ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 118 หากไม่ละทิ้งกลางคัน จะทองหรือหินก็สามารถแกะสลักได้

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

ท่าป๋าหั่นหลินสืบทอดบังลังก์ว่าสามปี ตอนนี้อายุสิบแปดสิบเก้าปีแล้ว เป็นช่วงเวลาที่กระฉับกระเฉงและมีพลัง เมื่อก่อนเอาแต่คิดวางแผนว่าจะสู่ขอหวงฝู่เย่าเย่ว์ได้อย่างไร จึงไม่ได้คัดเลือกนางสนมเข้าวัง ประสบการณ์ด้านนี้จึงไม่มี ตอนนี้หลิวอวี้เอ๋อร์เริ่มก่อน จึงใจเต้นขึ้นมาเล็กน้อย 

 

 

หลิวอวี้เอ๋อร์ผ่านการสั่งสอนมานานเยี่ยงนี้ แน่นอนว่าต้องรู้ว่าเป็นอย่างไร ในใจนั้นก็ดีใจมาก ความเย้ายวนวูบวาบในดวงตาของนาง กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ยิ่งทำให้คนฟังไร้เรี่ยวแรงว่า “ฮ่องเต้ วันนี้ให้อวี้เอ๋อร์รับใช้ท่านดีหรือไม่” 

 

 

นางเป็นคุณหนูของจวนอู่โหว แม้ว่าจะไม่ถูกจับตัวมา คิดว่าก็คงถูกฮ่องเต้เลือกเข้าวังแน่นอน ฮ่องเต้ในปัจจุบันอายุสามสิบกว่าปีแล้ว มีนางสนมมากมายนับไม่ถ้วน หากนางอยากจะโดดเด่นที่สุดในบรรดาเหล่านางสนม ก็มิใช่ว่าไม่มีโอกาสนั้น ตอนนี้ไม่เหมือนกัน ตอนนี้รอบข้างท่าป๋าหั่นหลินยังไม่มีนางสนมแม้แต่คนเดียว ให้นางใช้ความสามารถของนางทุกอย่าง ที่ทำให้เขาไปจากนางมิได้ ไม่เพียงแค่มีที่ยืนในวังหลังแล้ว ไม่แน่อาจมีบุตรอีกหนึ่งคนอยู่ข้างกาย เมื่อถึงเวลานั้นนางสามารถส่งจดหมายในครอบครัวนาง ว่านางยังมีชีวิตอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นคือมีชีวิตที่ดี นี่เป็นสิ่งที่นางคิดได้เมื่อตอนที่นางจะฆ่าตัวตายเพื่อขมขู่ ฉะนั้นต่อมานางจึงเชื่อฟัง ส่วนหวงฝู่เย่าเย่ว์ที่โง่เขลานั้น รอให้นางเป็นฮองเฮาจริงๆ แล้ว ย่อมมิใช่คู่ต่อสู้ของนางแล้วอย่างแน่นอน 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินเพ่งมองใบหน้าที่งดงามของนาง ลูกกระเดือกเคลื่อนขึ้นลงหลายรอบ ใช้มือดึง เสื้อผ้าบนตัวของหลิวอวี้เอ๋อร์ออกมาอย่างง่ายดาย เผยผิวกายที่เรียบเนียนและขาวนวลออกมา 

 

 

หลิวอวี้เอ๋อร์ร้องเสียงแหลมออกมาอีกหนึ่งครั้ง หลังจากนั้นหัวหน้าขันทีและนางกำนัลที่รออยู่ข้างนอกได้ยินเสียง ก็ดีใจเป็นอย่างมาก ที่หัวหน้าขันทีดีใจนั้นเป็นเพราะ ในที่สุดฮ่องเต้ก็มีผู้หญิงเสียที นั่นหมายความว่าร่างกายของเขาไม่มีปัญหา เขาสามารถรายงานไทเฮาได้อย่างสบายใจเสียที ส่วนนางกำนัลนั้น ที่ดีใจเป็นเพราะในที่สุดเจ้านายของตัวเองก็ถูกรักและเอาใจเสียที ต่อไปตำแหน่งของพวกนางก็จะสูงขึ้น 

 

 

