ภาคที่ 5 บทที่ 151 ขับเคลื่อนเมือง

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 151 ขับเคลื่อนเมือง

“วู่ !!!”

เสียงแตรเล็กเริ่มส่งเสียงร้องไปทั่วเมืองล่องนภา

แตรสังข์สวรรค์เป็นสมบัติที่พวกปักษาชิงจากเผ่าท้องสมุทร แม้เสียงจะทุ้มต่ำ แต่ก็มีพลัง เดินทางได้ไกล เสียงครวญดังไปทั่วเมืองล่องนภาอย่างรวดเร็ว

เป็นสัญญาณให้ทุกคนในเมืองมาระดมพลกัน

ศึกใหญ่ใกล้เข้ามาแล้ว ทหารปักษานับไม่ถ้วนรีบเข้าประจำตำแหน่ง จ้องตรงไปด้านหน้าเขม็ง

บรรยากาศสงบสุขเมื่อครูพลันหาย กลายเป็นไอสังหาร

ทหารปักษากลุ่มหนึ่งบินขึ้นไป สีหน้าวิตกกังวล เห็นได้ชัดว่าไม่รู้ว่าศัตรูคือใคร แต่เพราะการฝึกฝนจึงทำให้รีบมาประจำการแทบจะทันที

อย่างไรก็ตาม เมืองเหล็กที่ห้อยลงมาจากฟากฟ้ายังคงเป็นภาพที่น่าประทับใจที่สุดอยู่ดี

เมื่อแตรรบลั่น เมืองล่องนภาเองก็เผยอำนาจเช่นกัน

แผ่นเหล็กที่ประกอบเป็นกำแพงเมืองเริ่มหดเข้า เผยให้เห็นผืนใหญ่นับไม่ถ้วน พวกมันคือปืนใหญ่ทลายสุริยัน ให้พลังด้วยพลังต้นกำเนิด แต่ละการยิงรุนแรงเทียบเท่าการโจมตีจากด่านสู่พิสดาร ปืนใหญ่ทลายสุริยันนับหมื่นผุดออกจากกำแพงเมือง ใครได้เห็นเป็นต้องตัวสั่นด้วยหวาดกลัว

กระนั้นนี่ก็แค่เริ่มเท่านั้น เมื่อกลไกเปลี่ยน รถรบโลหะก็ถูกเข็นออกไปที่เชิงกำแพง มันคือรถศึกพิฆาตอสูร ปล่อยสลักทำลายล้างออกมาได้คราละหนึ่ง มีพลังทำลายล้างสูงเหลือเชื่อ

ในเวลาเดียวกัน รูปปั้นก็เริ่มปรากฏ แต่ละชิ้นห่างกันนับสิบจั้ง

มันคือหุ่นเชิดต่อสู้ บ้างเคยเป็นมนุษย์ บ้างเป็นคล้ายสัตว์อสูร แตกต่างกันไป แต่ก็ยืนเคียงทหารปักษาบนกำแพงเมือง รวมเป็นเกราะแกร่งเหล็กกล้า

อักขระบนกำแพงก็เปลี่ยนแสงเรืองสง่ากลายเป็นแสงแรงกล้า อักขระก็คือค่ายกล เมื่อเปิดแล้วกำแพงจะแกร่งขึ้น ปกป้องทหารที่อยู่ภายใน

ยังมีกำแพงสูงอีกสองแห่งภายในกำแพงชั้นนอกที่มีการจัดวางที่คล้ายกัน และกำแพงเหล่านี้ก็สูงและมีปืนใหญ่อัดแน่นมากกว่า แม้กำแพงชั้นนอกจะถูกทำลาย กำแพงชั้นในก็ยังดำเนินการโจมตีต่อไปได้

ปืนใหญ่ รถศึก ทหาร หุ่นเชิด กระทั่งกำแพงเมืองเองล้วนเป็นเกราะอันแข็งแกร่งของเมืองล่องนภา

เบื้องหลังกำแพงสามชั้นยังมีอารามลอยขนาดใหญ่อีก 12 แห่งที่ลอยวนเวียน ติดตามด้วยเรือบินอีก 1800 ลำ

บนกำแพงเรียงรายด้วยเหล่าทหาร ปรมาจารย์อาร์คาน่าก็ล้อมรอบอยู่ทั่วอารามทั้งหมด

อารามลอย 12 แห่งเป็นแหล่งพลังต้นกำเนิดให้ปรมาจารย์อาร์คาน่า แต่ละอารามมีบ่อพลังที่คอยเติมพลังให้ ทั้งบริสุทธิ์และยังผลดีกว่าหินพลังเสียอีก เรือบินมีไว้ใช้บรรทุกปรมาจารย์อาร์คาน่า ออกแบบมาเพื่อให้พวกเขาใช้วิชาอาร์คาน่าได้ตามใจชอบ ค่ายกลส่วนมากบนลำเรือย่อมยังประโยชน์ ช่วยเสริมพลังวิชาอาร์คาน่าได้ เมื่อศึกเริ่ม เรือบินก็จะเคลื่อนปรมาจารย์อาร์คาน่าไป สร้างกองกำลังบุกโจมตีอันคล่องแคล่วขึ้นมา

