หลังจากล้างหน้าล้างตัวเสร็จแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เขาฟัง
หวงฝู่อี้เซวียนขมวดคิ้วหลังจากที่ได้ฟัง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า “องค์ชายรัชทายาทเยียลี่ว์อคนนี้สามารถเข้าวังไปขอความช่วยเหลือได้ แต่กลับรีบมาที่จวนอ๋องฉี เขาตั้งใจมาเพราะเมิ่งเอ๋อร์แน่นอน”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มส่ายหัวไปมาแล้วกล่าวว่า “ตอนนั้นคนของเขาเสียชีวิตไปเกือบครึ่งแล้ว เหตุฉุกเฉิน คิดว่าเขาน่าจะคิดถึงพวกเราก่อน ฉะนั้นจึงให้ลูกน้องของเขารีบมาส่งข่าว”
ฟังน้ำเสียงที่ปกป้องของนาง สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนยิ่งไม่พอใจมากขึ้นไปอีก มองนางด้วยหางตาแล้วกล่าวว่า “เจ้าคงไม่ได้ยินยอมให้เขามาสู่ขอเมิ่งเอ๋อร์หรอกนะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแต่ไม่ตอบ และไม่ได้เล่าการกระทำในวันนี้ของหวงฝู่สือเมิ่งให้เขาฟัง
เห็นนางยิ้มอย่างมีความสุข ดูอารมณ์ดี ในใจของหวงฝู่อี้เซวียนไม่พอใจเป็นอย่างมาก ลุกขึ้นยืน เดินมาข้างหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว จ้องมองตานางแล้วขมขู่ว่า “หากเจ้ากล้าตกลงการสู่ขอของเขา เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะมัดตัวของเจ้าไว้บนเตียง จนกว่าเจ้าจะคลอดลูกสาวอีกหนึ่งคน”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วกล่าวว่า “ขอเพียงเจ้ายินยอม คลอดอีกสองคนก็ได้”
หวงฝู่สือเมิ่งกลับไปที่ห้องของตัวเอง สั่งให้คนยกน้ำร้อนมา นั่งล้างตัวอยู่ในอ่าง คิดถึงการกระทำเมื่อครู่ขอตัวเองแล้ว ก็ยื่นมือทั้งสองข้างออกมาปิดใบหน้าที่ร้อนมากของตัวเองแล้วลงไปในน้ำ แต่ตอนที่ได้ยินว่าเยียลี่ว์อาเป่ามีอันตราย นางตกใจจริงๆ สมองว่างเปล่า ไม่รู้เลยว่าตัวเองทำอะไรลงไปบ้าง จนถึงตอนที่นางรู้สึกตัวขึ้นมาเมื่อเห็นสายตาที่แรงกล้าของเยียลี่ว์อาเป่า จึงจะรู้สึกว่าการกระทำของตัวเองนั้นไม่เหมาะสมมากเพียงใด แต่ก็สายไปเสียแล้ว ไม่เพียงแค่เยียลี่ว์อาเป่า เกรงว่าท่านแม่ของตนก็รู้ความรู้สึกของตนแล้ว นั่นทำให้ตัวเองที่กล่าวอย่างมั่นใจว่าจะไม่ยอมแต่งงานกับเยียลี่ว์อาเป่าตอนนั้น จะเผชิญหน้ากับพวกเขาในตอนนี้ได้อย่างไร
ยิ่งคิดยิ่งวุ่นวายใจ ยิ่งคิดยิ่งโมโห หลังจากเงยหน้าขึ้นมาแล้ว ก็ทุบตีผิวน้ำแรงๆ หนึ่งครั้ง แล้วกล่าวว่าน้ำที่กระเซ็นขึ้นมาอย่างโมโหว่า “ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า”
หลังจากสี่ชั่วยามผ่านไป ชิงหลวนกลับมารายงาน กล่าวว่าผู้ที่โจมตีเยียลี่ว์อาเป่าได้ถูกจับกุมไว้หมดแล้ว ส่งตัวให้คนของเขาแล้ว ส่วนเขาจะจัดการอย่างไร นางไม่ได้กล่าวถาม
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า มองท้องฟ้า ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ฟ้ามืดแล้ว เจ้ารีบกลับสำนักคุ้มภัยเถิด เรียกจูหลีให้กลับหนานเฉิงด้วย”
ชิงหลวนรับคำสั่ง แล้วถอยออกไป