หัวหน้าขันทีและนางกำนัลมีความคิดอย่างไร ท่าป๋าหั่นหลินไม่รู้ เข้ารู้เพียงว่า เขาถูกเย้ายวนจนอยากจะได้ตัวของผู้หญิงคนนี้ จึงไม่อดกลั้นอีกต่อไป ฉีกเสื้อผ้าบนตัวของหลิวอวี้เอ๋อร์อย่างรวดเร็ว โยนลงบนพื้น แล้วรีบถอดเสื้อผ้าของตัวเองแล้วทับตัวลงไป   

 

 

เห็นท่าทางที่ร้อนใจของเขา ใจของหลิวอวี้เอ๋อร์ก็แทบจะกระโดดออกมา ใบหน้าแดงก่ำ ยิ่งทำให้นางดูสวยเย้ายวนมากขึ้นไปอีก  

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินแนบริมฝีปากลงบนริมฝีปากที่นุ่มของหลิวอวี้เอ๋อร์ ได้ยินเสียงครวญครางของนางข้างหู แต่ตรงหน้ากลับมีภาพเมื่อหลายปีก่อนผุดขึ้นมา ร่างกายหยุดชะงักไป ความเร่าร้อนและความร้อนใจหายไปในพริบตา ร่างกายที่เร่าร้อนก็ค่อยๆ เย็นขึ้นมาทันที 

 

 

สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของเขา หลิวอวี้เอ๋อร์ลืมตาขึ้นมา มองดูสายตาที่เปลี่ยนเป็นความเยือกเย็นของเขา ก็ตกใจเป็นอย่างมาก รีบกล่าวออกมาว่า “ฮ่องเต้เพคะ” 

 

 

เสียงนี้ ทำลายความเร่าร้อนของท่าป๋าหั่นหลินไปทั้งหมด ค่อยๆ ลุกขึ้น จัดเสื้อผ้าของตัวเอง แล้วสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ออกไป” 

 

 

“ฮ่องเต้” หลิวอวี้เอ๋อร์ร้องออกมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง รีบผุดลุกขึ้นมา ยื่นมืออกมาดึงเสื้อผ้าของท่าป๋าหั่นหลิน แล้วกล่าวถามอย่างไม่ตายใจว่า “ฮ่องเต้ อวี้เอ๋อร์ทำไม่ดีตรงไหนหรือเพคะ” 

 

 

ใบหน้าเล็กตรงหน้าทับกับใบหน้าเล็กของหวงฝู่เย่าเย่ว์ ท่าป๋าหั่นหลินเหมือนเห็นท่าทางที่หวงฝู่เย่าเย่ว์โมโห หลังจากที่นางได้รู้ว่าเขามีหญิงอื่น เขาใจสั่น รีบดึงเสื้อผ้าของตัวเองกลับมา แล้วตะคอกเสียงดังออกมาว่า “ออกไป!” 

 

 

หลิวอวี้เอ๋อร์หยุดชะงักไป ในดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตา ที่จะไหลออกมา ด้วยท่าทางที่ทำให้ผู้ที่เห็นต้องรู้สึกสงสาร แล้วกล่าวอย่างไม่ตายใจอีกครั้งว่า “ฮ่องเต้” ท่าป๋าหั่นหลินทำเหมือนไม่เห็นและไม่ได้ยิน ร้องตะโกนออกไปข้างนอกอย่างเสียงดังว่า “เข้ามา” 

 

 

เสียงตะคอกนั้นของท่าป๋าหั่นหลิน หัวหน้าขันทีและนางกำนัลที่อยู่ข้างนอกได้ยินแน่นอน ต่างตกใจกันมาก ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ได้ยินเสียงโมโหเรียกของท่าป๋าหั่นหลินที่ดังมาจากข้างใน หัวหน้าขันทีรีบก้มหน้าแล้วเดินเข้าไปทันที  

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโมโหว่า “โยนนางออกไป” 

 

 

หัวหน้าขันทีเงยหน้าขึ้น มองหลิวอวี้เอ๋อร์เล็กน้อย แล้วรีบก้มหน้าอีกครั้ง รับคำสั่งว่า “ขอรับ”    

 

 

แล้วหันหลังตะโกนเรียกคนข้างนอกว่า “ยังไม่รีบเข้ามาอีก พยุงตัวเจ้านายพวกเจ้าออกไปซะ” 

