ภาคที่ 5 บทที่ 152 เผชิญหน้า

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 152 เผชิญหน้า

“ข้าจำต้องมีที่อยู่ที่ไม่สันโดษเกินไป อาจจะใกล้เขตการค้าก็ได้ ให้อยู่ในเขตร่ำรวยได้ยิ่งดี แล้วก็ต้องการให้มีคนคอยซื้ออาหารและของใช้จำเป็นให้ข้า”

ซูเฉินเอ่ยตามตรงยามเดินเข้ามาด้านใน

“รับคำสั่ง” อีกฝ่ายตอบเสียงเคารพ “มีคำสั่งอื่นอีกหรือไม่ ?”

“ตอนนี้ยัง เจ้าไปทำหน้าที่เถอะ ทำได้ก็หาห้องชั่วคราวให้ข้าสักห้อง ข้าจะรออยู่ในนั้น… อ้อใช่ หากช่วยซื้อผลึกแก้วต้นกำเนิดได้ก็ดีเลย ยิ่งเยอะยิ่งดี เอาอย่างนี้ เจ้าเอาเครื่องมือต้นกำเนิดเหล่านี้ไปแลกมา” ซูเฉินว่าพลางหยิบเครื่องมือต้นกำเนิดขึ้นมา

มือของเขาเต็มไปด้วยอาวุธ แต่กลับขาดทรัพยากร โดยเฉพาะผลึกแก้วต้นกำเนิด

ทว่าเมื่อทูตเห็นกลับตะลึงไป “เครื่องมือต้นกำเนิดระดับ 4 ? ไม่ใช่ของชั้นดีเกินกว่าจะขายหรือ ? หรือท่านจะขาดของระดับต่ำมากจริง ๆ ? หากลองเอาพวกมันไปขายตามท้องตลาดน่าจะดึงความสนใจพอสมควร อีกทั้งยังมีตั้งมากมาย……”

ซูเฉินตอบ “นี่คือระดับต่ำสุดที่ข้ามีแล้ว”

ทูตผู้นั้นคิดว่าตนต้องช่วยเหลือมนุษย์ตกที่นั่งลำบาก แต่ตอนนี้ดูอีกฝ่ายร่ำรวยไม่น้อย

หลังพาซูเฉินเดินเข้าไปห้องหนึ่งแล้ว เขาก็เอาเครื่องมือต้นกำเนิดแล้วรีบจากไป

แต่ก่อนจาก ซูเฉินก็เรียกไว้ “ใช่แล้ว ช่วยซื้อปลาสักหน่อยได้ไหม ?”

“ปลา ?” ทูตได้ยินก็ชะงักไป

“อืม เอาที่ยังไม่ตายและแข็งแรงนะ” ซูเฉินตอบด้วยรอยยิ้มบาง

ทูตผู้นั้นพยักหน้า ดูยังมึนงงอยู่บ้าง

ตอนนี้พออยู่คนเดียวแล้ว ซูเฉินก็หยิบไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดออกมาทำนายสถานการณ์

ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดอาจเป็นไพ่ตายใบสำคัญที่สุดที่ซูเฉินมีก็ว่าได้ เขาพึ่งมันรอดพ้นมาหลากสถานการณ์แล้ว

หากมีคนสำคัญอยู่ในเรื่องที่อยากทำนาย ราคาที่ต้องจ่ายก็จะสูงมาก แต่หากแค่อยากทำนายเรื่องตนเอง ราคาก็จะต่ำกว่า เช่นนั้นไม่ลองถามถึงอนาคต หาคำตอบเรียบง่ายสักหลายคำเพื่อช่วยเหลือตนจากสถานการณ์ในตอนนี้เล่า ?

เช่น คำถามแรกของซูเฉินดูจะไม่เกี่ยวพันกับสถานการณ์เลย เขาถาม “พรุ่งนี้ข้าจะกินอาหารเช้าอะไร ?”

คำถามเรียบง่าย ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดก็มอบคำตอบเรียบง่ายพอกัน อาหารพื้นเมืองของปักษา ข้าวต้มใส

เมื่อเห็นว่าเป็นข้าวต้มใส สีหน้าซูเฉินก็คลายลงบ้าง

ข้าวต้มใสชี้ให้เห็นว่า ดูจะไร้เรื่องราวเกิดขึ้นในวันนี้พรุ่งนี้

นี่เป็นอุบายที่เขาใช้ถามเลี่ยง แต่ก็ยังได้รับคำตอบที่มีประโยชน์

หากจะทำนายเหตุการณ์ใหญ่ ๆ มักยาก แต่ทำนายเรื่องของตนเองง่ายกว่ามาก

ตัวอย่างก็เช่นเรื่องการถามถึงอาหารเช้า

เขาถามเพียงเรื่องข้าวเช้าง่าย ๆ เหตุการณ์เปลี่ยนอาหารเช้าก็เปลี่ยน เขาสามารถคาดการณ์จากพวกมันเพื่อเดาเรื่องที่จะเกิดขึ้นได้