สองวันผ่านไป เยียลี่ว์อาเป่ามาขอพบที่จวน แต่ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวปฏิเสธ
หลังจากเยียลี่ว์อาเป่าชะงักไปสักพัก หันหลังแล้วกลับเข้าไปในรถม้า ตรงมาที่ตลาดค้าขาย ซื้อจวนหลังหนึ่งที่อยู่ห่างจากจวนอ๋องฉีสามถนนเพื่ออยู่อาศัย หลังจากนั้นมา ก็จะไปขอพบที่จวนอ๋องฉีทุกวัน แต่ก็ถูกปฏิเสธทุกครั้ง เป็นเวลาต่อเนื่องสามเดือน เป็นเยี่ยงนี้ทุกวัน จนนายประตูยอมใจในความหน้าด้านและความอดทนของเขา
รัฐอิง
ท่าป๋าหั่นหลินที่กลับรัฐอิงหลังจากสู่ขอเสร็จ ความหวังตลอดหลายปีกำลังจะสำเร็จ แต่เขากลับมิได้ดีใจเยี่ยงนั้น ในเวลาที่เข้าประชุมตอนเช้าและอ่านสานส์ที่กราบทูล ก็เหม่อลอยอยู่บ่อยครั้ง ในหัวก็มีภาพหวงฝู่เย่าเย่ว์ผุดขึ้นมาบ่อยครั้ง รูปร่างที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาของนาง รอยยิ้มที่ไร้ความกังวลของนาง และดวงตากลมโตที่ใสซื่อบริสุทธิ์คู่นั้นของนาง เต็มไปด้วยความเลื่อมใสศรัทธาเมื่อมองมาที่ตัวเอง
วันนี้ หลังจากเสวยพระกระยาหารที่ตำหนักของไทเฮา ฟังนางเล่าเรื่องการจัดเตรียมงานแต่งงานของเขาด้วยสีหน้าที่มีความสุข ท่าป๋าหั่นหลินก็เกิดความหงุดหงิดในใจ ยังไม่ทันรอให้ไทเฮาเอ่ยจบ ก็กดคลึงหน้าผากของตัวเอง
ไทเฮาเห็น จึงหยุดตรัส แล้วถามอย่างห่วงใยว่า “ลูกไม่สบายที่ใดหรือ”
ท่าป๋าหั่นหลินกล่าวตอบว่า “ช่วงนี้สานส์กราบทูลมีมาก ลูกดูทั้งวันแล้ว จึงรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อยขอรับ”
“ถ้าเยี่ยงนั้นเจ้าก็รีบกลับไปพักผ่อนที่ตำหนักเถิด ข้าจะสั่งให้คนต้มยาบำรุงไปให้เจ้า”
ท่าป๋าหั่นหลินลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวว่า “ไม่ต้อง เสด็จแม่ ข้าพักผ่อนสักคืนก็ดีแล้วขอรับ”
ไทเฮามิได้เซ้าซี้
ท่าป๋าหั่นหลินออกจากประตูตำหนักของไทเฮา มองดูเกี้ยวที่งดงามตรงหน้า แต่ไม่มีความรู้สึกอยากนั่ง ยกขาแล้วเดินตรงไปที่สวนดอกไม้อย่างไม่รีบร้อน หัวหน้าขันทีและนางกำนัลต่างเดินตามหลังอย่างระมัดระวัง ไม่กล้าหายใจแรง
อากาศในเดือนห้าเดือนหก ตอนเช้านั้นร้อนมาก พอตกกลางคืน จึงจะมีลมพัดมาเล็กน้อย แต่ยิ่งพัดก็ยิ่งทำให้ท่าป๋าหั่นหลินหงุดหงิดใจมากขึ้น
ท่าป๋าหั่นหลินเดินมาจนถึงศาลาข้างบ่อปลา ยืนมือไขว้หลังมองดูฝูงปลาที่แหวกว่ายไปมาอย่างอิสระในน้ำ
หัวหน้าขันทีคาดเดาความคิดของเขาไม่ออก และไม่กล้าก้าวออกไปถาม จนเขายืนเหม่อลอยไปสามสิบนาที จึงจะกล้าก้าวออกไป กล่าวถามว่า “ฮ่องเต้ ให้คนนำอาหารปลามาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เงยหน้ามองเขาเล็กน้อย ท่าป๋าหั่นหลินไม่ได้เอ่ยตอบ
หัวหน้าขันทีคิดว่าเขาตกลงแล้ว จึงโบกมือ ก็มีคนยกอาหารปลามาทันที วางลงข้างหน้าท่าป๋าหั่นหลินอย่างเคารพ
ท่าป๋าหั่นหลินจับขึ้นมาหนึ่งกำมืออย่างไม่รู้ตัว แล้วโยนลงไปในบ่อปลา
เหล่าฝูงปลาต่างแข่งกันว่ายน้ำมาแย่งอาหาร
มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของท่าป๋าหั่นหลิน มือที่กำลังจับอาหารปลาขึ้นมาอีกครั้งหยุดชะงักไป หันมองไปทางหัวหน้าขันที ริมฝีปากขยับ อยากจะกล่าวถามอะไรบางอย่างว่า “เจ้าว่า…”
หัวหน้าขันทีฟังอย่างเคารพ แต่ผ่านไปสักพักก็ไม่ได้ยินประโยคถัดไป จึงเงยหน้ามองเขาอย่างไม่เข้าใจ
ท่าป๋าหั่นหลินกลับไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก โยนอาหารปลาในมือทิ้ง แล้วยื่นมือออกมา
นางกำนัลรีบยกผ้าเช็ดขึ้นมาทันที
เช็ดมือให้สะอาดแล้ว ก็โยนลงบนถาดวาง สั่งว่า “ไป นำตัวหลิวอวี้เอ๋อร์ไปที่ตำหนักชิงเซวียน”
ตำหนักชิงเซวียนเป็นตำหนักบรรทมของท่าป๋าหั่นหลิน หัวหน้าขันทีได้ยินก็กะพริบตา แสดงสีหน้าดีใจออกมา รีบสั่งให้คนไปเรียกหลิวอวี้เอ๋อร์
ท่าป๋าหั่นหลินก็ไม่มีอารมณ์ให้อาหารปลาแล้ว หลังจากออกจากสวนดอกไม้ ก็นั่งเกี้ยว กลับตำหนักชิงเซวียนทันที
หัวหน้าขันทียืนรออยู่ด้านนอกตำหนัก แอบคิดในใจว่าหลังจากหลิวอวี้เอ๋อร์ถูกฮ่องเต้นำตัวกลับมาเมื่อหลายปีก่อน แล้วโยนให้ท้าวนางผู้ใหญ่ที่สอนประเพณีและกฏระเบียบดูแล
แน่นอนว่าท้าวนางผู้ใหญ่สอนประเพณีและกฏระเบียบทุกอย่าง หลิวอวี้เอ๋อร์คนนั้นลำบากไม่น้อย หลายเดือนแรกนางหัวแข็ง จึงถูกตีไม่น้อย ต่อมาไม่รู้ว่าคิดได้หรือยอมรับชะตากรรมแล้ว เชื่อฟังมากขึ้น หนึ่งปีผ่านไป คนก็สอนเสร็จแล้ว แต่ฮ่องเต้ก็ไม่เคยเอ่ยถามถึงนางเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่วันนี้กลับให้คนเรียกนางมา หรือเพราะรู้ว่าหลิวอวี้เอ๋อร์คนนั้นเข้าสู่วัยสาวแล้ว สามารถรับใช้ในห้องบรรทมแล้ว จึงเรียกนางมา
ในขณะที่หัวหน้าขันที่คิดอยู่ หลิวอวี้เอ๋อร์ก็เดินตามนางกำนัลมา สองปีผ่านไป หลิวอวี้เอ๋อร์โตแล้ว ยิ่งดูยิ่งงดงาม ไม่เพียงเท่านี้ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะถูกสั่งสอนมา หรือว่านางเป็นเยี่ยงนี้อยู่แล้ว ไม่เพียงแค่ดวงตาคู่งามนั้นที่มีแสงสว่างแห่งความเย้ายวนอยู่ แม้แต่รอบตัวนางและทุกการเคลื่อนไหว ทุกการกระทำกลับเต็มไปด้วยความเย้ายวน ที่ทำให้ผู้คนที่เห็นเกิดความคิดที่ไม่ดีกับนาง
มิทันได้รายงาน หัวหน้าขันทีเปิดประตูตำหนักชิงเซวียนทันที หลิวอวี้เอ๋อร์ขยับตัวแล้วเดินนวยนาดเข้าไป
นางกำนัลที่อยู่ข้างหลังก็อยากจะตามเข้าไป แต่ถูกหัวหน้าขันทีขัดขวางไว้ “ไม่ดูตาม้าตาเรือ วันนี้เป็นครั้งแรกที่ฮ่องเต้เรียกเจ้านายของพวกเจ้า พวกเจ้าจะตามเข้าไปทำไม”
นางกำนัลหยุดลง ต่างก้มศีรษะลง แต่ในใจกลับปรารถนาให้ฮ่องเต้รักและเอาใจเจ้านายของตัวเอง ต่อไปพวกนางจะได้เชิดหน้าชูตาในวังนี้ได้ มิใช่ว่าตอนนี้ตามหลิวอวี้เอ๋อร์ไม่ดี แต่สถานะของเจ้านายตนนั้นแปลกเล็กน้อย บอกว่าเป็นนางสนมของฮ่องเต้ แต่ก็ยังไม่ถูกแต่งตั้ง แต่หากบอกว่ามิใช่นางสนม แต่กลับถูกฮ่องเต้นำตัวกลับมาด้วยตัวเอง จึงทำให้ผู้คนมากมายในวังใช้สายตาที่แปลกๆ มองพวกนางและคนในตำหนักซีเหอ