 

 

นางกำนัลที่รับใช้หลิวอวี้เอ๋อร์พยุงตัวหลิวอวี้เอ๋อร์ขึ้นมา แล้วเดินเรียงกันออกไปทันที หลิวอวี้เอ๋อร์ไม่พอใจ พยายามขัดขืนตลอดเวลาแล้วกล่าวว่า “ฮ่องเต้ ฮ่องเต้เพคะ” 

 

 

ความโมโหของท่าป๋าหั่นหลินมาถึงขีดสุด จนแทบจะระเบิดออกมาแล้ว แต่นางกำนัลก็ไม่เห็น หัวหน้าขันทีก็ร้อนใจเป็นอย่างมาก รีบโบกมืออย่างไม่สบอารมณ์แล้วกล่าวว่า “รีบออกไป” 

 

 

นางกำนัลรีบยื่นมือออกมาพร้อมกัน ปิดปากของหลิวอวี้เอ๋อร์ แล้วนำตัวนางออกไป 

 

 

หัวหน้าขันทีก็เดินออกไปด้วย ค่อยๆ ปิดประตูอย่างเบาๆ ยังไม่ทันกล่าวว่าเจ้าพวกคนโง่เขลาพวกนี้ ก็มีเสียงทำลายสิ่งของดังออกมาจากข้างใน  

 

 

เพล้ง เพล้ง เพล้ง หลิวอวี้เอ๋อร์และนางกำนัลทุกคนต่างตกใจจนตัวสั่น 

 

 

นี่ก็เป็นครั้งแรกที่หัวหน้าขันทีเห็นท่าป๋าหั่นหลินโมโหเยี่ยงนี้ เงยหน้ามองไปทางหลิวอวี้เอ๋อร์ เจ้าคนโง่เขลานี้ แม้แต่รับใช้ในห้องบรรทมก็ทำไม่เป็น ทำให้ฮ่องเต้โมโหเยี่ยงนี้  

 

 

เรื่องใหญ่ขนาดนี้ แน่นอนว่าไทเฮาต้องรู้ ความดีใจจากข่าวที่ได้ยินว่าท่าป๋าหั่นหลินเรียกหลิวอวี้เอ๋อร์ให้เข้าเฝ้าหายไปในพริบตา แล้วสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ไป นำตัวหลิวอวี้เอ๋อร์คนนั้นมาพบข้า” 

 

 

ฉะนั้น หลิวอวี้เอ๋อร์ที่เพิ่งจะกลับมาถึงตำหนักของตัวเอง ยังไม่ทันเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ถูกเรียกไปที่ตำหนักของไทเฮา มองดูนางที่ถามกี่คำถามก็ตอบว่าไม่รู้ ทำให้ไทเฮาโมโหอย่างมาก สั่งให้นางไปคุกเข่าที่ลาน จนกว่าฮ่องเต้จะหายโมโห 

 

 

  

 

 

  

 

 

รัฐอู่ หน้าประตูจวนอ๋องฉี  

 

 

เยียลี่ว์อาเป่ายังคงมาขอพบที่จวนอ๋องฉีเฉกเช่นทุกวัน 

 

 

นายประตูก็ไม่ไล่เขา ยังคงเข้าไปรายงานเหมือนทุกครั้ง แต่ก็พึมพำในใจว่า ไม่รู้ว่าองค์ชายรัชทายาทรัฐหมิงนั้นโง่หรือไม่ สามเดือนแล้ว ไม่มีเจ้านายในจวนคนใดพบเขาเลย แต่เขาก็ยังไม่ย่อท้อ 

 

 

ไม่คิดว่า หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินรายงานแล้ว ก็สั่งว่า “เชิญเขาไปที่ห้องโถงรับแขก” 

 

 

นายประตูตกใจอ้าปากกว้าง ผ่านไปสักพักจึงจะรู้สึกตัวขึ้นมา วิ่งมาจนถึงหน้าประตูจวน ทำท่าเชิญแล้วกล่าวอย่างดีใจว่า “องค์ชายรัชทายาทเยียลี่ว์ ซื่อจื่อเฟยเชิญท่านเข้าไปขอรับ” 