ปรมาจารย์อาร์คาน่าเหล่านี้เป็นเกราะศูนย์กลางของเมืองล่องนภา มีไว้เพื่อช่วยเสริมกำลังปืนใหญ่ แต่เพราะมีร่างกายอ่อนแอ จึงต้องรั้งอยู่แนวหลัง หลบและปล่อยพลังอยู่หลังกำแพง

ภายในเมืองมีปราการอาร์คาน่าทั้ง 99 ชั้น แต่ละชั้นมีมุกยิงตะวัน ออกคำสั่งแล้วพวกมันจะเรืองแสง เกิดเป็นเกราะพลังล้อมรอบเมืองไว้

ปราการลุ่มน้ำทองเองก็ใช้ปราการทั้ง 9 เพื่อสร้างกลไกการป้องกันสำคัญ แต่ เมืองล่องนภามีถึง 99 ปราการ แต่ละแห่งยังแกร่งกว่าที่ปราการลุ่มน้ำทองอีกต่างหาก

แต่ละแห่งมีปรมาจารย์อาร์คาน่าขั้น 8 คอยปกป้องและดูแลให้ทำงานราบรื่น แม้จะถูกศัตรูทำลายไปได้ ปราการที่เหลือก็จะทำงานได้ต่อโดยไม่ติดขัด

นอกจากปราการอาร์คาน่าทั้ง 99 แห่งแล้ว ที่เตะตาที่สุดในเมืองเห็นจะเป็นวังแสงตะวันชั่วกาล

เหนือวังนั่น มีปืนใหญ่ยักษ์ตั้งอยู่

มันใหญ่มากกระทั่งใครได้เห็นก็คงต้องรู้สึกหวาดกลัวและสิ้นหวัง

ปืนใหญ่ทลายสุริยันปากปืนกว้างพอ ๆ กับอ่างล้างหน้า ซึ่งก็นับว่าใหญ่มากแล้วในสมัยเช่นนี้ แต่เมื่อเทียบกับปืนใหญ่ยักษ์แล้วก็นับว่าเล็กกระจิ๋วหนึ่ง

ปากปืนที่ว่ากว้างราวกับปากอสูรยักษ์ น่าเกรงขามกว่าปืนใหญ่บนกำแพงใด

ตัวปืนใหญ่สร้างจากโลหะหายาก ลงอักขระพลังวิชาอาร์คาน่าเอาไว้

ที่ปลายปืนเล็กคือค่ายกลที่ใช้รวมพลังต้นกำเนิดโดยเฉพาะ ใช้เพียงหินพลังก้อนหนึ่งก็สว่างเป็นประกายเจิดจ้าแล้ว

นี่คือปืนใหญ่สังหารปีศาจอันเลื่องชื่อของเผ่าปักษา

ว่ากันว่าทั่วทวีปต้นกำเนิด การโจมตีที่รุนแรงที่สุดไม่ใช่จากด่านมหาราชัน ปรมาจารย์อาร์คาน่าในตำนาน หรือเผ่าวิญญาณที่มีพลังขึ้นสุดแต่อย่างไร แต่เป็นปืนใหญ่สังหารปีศาจต่างหาก

ทุกครั้งที่ลั่นปืนใหญ่ ก็จะปล่อยพลังที่ทรงพลังกว่าวิชาอาร์คาน่าต้องห้ามออกมา

สะท้านฟ้าสะเทือนดิน

อาจเป็นสิ่งที่ทรงพลังที่สุดในทวีปก็ว่าได้

และแน่นอนว่าต้นทุนการสร้างสูงนัก เผ่าช่างฝีมือและเผ่าช่างโลหะใช้เวลาสร้างนับพันปี ปักษาเองก็จ่ายไปมาก อีกทั้งมันใช้ได้เพียงในเมืองล่องนภา เพราะยิงแต่ละครั้งใช้พลังงานสูงมาก มีเพียงแกนพลังงานแห่งซาร์คที่จะจุดพลังให้มันได้ จะยิงแต่ละครั้งต้องตระเตรียมทั้งเวลาและทรัพยากร กระทั่งตระกูลใหญ่ยังแทบล้มละลาย แต่แกนพลังงานแห่งซาร์คมอบพลังนั้นให้ได้ ทว่าราคาก็สูงจนคนไม่คาดไม่ถึง แน่นอนว่าพลังที่ปล่อยออกมาก็คุ้มค่าราคาจ่าย เป้าหมายใดที่ถูกเล็งได้แต่หนีไม่ก็ตาย ไร้หนทางรอดพ้น

