายในใจของซูจิ่นซีตกตะลึง นางไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นระหว่างเยี่ยโยวเหยากับอวิ๋นจิ่น นางคิดว่าเป็นเพราะความเกี่ยวพันระหว่างนางกับจิ่วหรง ทั้งในอดีตชาติและปัจจุบันที่ไม่สามารถอธิบายให้ชัดเจนและไม่สามารถแก้ไขได้
หลังจากทั้งคู่นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “เรื่องราวในอดีต แม้จะจดจำมากเพียงใด ทว่ามันผ่านไปแล้ว ผู้ที่หวนนึกถึงย่อมเดินไปได้ไม่ไกล เยี่ยโยวเหยา ข้าปรารถนาจะจับมือท่าน และเดินเคียงบ่าเคียงไหล่ไปให้ไกลแสนไกล”
“ซูจิ่นซี หากวันหนึ่งเจ้าพบว่าข้าไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าเห็น สัญญานะว่าเจ้าจะไม่ทิ้งข้าไปไหน”
แสงสว่างสาดส่องเข้ามาภายในห้องผ่านช่องต่างๆ ทว่าภายในห้องยังมืดสลัวเล็กน้อย
ซูจิ่นซีนิ่งเงียบครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เยี่ยโยวเหยา ข้าเห็นท่านเป็นเช่นไร? ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ผู้ที่ข้ารักก็คือเยี่ยโยวเหยาคนนี้เท่านั้น เป็นเยี่ยโยวเหยาคนเดียวเท่านั้น”
เยี่ยโยวเหยาไม่พูดอันใดอีก เขาหายใจรดต้นคอซูจิ่นซีอย่างต่อเนื่อง
หลังจากนั้นไม่นาน ซูจิ่นซีก็ถามอีกครั้ง “ท่านอ๋องบอกข้าได้หรือไม่? วันนี้เกิดอันใดขึ้น? ”
เยี่ยโยวเหยากอดซูจิ่นซีแน่นไม่ยอมปล่อย ดูเหมือนว่าเขามีเรื่องมากมายที่ต้องการพูดกับซูจิ่นซี ทว่าขณะที่เขากำลังเปิดปาก คำพูดทั้งหมดกลับจุกอยู่ในลำคอ
ท้ายที่สุด เขาก็พูดขึ้นมาเพียงประโยคเดียวว่า “ข้าเป็นทายาทจักรวรรดิต้าฉิน และเป็นสายเลือดเพียงผู้เดียวของจักรวรรดิต้าฉิน ความแค้นที่ทำลายจักรวรรดิ ข้าต้องชำระแค้นนี้ให้ได้”
เห็นได้ชัดว่าหลังจากเยี่ยโยวเหยาพูดคำเหล่านี้ออกมา ร่างกายของซูจิ่นซีพลันแข็งทื่อ
“จิ่นซี เจ้าตำหนิข้าหรือไม่? ”
ซูจิ่นซีนิ่งเงียบครู่ใหญ่ “ข้าจำได้ว่า ตอนที่อยู่ในตำหนักแคว้นหนานหลี อวิ๋นจิ่นเคยบอกเรื่องนี้กับข้า เขาบอกว่า ท่านอ๋องคือท่านอ๋องเพียงผู้เดียวของข้า
ทว่าเยี่ยโยวเหยา ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้น ท่านเป็นสามีของซูจิ่นซี ทว่าในขณะเดียวกัน ท่านก็คือผู้ปกครองแคว้น ท่านคือโยวอ๋องแห่งแคว้นจงหนิง และเป็นรัชทายาทแห่งจักรวรรดิต้าฉิน ท่านกำลังแบกรับความรับผิดชอบที่คนธรรมดาทั่วไปมิอาจกระทำได้ ท่านถูกกำหนดให้เดินไปตามวิถีแห่งจอมราชัน
