“ซูจิ่นซี! ”
เมื่อซูจิ่นซีพูดประโยคสุดท้ายจบ เยี่ยโยวเหยาก็โอบซูจิ่นซีเข้าสู่อ้อมกอดอีกครั้ง และกอดนางอย่างแนบแน่นลึกซึ้ง
“ไม่เคยมีผู้ใดพูดเช่นนี้กับข้ามาก่อน ตัวข้าเองก็ไม่เคยคิดมาก่อนเช่นกัน”
ซูจิ่นซีเม้มริมฝีปาก นางลูบแผ่นหลังของเยี่ยโยวเหยาอย่างแผ่วเบาเพื่อปลอบโยน
“ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ คนคุ้นเคยมักไร้ความผิด บางเรื่องไม่ควรรุนแรงจนเกินไป พวกเราไม่อาจปล่อยให้ขุนนางผู้สร้างคุณูปการของจักรวรรดิที่หลั่งเลือดเนื้อเพื่อชาติบ้านเมือง ต้องมาหลั่งน้ำตาอีก”
เยี่ยโยวเหยาแข็งทื่อเล็กน้อย “พวกเรา? ”
ซูจิ่นซีตอบอย่างหนักแน่น “ใช่ พวกเรา! เยี่ยโยวเหยา ไม่ว่าจิ่นซีจะมีสถานะเช่นไร เมื่ออภิเษกกับท่านแล้ว ข้าย่อมมีเพียงสถานะเดียว นั่นคือพระชายาของท่าน”
“หากท่านเป็นโยวอ๋อง ข้าก็จะเป็นนายหญิงแห่งจวนโยวอ๋อง พระชายาโยวอ๋อง หากท่านเป็นรัชทายาทแห่งอาณาจักรต้าฉิน ข้าก็จะเป็นพระชายารัชทายาท ในอนาคต หากท่านปกครองแผ่นดิน ข้าก็จะเป็นหงส์ที่โบยบินไปทั่วหล้า ใช่แล้ว พวกเรา! ”
“ซูจิ่นซี การมีภรรยาเช่นเจ้า ข้าไม่ร้องขออันใดอีกแล้ว”
ซูจิ่นซีเม้มริมฝีปาก “เช่นนั้นก็ไม่ต้องร้องขออันใดอีก”
เยี่ยโยวเหยากอดซูจิ่นซีอยู่เนิ่นนานจนท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง ภายในห้องไม่มีตะเกียง แสงไฟจึงเลือนลาง
ผ่านไปสักพัก เยี่ยโยวเหยาจึงปล่อยซูจิ่นซี เขาจูงมือนางมานั่งตรงมุมห้องหนังสือ ก่อนจะหยิบกล่องผ้าบนชั้นหนังสือออกมาวางตรงหน้าซูจิ่นซี
“ไม่รู้ว่าชายาที่รักมีความเห็นอื่นใดเกี่ยวกับบุญคุณความแค้นระหว่างจักรวรรดิต้าฉิน สกุลมู่หรง และสกุลเสวียนหยวน”
ซูจิ่นซีเปิดกล่องผ้าออกดู ภายในเป็นข้อมูลเกี่ยวกับบุญคุณความแค้นระหว่างสกุลมู่หรงและสกุลเสวียนหยวน
อย่างไรเสีย เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับนางและเยี่ยโยวเหยา ข้อมูลจำนวนมากในเอกสารเหล่านี้ ซูจิ่นซีเคยทำความเข้าใจมาก่อน ทว่าไม่ได้ละเอียดเท่าเยี่ยโยวเหยา
ซูจิ่นซีอ่านดูคร่าวๆ หลังจากนั้นจึงมองเยี่ยโยวเหยาด้วยท่าทางจริงจัง “เยี่ยโยวเหยา ไม่ต้องพูดถึงว่าในปีนั้น เรื่องที่สกุลเสวียนหยวนและสกุลมู่หรงทรยศต่ออาณาจักต้าฉินเป็นความจริงหรือเท็จ แม้จะเป็นเรื่องจริง ทว่าศัตรูที่แท้จริงของอาณาจักรต้าฉินก็คงไม่ใช่พวกเขา ทว่ากองทัพม้าเหล็กในตอนนั้นกวัดแกว่งอาวุธ ส่งผลให้จักรวรรดิต้องล่มสลาย ประชาชนต้องเร่ร่อนไร้ที่อยู่อาศัย
การแก้แค้นที่แท้จริง ไม่ใช่การล้างเลือดด้วยเลือดเพื่อลบล้างความอัปยศ ไม่ใช่การตัดศีรษะของศัตรูเพื่อเซ่นไหว้บรรพชน ทว่าเป็นการพิชิต”