ปืนใหญ่สังหารปีศาจเป็นไพ่ลับของปักษา พร้อมทั้งปราการอาร์คาน่าทั้ง 99 แห่ง นับเป็นเกราะชั้นสุดท้ายของเมืองล่องนภา

เมืองล่องนภาด้านนอกเองก็ไม่ใช่ว่าไร้การป้องกัน

พื้นดินที่ใช้ทำการเกษตรมีการขุดอุโมงค์ใต้พื้นที่เต็มไปด้วยน้ำมันไวไฟ จุดขึ้นมาแล้วไฟจะลุกโหมแรง แม้จะไม่น่ากลัวเท่าเกราะเหล็กกล้าของเมือง แต่ก็ช่วยถ่วงเวลาและทำให้ศัตรูอ่อนกำลังลงได้

แต่ครานี้ เกราะส่วนมากกลับไร้ผล เพราะมันเป็นการโจมตีจากเทพอสูร

ที่เห็นจะพอสู้สูสีกันมีเพียงปืนใหญ่สังหารปีศาจ

มันเป็นสิ่งที่ทำให้หยงเยี่ยหลิวกวงมั่นใจว่าจะสู้เทพอสูรไหว แม้เทพอสูรก็ถูกปืนใหญ่สังหารปีศาจฆ่าได้เช่นกัน !

ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เมืองล่องนภาใช้ปืนใหญ่สังหารปีศาจเอาชนะเทพอสูรมาได้หลายตัว

ตอนนี้ผืนใหญ่จะได้เผยกายออกมาอีกคราแล้ว

“ข้าจะฉวยโอกาสทำลายมันหรือไม่งั้นหรือ ?”

ยืนอยู่บนถนน หลบอยู่ในหมู่ปักษา ซูเฉินแหงนหน้ามองปืนใหญ่เทพสายฟ้าแล้วความคิดแรกนั่นก็แวบเข้ามา

เขาไม่อาจทำลายเมืองล่องนภาได้ แต่ทำลายปืนใหญ่เทพสายฟ้าเพียงหนึ่งเดียวก็ยังอาจทำได้

ทว่าก็คงเสี่ยงมากเช่นกัน

ที่เขาหาประโยชน์จากนิกายแห่งพระแม่ได้เพราะอีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว แต่ถ้าจะลงมือตอนนี้ก็นับว่ารนหาที่ตาย

ฝ่ายตรงข้ามของเขาอาจกำลังรอให้เขาเคลื่อนไหวก็ได้

เรื่องไม่สบายใจอีกอย่างคือเค่อเหลยซีต๋า

เค่อเหลยซีต๋าระบุตำแหน่งเขาได้ น่าจะพาปักษากลุ่มใหญ่ออกไล่ล่าเขาแล้ว แต่กลับไม่เผยตัว ทำให้สิ่งที่เขาตระเตรียมมารับมือไร้ประโยชน์ไปเลย

ก็หมายความว่าเขาไม่ใช่คนคุมการต่อสู้อีกต่อไป !

ความพยายามจะทำให้ชนะหรือแพ้ ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่กำลังอย่างเดียว แต่ยังอยู่กับว่าใครที่คุมจังหวะด้วย

แม้ซูเฉินจะอ่อนแอกว่าเค่อเหลยซีต๋า แต่ก็รอดมาได้เพราะคุมจังหวะได้

การคุมจังหวะหมายถึงเขาเป็นฝ่ายลงมือกับเป้าหมายก่อนโดยเฉพาะ

แต่ตอนนี้เขาไม่มีมันอีกแล้ว

เค่อเหลยซีต๋าไม่ปรากฏตัว แผนซูเฉินจึงล่ม เขาสัมผัสได้ว่าสถานการณ์เริ่มบ่งชี้ไปยังจุดที่เขาไม่พร้อมรับแล้ว

ทำให้เขาไม่สบายใจเลย

ซูเฉินประมือกับคู่ต่อสู้ทรงพลังได้เพราะเขาเป็นฝ่ายเริ่มลงมือ แต่ตอนนี้เขาทำไม่ได้แล้ว ที่ดีที่สุดคือต้องหดหัวกลับกระดอง

คนเก่งย่อมรู้จักรุกและถอย ตอนนี้ถึงเวลาต้องถอยแล้ว

ซูเฉินจึงเก็บความคิดจะปล้นคลังอาณาจักรแห่งหมู่เมฆ เดินสวนทางไปในทันใด

เดินเข้าตรอกยาวมาแล้ว ก็มาถึงหน้าเรือนแห่งหนึ่ง กำแพงสีขาว ประตูสีแดง

เคาะประตูแล้ว มนุษย์คนหนึ่งก็โผล่ออกมาทัก

เมื่อมนุษย์เห็นซูเฉินก็หรี่ตาสงสัย “ขอถามได้ไหมว่าเจ้า……?”