 

 

เยียลี่ว์อาเป่าก็อึ้งไปเล็กน้อย ไม่นานก็แสดงรอยยิ้มที่มาจากใจ แล้วกล่าวอย่างมีมารยาทว่า “ขอบใจมาก” 

 

 

สามเดือนนี้ เขามาทุกวัน นายประตูก็เข้าไปรายงานทุกวัน ในใจของเขาก็รู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก 

 

 

นายประตูตกใจเป็นอย่างมาก รีบโบกมือแล้วกล่าวว่า “องค์ชายรัชทายาทเยียลี่ว์ กล่าวเยี่ยงนี้มิได้ขอรับ เชิญท่านเข้าไปนจวนเถิดขอรับ” 

 

 

เยียลี่ว์อาเป่าตามเขามาถึงห้องโถงรับแขก 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวรออยู่ในห้องโถงรับแขกแล้ว ทั้งสองนั่งตรงตำแหน่งหลัก เห็นเขาเข้ามา ก็ไม่ได้ลุกขึ้น 

 

 

เยียลี่ว์อาเป่าค้อมตัวลงทำความเคารพทั้งสองแล้วกล่าวว่า “ทำความเคารพซื่อจื่อ ทำความเคารพซื่อจื่อเฟย” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวทำท่าเชิญแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “องค์ชายรัชทายาทเยียลี่ว์ เชิญนั่งเถิด” 

 

 

เยียลี่ว์อาเป่ากล่าวขอบคุณ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งให้คนยกน้ำชามา  

 

 

แต่หวงฝู่อี้เซวียนนั้นไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว แต่สายตาที่มองเยียลี่ว์อาเป่านั้นเป็นมิตรมากขึ้น 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวเสียงเรียบว่า “องค์ชายรัชทายาทเยียลี่ว์มาเมืองหลวงได้สามเดือนแล้วใช่หรือไม่” 

 

 

“สามเดือนกับอีกห้าวันขอรับ” เยียลี่ว์อาเป่ากล่าวตอบอย่างเคารพ 

 

 

“แล้วเมื่อไหร่เจ้าจะกลับหรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวถามด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง 

 

 

หลังจากเยียลี่ว์อาเป่าหยุดชะงักไปเล็กน้อย ก็รีบกล่าวตอบทันทีว่า “ข้าจะรอจนกว่าท่านหญิงเมิ่งเอ๋อร์จะยอมกลับไปกับข้า” 

 

 

ไม่ได้เอ่ยว่าจะรอจนกว่าเมิ่งเอ๋อร์จะแต่งงานกับเขา แต่เอ่ยว่าจนกว่าจะยอมกลับไปกับเขา เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าอย่างพอใจ ยิ้มแล้วกล่าวถามว่า “แล้วงานแต่งงานของพวกเจ้าเจ้าอยากจะจัดเตรียมอย่างไร” 

 

 

อาเป่าเพิ่งจะพูดออกมาได้ไม่กี่คำ ในสมองกำลังคำนวณ พลันนึกขึ้นได้ว่าคำถามของเมิ่งเชี่ยนโยวคืออะไร ร่างกายหยุดชะงัก เงยหน้าขึ้น กลืนน้ำลาย มองนางอย่างใจจดใจจ่อแล้วกล่าวถามอย่างไม่มั่นใจว่า “ความหมายของซื่อจื่อเฟยคือ…” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ตอบเขาตรงๆ แต่กลับยิ้มแล้วถามกลับไปว่า “องค์ชายรัชทายาทเยียลี่ว์คิดว่าอย่างไร” 

 

 

เยียลี่ว์อาเป่าลุกขึ้นทันที แล้วคุกเข่าหลังตรงต่อหน้าทั้งสองแล้วกล่าวว่า “ลูกเขยทำความเคารพท่านพ่อตา ท่านแม่ยายขอรับ” 

 

 

ไม่คิดว่าเขาจะทำความเคารพแบบจัดเต็มเยี่ยงนี้ หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวกระโดดขึ้นมาทันที หลบไปข้างๆ แล้วกล่าวว่า “องค์ชายรัชทายาทเยียลี่ว์ นี่เจ้ากำลังทำร้ายพวกข้าอยู่นะ” 

