เช้าตรู่ของวันที่สอง ซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยาได้ออกเดินทางกลับเมืองเย่หลิน โดยจุดหมายปลายทางของพวกเขาครั้งนี้คือ การไปรับตัวจงซีจือและมู่หรงอวิ๋นไห่
อวิ๋นจิ่นไม่ได้จากไป เขาอาสาอยู่ดูแลอาการให้มู่หรงฉี และได้ตกลงกันไว้ล่วงหน้าว่า เมื่อซูจิ่นซีและเยี่ยโยวเหยารับตัวมู่หรงอวิ๋นไห่กับจงซีจือเรียบร้อย เขาจะรอพบทั้งคู่ที่ชายแดนแคว้นหนานหลี หลังจากนั้นก็หารือร่วมกันเรื่องการเดินทางไปเยือนแคว้นเป่ยอี้เพื่อตามหาทองอมฤต
ผ่านไปไม่นานนัก มู่หรงฉีและอวิ๋นจิ่นก็จากไป พวกเขามุ่งหน้าไปยังชายแดนของทั้งสองแคว้น
แม้มู่หรงฉีจะได้รับบาดเจ็บสาหัส ทว่าเขาจำเป็นต้องไป เขาต้องการไปอยู่ให้ใกล้ตงหลิงหวงมากที่สุด เขาจำเป็นต้องทราบข่าวของตงหลิงหวงตลอดเวลา และเตรียมพร้อมเพื่อต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับตงหลิงหวง
ขณะเดินทางไป มู่หรงฉีไม่ได้ขี่ม้า อวิ๋นจิ่นได้เตรียมรถม้าให้เขาเรียบร้อยแล้ว
หลังจากที่มู่หรงฉีและอวิ๋นจิ่นตั้งค่ายบริเวณชายแดนเสร็จ มู่หรงฉีได้รับจดหมายหนึ่งฉบับจากองครักษ์เกี่ยวกับการเดินทางของตงหลิงหวง
ทันทีที่ตงหลิงหวงถอนกำลังทัพออกจากชายแดน นางกลับไปยังเมืองหลานโจวและเข้าพบฮ่องเต้แคว้นตงเฉิน ทว่าพักอยู่ที่เมืองหลานโจวได้หนึ่งวันหนึ่งคืนก็รีบเดินทางออกไปทันที และเป็นการเดินทางไปพร้อมกับนักฆ่าที่มีวรยุทธ์ยอดเยี่ยมจำนวนหนึ่ง ทิศทางที่เดินทางไป ดูเหมือนว่าจะเป็นเมืองหลวงของแคว้นตงเฉิน
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ มู่หรงฉีก็คาดเดาได้แล้วว่าตงหลิงหวงคิดจะทำอันใดต่อไป เขารู้สึกกังวลอย่างมาก ผู้ป่วยที่นอนพักฟื้นบนเตียงจึงลุกจากเตียงอย่างทุลักทุเล
อวิ๋นจิ่นที่กำลังยกถ้วยยาเข้ามา รีบเดินเข้าไปพยุงมู่หรงฉี
“ฉีอ๋อง พระองค์กำลังทำอันใด? พระอาการบาดเจ็บของพระองค์ยังไม่หายดี ไม่อยากมีพระชนม์ชีพแล้วหรือ? ”
มู่หรงฉีกำจดหมายในมือ พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“อย่าขวางข้า ข้าไม่เป็นอันใด”
เจ็บหนักจนเกือบไม่รอดเช่นนี้ จะบอกว่าไม่เป็นอันใดได้อย่างไร?
อย่างไรก็ตาม ในใจของอวิ๋นจิ่นเข้าใจอย่างชัดเจนว่ามู่หรงฉีทำเพื่อสิ่งใด
“ฉีอ๋อง สภาพของพระองค์เป็นเช่นนี้ ต่อให้กระหม่อมปล่อยพระองค์ไป พระองค์ก็ช่วยเหลืออันใดไม่ได้ ไม่เพียงเท่านั้นยังเอาชีวิตตนเองไปเสี่ยงอีก
พระองค์ฟังคำแนะนำของกระหม่อมสักประโยค รัชทายาทตงเฉินไม่ใช่คนธรรมดา นางทำเรื่องใดย่อมมีการวางแผนอย่างดีและต้องเป็นแผนการที่รัดกุม ไม่อาจปล่อยให้ตนเองตกสู่สถานการณ์อันตรายได้โดยง่าย
มิสู้พระองค์ลองส่งองครักษ์เงาฝีมือดีจำนวนหนึ่งลอบเข้าไปในแคว้นตงเฉินเพื่อรวบรวมข่าวไปพลางๆ ก่อน และติดตามความเคลื่อนไหวของรัชทายาทตงเฉิน ประการแรก พระองค์จะได้รับข่าวของรัชทายาทตงเฉินอย่างทันท่วงที ประการที่สอง หากรัชทายาทตงเฉินมีอันตราย พระองค์สามารถเข้าไปช่วยนางได้
กระหม่อมกำลังรีบคิดหาวิธีฟื้นฟูพระวรกายของพระองค์ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ หากพระวรกายของพระองค์ฟื้นฟูดีแล้ว เมื่อถึงเวลานั้น พระองค์จะเสด็จไปก็ยังไม่สาย! ”
สภาพร่างกายของมู่หรงฉีในตอนนี้ สามารถเดินทางมาถึงชายแดนได้ก็แทบแย่แล้ว หากคิดจะฟื้นฟูร่างกายในระยะเวลาอันสั้น ทั้งยังคิดจะเดินทางนับพันลี้ไปหาตงหลิงหวง ย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ทว่าข้างกายของเขามีอวิ๋นจิ่น!