“ปลาที่ข้าเลี้ยงเมื่อไหร่จะตาย ?” ซูเฉินถาม

มีภาพปรากฏบนแท่นบูชา เห็นว่าเป็นกลางวันในอีก 3 วัน เจ้าปลาทั้งหลายถึงได้หงายท้องตาย

“3 วัน ? 3 วันจริงหรือ ?” ซูเฉินมุ่นคิ้ว

ปลาตายหมายความว่าปัญหามาเยือน และมันตายทั้งหมดก็หมายความว่าตัวตนเขาถูกเปิดเผย เป็นเพียงคำถามง่าย ๆ แต่ก็เพราะเขาวางแผนไว้แล้วว่าหากตัวตนเขาถูกเปิดเผย เขาจะฆ่าปลาทิ้งทั้งหมด

ซึ่งการถามคำถามง่าย ๆ เช่นนี้ ใช้ของราคาต่ำมาก

แต่ระยะเวลา 3 วันก็ยังทำซูเฉินประหลาดใจ

เค่อเหลยซีต๋าระบุตำแหน่งเขาได้ ทำไมจู่ ๆ ถึงได้ไล่ตามเชื่องช้าเช่นนั้น ?

โชคร้ายที่อุบายของเขามอบให้ได้แต่คำตอบง่าย ๆ จะให้รู้คำตอบเฉพาะเจาะจงนั้นยาก

ดังนั้นซูเฉินจึงไม่รู้เลยว่าเค่อเหลยซีต๋ากำลังติดตามเขา และไม่มีทางรู้เลยว่ามีใครกำลังวางแผนตลบหลังเขาอยู่

เรื่องทั้งหมดนี่ เชื่อมกันแล้วคือมีปัญหาแน่ !

น่าเสียดาย การถามคำถามอ้อมไปมาเช่นนี้ทำให้ไม่อาจรู้เรื่องที่จะเกิดขึ้นอย่างเจาะจงได้เลย

“คงจะต้องถามคำถามยาก ๆ เสียหน่อย” ซูเฉินพึมพำ

ยิ่งลงรายละเอียด คำถามยิ่งต้องซับซ้อน

โชคดี ที่สมองผลึกแก้วของเขาทำให้จำได้ทุกอย่างไม่มีลืม

ปัญหาคือยิ่งซับซ้อน ก็ยิ่งไม่แม่นยำ ก็ยิ่งหมายถึงปัญหายุ่งยากจะตามมาอีก

ตัวอย่างเช่นซูเฉินสามารถเลี้ยงพวกปลาเพื่อดูว่าตนจะปลอดภัยหรือไม่ได้ แต่ใครจะรู้ว่าปลามันอาจจะตายเองก็ได้นี่ ? หากปลามันจะตายเองอยู่แล้วตามภาพที่เขาเห็นจากไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิด ก็เป็นไปได้ว่าซูเฉินจะตัดสินใจผิดเช่นกัน

ด้วยหลักการเดียวกันนี้ ก็ไม่ใช่ว่าข้าวต้มใสมีอยู่ทุกที่อีก หากซูเฉินเกิดเดินทางไปต่างเมืองที่ตอนเช้าหาข้าวต้มใสกินไม่ได้ล่ะ ?

อย่างไรก็ดี คำตอบที่ได้จากการใช้ชีวิตในแต่ละวันจะบิดเบือนได้ง่ายมาก แม้จะเป็นเรื่องจริงก็ตาม ซูเฉินจะต้องจำเรื่องนี้ให้ขึ้นใจ

ไม่ว่าอย่างไร การถามอ้อมค้อมเช่นนี้ก็ทำให้รู้คำทำนายบางส่วน และทำการตัดสินใจขั้นพื้นฐานได้

ซูเฉินไม่รู้ถึงบทสนทนาในวังแสงตะวันชั่วกาล และไม่รู้ว่าตระกูลจูกำลังตกอยู่ในอันตรายขั้นสุด แต่สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลแน่

“มีบางอย่างผิดแปลกไป ศัตรูแกร่งกว่าที่คาดมาก เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เค่อเหลยซีต๋าหรือโยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยน คงจะเป็นฝ่าบาทหยงเยี่ยหลิวกวง” ซูเฉินงึมงำ

หยงเยี่ยหลิวกวงระบุได้ว่าซูเฉินน่าสงสัย แต่ซูเฉินก็สามารถระบุแหล่งที่มาของภัยคุกคามใหญ่ที่สุดกับเขาได้เช่นเดียวกัน

แม้จะไม่รู้ว่าภัยคืออะไรกันแน่ แต่อย่างน้อยก็รู้ว่ามาจากที่ใด

ยอมรับเลยว่าความสามารถหยงเยี่ยหลิวกวงน่าประทับใจ สามารถกดดันเขาได้แม้เทพอสูรกำลังเข้าโจมตีก็ตาม