วิถีแห่งจอมราชันมีทางเลือกมากมาย รวมถึงการทวงคืนความแค้นที่ครั้งหนึ่งเคยนำความอัปยศมาสู่ราชวงศ์ใช่หรือไม่? ”
วิธีการแก้ปัญหาของซูจิ่นซีแตกต่างจากผู้อื่นมาก และทุกครั้งนางมักแสดงความประหลาดใจให้ทุกคนเห็น ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน
เยี่ยโยวเหยาอดกอดซูจิ่นซีให้แน่นขึ้นไม่ได้
ซูจิ่นซีแย้มยิ้มอย่างหมดหนทาง “เยี่ยโยวเหยา ท่านกอดข้าแน่นเกินไปจนแทบหายใจไม่ออกแล้ว ท่านคิดจะอภิเษกกับนางสนมคนใหม่หรือ? ”
เยี่ยโยวเหยาตกตะลึงครู่หนึ่งและปล่อยซูจิ่นซีทันที ก่อนจะมองนางด้วยแววตาซับซ้อน
ซูจิ่นซีจับมือเยี่ยโยวเหยาและพาเดินไปที่โต๊ะหนังสือ
“เยี่ยโยวเหยา ท่านไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องนี้แทนข้า ตอนอยู่ที่ภูเขาไป่โถว ข้าเลือกกระโดดลงจากหน้าผาพร้อมท่าน เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ข้าเลือกแล้ว
อย่างที่ข้าเคยพูดไว้ ข้าไม่อยากเป็นกงจู่แห่งแคว้นหนานหลีหรือบ่าวรับใช้ข้างกายท่าน สิ่งที่ข้าอยากเป็นคือภรรยาของท่าน พระชายาของท่านอ๋อง พระชายาขององค์รัชทายาท และเป็นฮองเฮาของท่าน”
เรื่องเหล่านี้ ซูจิ่นซีเคยพูดไว้นานแล้ว และเยี่ยโยวเหยาก็เก็บมันไว้ภายในใจเสมอมา
ทว่าเขายังไม่สามารถขจัดความสับสน ความหวาดกลัว และความกังวลภายในใจได้
อย่างไรเสีย เขาก็แตกต่างจากซูจิ่นซี
นอกจากความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม ซูจิ่นซียังมีความคิดของซูจิ่นซี ผู้หญิงสมัยใหม่ในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด นางเป็นเหมือนคนสองคนอย่างสมบูรณ์ บางเรื่องที่นางคิดจึงแตกต่างจากผู้อื่นเสมอ
“ทว่าเยี่ยโยวเหยา วิถีแห่งจอมราชันนั้น นอกจากทางเลือกที่จำเป็นแล้วยังมีอีกมากมาย เช่น จิตวิญญาณแห่งราชัน จิตวิญญาณแห่งใต้หล้า จิตใจของท่านสามารถมีข้าได้ สามารถห่วงใยทั้งหกแคว้นในอาณาจักเทียนเหอ สามารถคำนึงถึงใต้หล้า และคำนึงถึงประชาชนจำนวนมาก หรือว่าท่านไม่สามารถให้อภัยสกุลมู่หรงได้เลย? ”
เยี่ยโยวเหยาไม่คาดคิดว่าซูจิ่นซีจะพูดคำนี้ออกมา เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย “ซูจิ่นซี… ”
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะพูดจบประโยค ซูจิ่นซีกลับยื่นนิ้วมาปิดริมฝีปากของเขาไว้ ไม่ให้เขาพูดต่อ
ซูจิ่นซีพูดเสริมอีกว่า “ข้ารู้จักสกุลมู่หรงเป็นอย่างดี พวกเขาเป็นตระกูลที่เก่งกาจมากตระกูลหนึ่ง หากกล่าวกันตามสายเลือด สกุลมู่หรงนับเป็นสายเดียวกับสกุลเสวียนหยวน หากสืบสายเลือดกันไปถึงบรรพบุรุษ พวกเขาย่อมมีสายเลือดเดียวกัน