วิชาแพทย์ของอวิ๋นจิ่นนั้นลึกล้ำไม่อาจคาดเดา ในเมื่อเขาบอกว่าสามารถฟื้นฟูร่างกายของมู่หรงฉีภายในเวลาอันสั้นได้ และทำให้เขาไปหาตงหลิงหวง เขาต้องทำได้อย่างแน่นอน
เป็นจริงดั่งคาด ไม่กี่วันถัดมา อวิ๋นจิ่นทุ่มเทรักษามู่หรงฉี ไม่รู้ว่าเขาได้ยาสมุนไพรมาจากที่ใด ทว่าสมุนไพรที่เขาใช้ทั้งหมดล้วนมีคุณภาพชั้นเลิศ
ทุกเช้า เที่ยง เย็น มู่หรงฉีต้องอาบน้ำด้วยน้ำสมุนไพรสามครั้ง แต่ละครั้งใช้เวลาในการอาบไม่นาน ซึ่งใช้เวลาเพียง ครึ่งชั่วยาม
ยาสมุนไพรที่ใช้แต่ละครั้งจะไม่นำกลับมาใช้อีก
แท้จริงแล้ว แถบชายแดนหาสมุนไพรได้ยากอย่างยิ่ง มู่หรงฉีสงสัยอย่างมาก สมุนไพรจำนวนมากเช่นนี้ อวิ๋นจิ่นไปหามาจากที่ใดกัน
ความจริงเขารู้สึกมาตลอดว่าอวิ๋นจิ่นที่ดูสถานะต่ำต้อย ทว่าในความเป็นจริง เขาไม่ได้ดูเรียบง่ายเช่นนั้น
เรื่องนี้ มู่หรงฉีต้องการถามอวิ๋นจิ่นมาโดยตลอด ทว่าเขาไม่กล้าถามออกไป
สามวันต่อมา ร่างกายของมู่หรงฉีแข็งแรงขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด ใช้เวลาเพียงสามวัน เขาก็รู้สึกได้ว่าร่างกายของตนเต็มไปด้วยพลัง สามารถลงจากเตียงและเดินเหินได้ ทั้งยังยกกระบี่ขึ้นกวัดแกว่งไปมาได้อีกด้วย
ขณะที่อวิ๋นจิ่นให้บ่าวรับใช้ยกอ่างยาสมุนไพรเข้ามาอีกครั้ง มู่หรงฉีก็อดถามไม่ได้
“หมอหลวงอวิ๋น หลายวันมานี้ ข้าสงสัยเหลือเกินว่าท่านไปหายาสมุนไพรจำนวนมากเช่นนี้มาจากที่ใด! เท่าที่ข้าทราบ สถานที่ที่เราอยู่ในตอนนี้ไม่สามารถผลิตสมุนไพรหลายชนิดเช่นนี้ได้ แม้ข้าไม่รู้วิชาแพทย์ ทว่าสามารถดูออกว่าสมุนไพรมากมายนั้นหายากอย่างมาก ต่อให้เป็นหุบเขาเทพโอสถหรือหุบเขาร้อยบุปผา ก็ไม่สามารถหาได้แน่นอน”
อวิ๋นจิ่นยังมีท่าทางปกติ หากไม่มีซูจิ่นซี การแสดงออกบนใบหน้าของเขาจะมีเพียงความถ่อมตน สงบนิ่ง และจริงจัง ไม่ค่อยแย้มยิ้มมากนัก
“ฉีอ๋อง เกี่ยวกับแหล่งที่มาของสมุนไพรเหล่านี้ พระองค์ไม่จำเป็นต้องตรัสถาม ขอเพียงช่วยพระองค์ฟื้นฟูพระวรกายได้ก็เพียงพอแล้ว
แม้กระหม่อมจะภักดีต่อพระชายา ทว่าพูดตามตรง กระหม่อมก็เป็นคนแคว้นหนานหลี สาเหตุที่สามารถอยู่ดูแลพระองค์ได้เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับพระชายา”
ประโยคนี้ แม้ฟังผิวเผินจะดูเป็นมิตร ไม่มีอันใด ทว่ามู่หรงฉีรู้สึกได้ชัดเจนว่าคำถามของตนทำให้อวิ๋นจิ่นไม่พอใจ