“พิชิต? ” ดวงตาของเยี่ยโยวเหยาเต็มไปด้วยความชื่นชมในตัวซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีเอ่ยอย่างแน่วแน่และเด็ดเดี่ยว “ใช่แล้ว พิชิต! ไม่เพียงพิชิตแผ่นดินทุกตารางนิ้ว หรือพิชิตเสรีภาพทางกาย ทว่ายังต้องพิชิตใจ วัฒนธรรม และจิตวิญญาณ เพื่อให้พวกเขายอมจำนนอยู่ใต้เท้าของท่านด้วยความเต็มใจ
สิ่งนี้จึงจะเป็นการทวงคืนความอัปยศอย่างแท้จริง”
เมื่อซูจิ่นซีพูดจบ เยี่ยโยวเหยาก็ไม่ได้พูดสิ่งใดอีก ดวงตาของเขาทอประกายความรู้สึกลึกซึ้ง และมองซูจิ่นซีอยู่เนิ่นนาน พลางลูบไล้นิ้วมือกับพวงแก้มของซูจิ่นซีแผ่วเบา
สายตาเช่นนี้ไม่อาจอธิบายความรู้สึกภายในใจได้ มันเป็นการแสดงออกที่เยี่ยโยวเหยาไม่เคยเผยให้เห็นมาก่อนในชีวิตนี้ เป็นความประหลาดใจ ความชื่นชม ความปีติยินดี และความซาบซึ้ง… บนโลกนี้ เกรงว่ามีเพียงซูจิ่นซีผู้เดียวเท่านั้นที่ได้เห็น
หลังผ่านไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้น เยี่ยโยวเหยาก็พูดขึ้น “โชคดีที่แคว้นหนานหลียังมีมู่หรงฉี”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วเล็กน้อยโดยไม่ทราบสาเหตุ “เพคะ? ”
เยี่ยโยวเหยาแย้มยิ้มอย่างเอ็นดูรักใคร่
“โชคดีที่แคว้นหนานหลีมีมู่หรงฉี ไม่เช่นนั้น หากเจ้าเป็นตงหลิงหวงคนที่สอง เรื่องรวบรวมแผ่นดิน เกรงว่าข้าคงต้องหลีกทางให้แล้ว”
ซูจิ่นซีอดยิ้มไม่ได้ นางใช้นิ้วเชยคางของเยี่ยโยวเหยาอย่างกล้าหาญ พลางหรี่ตามองเยี่ยโยวเหยาจากด้านข้างอย่างมีความหมาย ราวกับว่ากำลังชื่นชมสมบัติล้ำค่าที่นางโปรดปราน
ในน้ำเสียงของนางมีความเกียจคร้านอยู่เล็กน้อย “อืม… บุรุษที่เยินยอภรรยานั้นหล่อเหลาที่สุด น่ารักที่สุด และ… มีเสน่ห์ที่สุดเพคะ! ”
“จริงหรือ? ”
“ท่านว่าอย่างไร? ” ซูจิ่นซีขยิบตาให้เยี่ยโยวเหยา
“มีเสน่ห์มากน้อยเพียงใด? ”
ซูจิ่นซีเขย่งปลายเท้าและจุมพิตริมฝีปากของเยี่ยโยวเหยา “ผู้ใดใช้ ผู้นั้นทราบเพคะ”
……
หลังจากนั้น ซูจิ่นซีจึงไปพบมู่หรงฉี
เยี่ยโยวเหยาลงมือรุนแรงอย่างมาก มู่หรงฉีได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้อวิ๋นจิ่นจะรักษาอย่างดีที่สุดแล้ว ทว่ามู่หรงฉียังคงนอนไม่ได้สติจนเช้าวันรุ่งขึ้น
เดิมทีซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาวางแผนเดินทางไปแคว้นจงหนิงในตอนเช้า ทว่าต้องเลื่อนเวลาออกไปเพราะมู่หรงฉียังไม่ฟื้น
ท้ายที่สุดก็ไม่มีวิธีจริงๆ ซูจิ่นซีให้มู่หรงฉีทานยาวิเศษเม็ดสุดท้ายที่จิ่วหรงทิ้งให้ไว้
มู่หรงฉีตื่นขึ้นตอนเที่ยงวัน
เวลานี้มีเพียงซูจิ่นซีและอวิ๋นจิ่นอยู่ในห้อง
มู่หรงฉีเอ่ยกับอวิ๋นจิ่นว่า “หมอหลวงอวิ๋น รบกวนท่านออกไปก่อน ข้ามีเรื่องจะคุยกับน้องหญิง”
หลังจากอวิ๋นจิ่นออกไป ซูจิ่นซีก็พยุงมู่หรงฉีให้นั่งพิงหมอน มู่หรงฉีไออย่างหนัก
“จิ่นซี ระหว่างเจ้ากับโยวอ๋อง… ”