เดินเข้ามาในตำหนัก เห็นท่าป๋าหั่นหลินนั่งอยู่บนเตียงใหญ่ในห้องบรรทม ดวงตาคู่งามของหลิวอวี้เอ๋อร์แสดงแสงวาบหวามที่เย้ายวนออกมา เดินไปอย่างช้าๆ ทำความเคารพ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หยาดเยิ้ม “ทำความเคารพฮ่องเต้”
ตอนนั้นที่จับตัวหลิวอวี้เอ๋อร์กลับมา หลังจากกล่าวถามเรื่องราวตั้งแต่เล็กจนโตของหวงฝู่เย่าเย่ว์อย่างละเอียดแล้ว ท่าป๋าหั่นหลินก็โยนนางให้ท้าวนางผู้ใหญ่ที่สอนประเพณีและกฏระเบียบดูแลทันที ไม่คิดว่าไม่พบเจอกันสองปี หลิวอวี้เอ๋อร์จะกลายเป็นเยี่ยงนี้ จนอดมองนางมิได้ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่น่าเกรงขามว่า “ลุกขึ้นเถิด”
“ขอบพระทัยฮ่องเต้” หลิวอวี้เอ๋อร์ลุกขึ้นอย่างช้าๆ ด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความเย้ายวนอย่างบอกไม่ถูก
แต่ท่าป๋าหั่นหลินเหมือนไม่เห็น กล่าวถามเรื่องที่เขารู้สึกสงสัยออกมาตรงๆ ว่า “ข้าจำได้ว่าเจ้าเคยพูดว่า หวงฝู่เย่าเย่ว์ว่ายน้ำไม่เป็น แล้วเหตุใดตอนนั้นหลังจากที่คนของข้าลากนางลงน้ำ นางสามารถหลุดพ้นไปได้” หลิวอวี้เอ๋อร์หยุดชะงักไป เห็นได้ชัดว่าคิดไม่ถึงว่าท่าป๋าหั่นหลินจะเรียกนางมาในเวลากลางคืนเยี่ยงนี้เพราะถามเรื่องราวที่เกี่ยวกับหวงฝู่เย่าเย่ว์ นางขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วแกล้งทำเป็นหยุดคิดไปชั่วครู่ แล้วพยักหน้าอย่างมั่นใจแล้วกล่าวว่า “ฮ่องเต้ หวงฝู่เย่าเย่ว์ว่ายน้ำไม่เป็นจริงๆ เพคะ ไม่เยี่ยงนั้นตอนนั้นก็คงไม่ถูกเรือของข้าชนจนตกลงไปในน้ำ จนเกือบจมน้ำตาย”
ท่าป๋าหั่นหลินก็ยังไม่เชื่อ เขาจำได้ว่าตอนนั้นลูกน้องของเขากล่าวว่า จับตัวได้แล้ว แต่หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ยังหลุดรอดไปได้ หากนางว่ายน้ำไม่เป็น แล้วนางจะหลุดไปได้อย่างไร ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วกล่าวถามด้วยน้ำเสียงต่ำว่า “เจ้าแน่ใจหรือ”
“อวี้เอ๋อร์แน่ใจเพคะ”
ท่าป๋าหั่นหลินครุ่นคิด ไม่พูดจา ไม่นานก็โบกมือแล้วกล่าวว่า “ออกไปเถิด”
หลิวอวี้เอ๋อร์ตกใจ ไม่เชื่อว่าท่าป๋าหั่นหลินเรียกตนมา เพียงเพราะกล่าวถามเรื่องราวที่เกี่ยวกับหวงฝู่เย่าเย่ว์เท่านั้น จึงไม่พอใจ กัดริมฝีปากล่างเบาๆ แล้วดึงเสื้อผ้าของตัวเองลงเล็กน้อย แสดงผิวที่ขาวเนียนออกมามากขึ้น แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หยาดเยิ้มและเย้ายวนว่า “ฮ่องเต้”
ท่าป๋าหั่นหลินมองไปทางนาง
‘ฮ่องเต้’ ในน้ำเสียงของหลิวอวี้เอ๋อร์มีความน้อยใจเล็กน้อย แล้วบอกเป็นนัยมากขึ้นไปอีกว่า “อวี้เอ๋อร์เข้าสู่วัยสาวแล้วนะเพคะ”
สายตาของท่าป๋าหั่นหลินยิ่งขรึมลง กวักมือเรียกนาง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าว่า “เข้ามา”
หลิวอวี้เอ๋อร์เดินมาข้างหน้าเข้าด้วยท่าทางที่สั่นเล็กน้อย กลัวเล็กน้อย เขินอายเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ฮ่องเต้ ท่าน” ท่าป๋าหั่นหลินยกมุมปากขึ้นสูง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายว่า “เจ้าใคร่ปีนขึ้นเตียงข้ามากเยี่ยงนี้เลยหรือ”