อวิ๋นจิ่นไม่ใช่คนโอ้อวด ทว่าเขาสามารถรับรู้ได้ว่ามู่หรงฉีกำลังสงสัยอันใดจากประโยคคำถามนั้นของเขา
อวิ๋นจิ่นไม่สนใจที่ผู้อื่นสงสัยในตัวตนของเขา ทว่าเขาสนใจว่า เบื้องหลังความสงสัยนี้จะนำปัญหามาให้ซูจิ่นซีหรือไม่
โดยเฉพาะคนผู้นี้มีความสำคัญต่อซูจิ่นซีอย่างมาก จึงพูดยาก
มู่หรงฉีไม่ได้พูดอันใดอีก อวิ๋นจิ่นจึงให้มู่หรงฉีเข้าไปอาบยาสมุนไพร
นี่เป็นการอาบยาสมุนไพรครั้งสุดท้าย เมื่อการอาบยาครั้งนี้เสร็จสิ้น มู่หรงฉีจะสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ต้องการไปที่ใดก็ได้ไป การเคลื่อนไหวไม่ได้รับผลกระทบ ต่อไปเพียงทานยาตามเทียบยาของอวิ๋นจิ่นให้ตรงเวลาก็เรียบร้อยแล้ว
ณ แคว้นตงเฉิน
ครั้งนี้ ตงหลิงหวงปลอมตัวเพื่อลอบเข้าไปในเมืองหลวงของแคว้นตงเฉิน แท้จริงแล้ว นางทำเพราะต้องการตามหาตระกูลคนสำคัญ โดยเฉพาะตระกูลที่มีผลต่อการตัดสินใจเกี่ยวกับสงครามการชิงบัลลังก์ภายในแคว้นตงเฉิน
ตระกูลนี้ ทุกคนคุ้นเคยเป็นอย่างดี
นั่นคือสกุลฮั่ว ซึ่งเป็นตระกูลนักรบที่เคยมีอำนาจเลื่องชื่อในแคว้นจงหนิงมาก่อน หลังจากเยี่ยโยวเหยายึดอำนาจ รัชทายาทเยี่ยเซินที่อยู่ในแคว้นจงหนิงได้ทรยศต่อแว่นแคว้นและหนีไปยังแคว้นไหวเจียง สกุลฮั่วจึงหนีมาที่แคว้นตงเฉิน
แม้แม่ทัพใหญ่ฮั่วจะเป็นคนหัวร้อน ทว่าเขาชำนาญพิชัยยุทธ์ทางการทหาร และต่อสู้ในสนามรบมาเป็นเวลาหลายปี
สำหรับฮั่วอวี้เจียว บุตรสาวคนโตของสกุลฮั่ว นางชอบเยี่ยโยวเหยามาตลอด แต่กลับต้องไต่เต้าสู่อำนาจราชวงศ์โดยการหมั้นหมายกับเยี่ยเซิน ผู้ที่นางไม่ได้ชอบพอ เพื่อครอบครัวของตนเอง
ส่วนฮั่วซืออวี่ คุณชายใหญ่สกุลฮั่ว ซูจิ่นซีเป็นผู้มีพระคุณของเขา ตอนนั้นเขาถูกสายลับแคว้นไหวเจียงทำร้าย หากไม่ได้ซูจิ่นซีช่วยชีวิตไว้ เขาคงตายไปนานแล้ว
ตามเหตุผล ความสัมพันธ์ของสกุลฮั่ว เยี่ยโยวเยา และซูจิ่นซีนั้นพัวพันกันยุ่งเหยิงไปหมด พวกเขาควรภักดีต่อเยี่ยโยวเหยาที่สุด โดยเฉพาะฮั่วซืออวี่ ทว่าสุดท้ายแล้ว สกุลฮั่วกลับทรยศต่อแคว้นจงหนิงจนได้
ในตอนนั้น เดิมทีพวกเขาคิดจะยึดอำนาจของราชวงศ์ ทว่าเมื่อเห็นเยี่ยเซินสิ้นไร้ซึ่งอำนาจ แม้จะอยู่แคว้นจงหนิงก็ไร้ที่พึ่ง พวกเขาจึงสมรู้ร่วมคิดกับแคว้นตงเฉิน และหลบหนีไปยังแคว้นตงเฉินโดยไม่ลังเล
ทว่าแท้จริงแล้ว นับตั้งแต่นั้นมา แต่ละวันของสกุลฮั่วในแคว้นตงเฉินกลับไม่ราบรื่นนัก