มู่หรงฉียังพูดไม่ทันจบ ซูจิ่นซีก็เอ่ยแทรกขึ้นว่า “เสด็จพี่ เรื่องระหว่างข้ากับเยี่ยโยวเหยา ข้าคิดว่าตอนอยู่ที่เขาไป่โถว ข้าได้แสดงออกอย่างชัดเจนแล้ว ข้าไม่ใช่คนที่เลือกสิ่งใดโดยไม่ไตร่ตรอง เมื่อข้าเลือกแล้ว ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงง่ายๆ ”
มู่หรงฉีไออีกครั้ง “เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าความแค้นระหว่างสกุลมู่หรงและเชื้อพระวงศ์ต้าฉินเป็นบาดแผลที่ไม่มีวันลบเลือน และเป็นอุปสรรคที่พวกเจ้าไม่มีวันก้าวข้ามไปได้ สงครามระหว่างแคว้นจงหนิงและแคว้นหนานหลีครั้งก่อนได้ชี้ชัดทุกอย่างแล้ว แม้ตอนนี้จะพักรบกันชั่วคราว ทว่าเมื่อเริ่มฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ทั้งสองแคว้นจะทำสงครามกันอีกครั้ง ระหว่างพวกเจ้า ช้าเร็วต้องหันดาบเข้าห้ำหั่นกัน
ฟังคำแนะนำของพี่ หากปล่อยได้ก็จงปล่อยวางเสียเถิด! ”
มู่หรงฉีไม่มีทางรู้ว่าซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาเคยผ่านประสบการณ์อันใดมาบ้าง
ระหว่างพวกเขา ชีวิตนี้ไม่มีวันพรากจากกัน ยังมีชาติก่อนและชาติก่อนหน้านั้นอีก
ไม่ว่ามู่หรงฉีจะพูดอันใด ซูจิ่นซีก็ทำเพียงยกยิ้มมุมปาก “ไม่มีวัน”
มู่หรงฉีไม่เข้าใจนัก
ซูจิ่นซีพูดเสริมว่า “ระหว่างข้ากับเยี่ยโยวเหยาไม่มีช่องว่าง พวกเราไม่มีวันหันดาบเข้าใส่กัน ไม่ว่าระหว่างแคว้นจงหนิงและแคว้นหนานหลี ระหว่างสกุลมู่หรงและราชวงศ์ต้าฉินจะมีบุญคุณความแค้นกันอย่างไร ข้ากับเยี่ยโยวเหยา ความสัมพันธ์ของพวกเราจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”
มู่หรงฉีชะงักเล็กน้อย “จิ่นซี หรือเจ้าลืมแล้วว่าในกายของเจ้ายังมีเลือดของสกุลมู่หรงไหลเวียนอยู่ เจ้าทำแบบนี้… ต้องการทรยศราชวงศ์มู่หรงหรือ? ”
ซูจิ่นซียังคงแย้มยิ้มเล็กน้อยไม่เปลี่ยนแปลง “ข้า ซูจิ่นซี ไม่เคยภักดีต่อราชวงศ์มู่หรงตั้งแต่แรก เช่นนั้นจะทรยศได้อย่างไร”
ขณะที่พูดประโยคนี้ แววตาของซูจิ่นซีพลันเปล่งประกาย นางกล่าวเสริมอีกหนึ่งประโยคว่า “ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่ไหลเวียนอยู่ในเลือดของข้า หาได้มีเพียงสายเลือดของราชวงศ์มู่หรงเท่านั้น ทว่ายังมีความรักต่อเยี่ยโยวเหยาที่ลึกซึ้งถึงไขกระดูกอีกด้วย ซูจิ่นซีไม่เหลือสิ่งใดอีกแล้วในชีวิตนี้ ยกเว้นเยี่ยโยวเหยา”
มู่หรงฉีไม่มีวันเข้าใจในสิ่งที่ซูจิ่นซีคิด ในเมื่อตอนนี้ มู่หรงฉีอาการดีขึ้นแล้ว ซูจิ่นซีจึงไม่ต้องการเสียเวลามากเกินไป นางลุกขึ้นยืนและเตรียมตัวจากไป
“เสด็จพี่ เราเป็นพี่น้องกัน ซูจิ่นซีขอแนะนำท่านสักประโยค เรื่องบางเรื่องผ่านมาเนิ่นนานแล้ว เหตุใดถึงดื้อดึงนัก?
เยี่ยโยวเหยาฝากข้ามาบอกท่านว่าเรื่องในตอนนั้น เขาต้องการสืบให้แน่ชัด และจะให้คำอธิบายที่น่าพึงพอใจแก่สกุลมู่หรงและสกุลเสวียนหยวนแน่นอน”
ซูจิ่นซีพูดจบ นางก็รีบเดินออกจากประตูทันที
มู่หรงฉียังมีเรื่องที่ต้องการพูด ทว่าซูจิ่นซีไม่ให้โอกาสเขาได้พูดแม้แต่น้อย