สกุลเสวียนหยวนมีมาตั้งแต่ช่วงกลางรัชสมัยจักรวรรดิต้าฉินเมื่อห้าร้อยปีก่อนกระมัง? ก่อนจักรวรรดิต้าฉินล่มสลาย จักรวรรดิต้าฉินยังดำรงอยู่มากว่าห้าร้อยปี ในระหว่างห้าร้อยปีมานี้ สกุลเสวียนหยวนได้เปิดสำนักอักษรประจำราชวงศ์เพื่อฝึกฝนผู้ที่มีพรสวรรค์ ทำคุณประโยชน์มากมายให้กับจักรวรรดิต้าฉินใช่หรือไม่? พวกเขาสร้างคุณูปการให้กับจักรวรรดิต้าฉินมากเพียงใด? ”
ซูจิ่นซีนับอย่างละเอียด “ไม่ต้องกล่าวถึงผู้อื่น พูดเพียงสกุลเสวียนหยวน พวกเขาได้สร้างเสนาบดีแปดสิบสามคน ขุนนางหนึ่งร้อยห้าสิบหกคน ฮองเฮาสามสิบสองพระองค์ และพระสนมอีกเจ็ดสิบสี่พระองค์
ในรัชศกที่ยี่สิบสองของจักรพรรดิฮุ่ยตี้แห่งจักรวรรดิต้าฉิน สกุลเสวียนหยวนในจิ้นหยางได้แยกตัวออกจากบรรพบุรุษและเปลี่ยนชื่อเป็นสกุลเกา ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นสกุลมู่หรงในปัจจุบัน พวกเขาสร้างคุณูปการให้กับต้าฉินสองร้อยปีเต็ม ภายในระยะเวลาสองร้อยปีมานี้ พวกเขาได้สร้างจอมพลผู้มีชื่อเสียงถึงสิบหกนาย แม่ทัพใหญ่อีกสี่สิบห้านาย แม่ทัพใหญ่เจ็ดคนถูกสังหารในสนามรบ ไม่พบแม้แต่ซากศพ และแม่ทัพกว่าสามสิบนายได้สละชีพภายใต้เงื้อมมือศัตรู จนถึงตอนนี้ อัฐิของพวกเขายังไม่ได้เก็บเข้าไปในหอบรรพชนสกุลเกาเลยด้วยซ้ำ
ไม่ต้องพูดถึงสำนักอักษรประจำราชวงศ์ที่ก่อตั้งขึ้นจากสกุลเสวียนหยวน พวกเขาได้สร้างคุณงามความดีมากมายให้กับจักรวรรดิต้าฉินในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เยี่ยโยวเหยา ทุกแว่นแคว้นในยุคกลางของราชวงศ์ต้าฉินเมื่อห้าร้อยปีที่ผ่านมา ทุกอย่างแทบสร้างขึ้นจากภูมิปัญญาของสกุลเสวียนหยวน และเลือดเนื้อของสกุลมู่หรง เป็นเพราะพวกเขา จักรวรรดิต้าฉินจึงคงอยู่อย่างสงบมาเป็นเวลาหลายปี
ไม่ต้องพูดถึงว่าสกุลเสวียนหยวนและสกุลมู่หรงเคยทรยศต่อจักรวรรดิต้าฉินหรือไม่? พวกเขาเกี่ยวข้องกับการล่มสลายของจักรวรรดิต้าฉินหรือไม่? ต่อให้กระทำจริง ทว่าคุณูปการที่กล่าวมาข้างต้นคู่ควรกับความผิดที่ยังไม่รู้แน่ชัดเช่นนี้หรือ?
เสียสละไปเก้าสิบเก้าส่วน ไม่สามารถเทียบได้กับหนึ่งส่วนของความผิดพลาด!”
เห็นได้ชัดว่าเยี่ยโยวเหยาไม่เคยได้ยินความคิดเห็นและคำพูดประเภทนี้ ทั้งเขายังไม่เคยนึกถึงเรื่องเหล่านี้
ยิ่งซูจิ่นซีพูดมากเท่าไร สีหน้าของเขายิ่งแสดงความประหลาดใจมากขึ้นเท่านั้น