“ข้าเป็นนักเดินทางจากแดนไกลที่ไม่คิดถึงบ้าน” ซูเฉินตอบ

อีกฝ่ายได้ยินก็เปลี่ยนสีหน้า มองไปรอบ ๆ อย่างลับ ๆ แล้วเอ่ยเสียงเบา “มากับข้า”

ซูเฉินเดินเข้าไปด้านใน

ที่นี่เป็นสถานทูตที่อาณาจักรเลี่ยวเยี่ยตั้งไว้ แต่ก็ไร้อำนาจทางการเมืองอะไร ใช้เพื่อรวบรวมข้อมูลและติดต่อกับพวกปักษาเท่านั้น แน่นอนว่าเพราะยุคนี้ไม่ใคร่จะใส่ใจเรื่องความสัมพันธ์ต่างแดนเท่าไหร่ ทูตจึงมีอำนาจต่ำต้อย จุดประสงค์หลักคือหาข้อมูลและให้ความช่วยเหลือคนจากอาณาจักรเลี่ยวเยี่ยในบางเวลาเท่านั้น

ซึ่งก็เป็นที่ที่ตระกูลจูหาคนมาช่วยเหลือซูเฉิน

ตอนนี้ซูเฉินตัดสินใจหดหัวอยู่ในกระดอง จึงต้องหาคนช่วยเหลือ

แต่เขาไม่รู้ว่าตนเข้าไปได้ไม่นาน ปักษาผู้หนึ่งที่อยู่ไม่ไกลก็ลดม่านลงแล้วเดินออกมาจากร้าน

เขารีบเดินมายังมุมถนน เอ่ยคำกับปักษาอีกคน ปักษาอีกคนบินจากไปทันที

บินวนอยู่ชั่วขณะ ปักษานั่นก็มาถึงวังแสงตะวันชั่วกาล คุยกับทหารรักษาการณ์เล็กน้อย ทหารผู้นั้นก็เดินเข้าไปรายงานกับผู้บังคับบัญชา ผู้บัญชาการรีบเข้าวังไปแล้วคุกเข่าตรงหน้าหยงเยี่ยหลิวกวง

“ฝ่าบาท ทูตเลี่ยวเยี่ยวันนี้มีมนุษย์แปลกหน้ามาพบ นี่คือรูปภาพของเขา”

ว่าจบก็มีภาพจอแสงฉายออกจากฝ่ามือ เห็นเป็นภาพซูเฉิน

หยงเยี่ยหลิวกวงเหลือบมองเค่อเหลยซีต๋าที่นั่งด้านข้าง

“หน้าไม่เหมือน แต่รูปร่างตรงกัน กลิ่นอายเหมือนกันไม่มีผิด” เค่อเหลยซีต๋ากัดฟันเอ่ย “จะเปลี่ยนกายนับหมื่นครั้งข้าก็ยังจำมันได้ ฝ่าบาทฉลาดจริง ๆ ไม่จำเป็นต้องให้ข้าระบุหาตำแหน่งมัน”

หยงเยี่ยหลิวกวง ตอบเสียงเรียบ “เจ้าต้องหัดใช้พลังจากภายนอกให้ได้ดีกว่านี้ บางอย่างก็จัดการโดยไม่ต้องใช้พลังสูงส่ง ข่าเต๋อเหวยเอ่อร์ หากอยากไปพบเขา ข้ามั่นใจเลยว่าเขาเตรียมวิชารับมือเจ้าไว้หลายอย่างแล้ว ถึงตอนนั้น นอกจากจะจับตัวไม่ได้ ยังทำให้เขารู้สถานการณ์ปัจจุบันเราได้อีก แต่หากใช้คนธรรมดาเหล่านี้ พวกมนุษย์จะรู้ตัวช้าว่าเรามีส่วนเกี่ยวข้อง อีกทั้ง… ตอนนี้เรามั่นใจแล้วว่าเขามีความสัมพันธ์ล้ำลึกกับอาณาจักรเลี่ยวเยี่ย”

ข่าเต๋อเหวยเอ่อร์คือชื่อใหม่ของเค่อเหลยซีต๋า

“เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี ?” เค่อเหลยซีต๋าถาม

“รอ !” หยงเยี่ยหลิวกวงตอบ “เวลาจะให้คำตอบและโอกาสเราเอง”