 

 

เยียลี่ว์อาเป่าไม่ขยับแล้วกล่าวว่า “ขอเพียงซื่อจื่อและซื่อจื่อเฟยยินยอม อาเป่าแต่งเข้าจวนอ๋องฉีก็ได้ขอรับ” 

 

 

ครั้งนี้ทั้งสองตกใจจริงๆ อ้าปากแต่พูดอะไรไม่ออก 

 

 

ผ่านไปสักพัก หวงฝู่อี้เซวียนชี้ที่เยียลี่ว์อาเป่า แล้วพูดติดอ่างว่า “เจ้า เจ้าลุกขึ้นก่อน” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าอย่างเห็นด้วย  

 

 

เยียลี่ว์อาเป่าลุกขึ้นยืน 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวต่างโล่งอกพร้อมกัน แล้วนั่งกลับไปบนเก้าอี้ 

 

 

เห็นว่าเยียลี่ว์อาเป่ายังยืนอยู่ หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นว่า “เจ้าก็นั่งลงเถิด” 

 

 

เยียลี่ว์อาเป่านั่งลงอย่างเชื่อฟัง แล้วมองทั้งอย่างมีความสุข 

 

 

ทั้งสองต่างยกแก้วชาบนโต๊ะขึ้นมา แล้วดื่มไปหลายคำ จึงจะสงบอารมณ์ของตัวเองได้ 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนสูดอากาศหายใจเข้าลึกๆ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมและจริงจังว่า “แต่งเข้าจวนอ๋องฉีนั้นเป็นไปไม่ได้ แต่หลังจากพวกเจ้าแต่งงานกันแล้วสามารถกลับมาอยู่ที่จวนอ๋องฉี” 

 

 

ความหมายของประโยคนี้ชัดเจนมาก เยียลี่ว์อาเป่าลุกขึ้นยืนอีกครั้งแล้วกล่าวว่า “ท่านผู้อาวุโสทั้งสองยินยอมเรื่องแต่งงานของข้ากับเมิ่งเอ๋อร์แล้วหรือขอรับ” 

 

 

ร่างกายของหวงฝู่อี้เซวียนขยับอย่างไม่รู้ตัว เห็นว่าเขาไม่ได้คุกเข่าลงอีก จึงโล่งอก แต่ไม่นานก็คิดขึ้นได้ว่าเมื่อครู่เขาเอ่ยว่าอะไร สีหน้าขรึมลงทันที แล้วกล่าวถามด้วยน้ำเสียงต่ำว่า “ข้าแก่มากหรือ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาอย่างแปลกใจ จนเกือบหัวเราะออกมา 

 

 

ฟังน้ำเสียงที่ไม่พอใจของเขา เยียลี่ว์อาเป่าตกใจอย่างมาก รีบโบกมืออย่างสุดแรงแล้วกล่าวว่า “ไม่แก่ ไม่แก่ อ่อนวัยกว่าเสด็จพ่อเสด็จแม่อีกขอรับ” 

 

 

ฮ่องเต้รัฐหมิงและฮองเฮารัฐหมิงอายุสี่สิบกว่าปีแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนเพิ่งจะสามสิบปี เยียลี่ว์อาเป่าไม่พูดยังดี พูดออกมาเยี่ยงนี้ สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนยิ่งขรึมลงไปอีก 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยายามควบคุมตัวเองอย่างสุดชีวิต จึงจะไม่หัวเราะออกมา 

 

 

เยียลี่ว์อาเป่ารู้ว่าตัวเองพูดผิดอีกแล้ว บนหน้าผากมีเหงื่อซึมทันทีแล้วกล่าวว่า “ความหมายของลูกเขยคือ…” 

 

 

“พอแล้ว เจ้าไม่ต้องกล่าวอันใดแล้ว ไปคิดเรื่องสู่ขอว่าจะสู่ขอเยี่ยงไรเถิด” 

 

 

ไม่รอให้เขาพูดจบ หวงฝู่อี้เซวียนขัดเขาขึ้น แล้วกล่าวประโยคนี้ออกมา ลุกขึ้นยืน เดินออกไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม 

 

 

เยียลี่ว์อาเป่าอยู่กับที่ ตะลึงงันไปชั่วขณะ