“3 วันให้หลัง… อีก 3 วันจะเกิดเรื่องอะไรกัน ? ทำไมถึงรอถึงตอนนั้น ?” ซูเฉินไม่อาจรู้

ซูเฉินพยายามำทนายเรื่องราวใน 3 วันให้หลัง แต่ก็ไร้คำตอบ

“เช่นนั้นอีก 3 วัน เหตุการณ์จะพลันเปลี่ยนหรือ ? เจ้ายังไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?” ซูเฉินเริ่มเข้าใจสถานการณ์ขึ้นมาบ้าง

แต่ก็ยิ่งทำให้ซูเฉินกระหายอยากสู้มากเช่นกัน

นานแล้วที่เขาได้รู้สึกเบิกบานใจเช่นนี้ เขาจะปล่อยโอกาสไปได้หรือ ?

ซูเฉินครุ่นคิดในใจ ใช้เครื่องคำนวณผลึกแก้วจนสุด ในหัวมีความเป็นไปได้มากมายผุดขึ้นมา ก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อเขาวิเคราะห์อย่างรอบคอบแล้ว

แต่ไม่ว่าเขาจะพิจารณาถึงความเป็นไปได้แบบไหนก็ตาม ภาพจากไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดก็ยังไม่แจ่มชัด หรือก็คือ เขาไม่อาจหาต้นตอปัญหาพบเลย

“ข้าพลาดอะไรไปกัน ?” ซูเฉินครุ่นคิดถึงปัญหาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

หากเขาเป็นหยงเยี่ยหลิวกวง อีกฝ่ายจะอนุมานเกี่ยวกับตัวตนของเขาได้มากน้อยเพียงใด แล้วจะวางแผนอะไรไว้กันแน่ ?

เขาจึงวางตนไว้ในตำแหน่งหยงเยี่ยหลิวกวง ยังสมมุติสถานการณ์ต่อไป สุดท้ายความคิดหนึ่งก็เริ่มกระจ่างขึ้นมา

“งั้นหรือ ?” ซูเฉินลุกขึ้นยืนตกใจ

เขารีบใช้ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิด ครั้งนี้ไม่ถามเกี่ยวกับตนเอง แต่เป็นคนอื่น

“ข้าอยากรู้ว่าอีก 2 วัน จูเซียนเหยาจะอยู่ที่ใด”

ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดเผยภาพเรือเหาะลำใหญ่ จูเซียนเหยายืนอยู่หน้าเรือ กำลังทอดสายตาไปไกล

แม้จะไม่แน่ชัดว่าอยู่ที่ใด แต่จากตำแหน่งพระอาทิตย์ เห็นได้ชัดว่านางกำลังบินอยู่ กำลังมุ่งหน้าไปเมืองล่องนภา

“แย่แล้ว !” ซูเฉินสะท้าน

เขารีบติดต่อหาผ้าเท่อลั่วเค่อทันที “ผ้าเท่อลั่วเค่อ ติดต่อกับจูเซียนเหยาได้หรือไม่ ?”

“เรื่องนั้นเป็นปัญหาเล็กน้อย ข้าเชื่อมการติดต่อแค่กับเจ้าเท่านั้น” ผ้าเท่อลั่วเค่อตอบ

“พยายามหาทางติดต่อนางให้ได้ อย่าให้พวกนางไปเมืองล่องนภา !” ซูเฉินรีบเอ่ย

“นางจะมาเมืองล่องนภา ? ตอนนี้น่ะหรือ ?” ผ้าเท่อลั่วเค่อชะงัก “บังเอิญหรือเปล่า ? หรือมีเหตุอื่น ?”

“ข้าไม่รู้” ซูเฉินส่ายหน้าพลางอธิบาย “ตอนนี้ข้ายังปักใจอะไรไม่ได้ แต่นางไม่มาโดยไร้เหตุแน่… หยงเยี่ยหลิวกวง เจ้าช่างกล้านัก !”

“เช่นนั้นจะติดต่อไปก็สายไปแล้วกระมัง” ผ้าเท่อลั่วเค่อพูดตามตรง

ซูเฉินเงียบไป

ยังมีศูนย์กลางติดต่อสื่อสารระหว่างเมืองล่องนภาและอาณาจักรเลี่ยวเยี่ยอยู่เป็นระยะ ๆ ทำให้ข่าวสารข้อมูลทั้งหลายถูกส่งผ่านกันได้รวดเร็วนัก แต่ก็เป็นระบบที่ไม่นิยมใช้เพราะมีราคาสูง ซูเฉินเองก็ทำไม่ได้เช่นกัน

หรือก็คือตอนซูเฉินติดต่อหานางได้ นางก็คงอยู่ระหว่างทางแล้ว

เช่นนี้แล้ว ซูเฉินก็ใจหาย

“ข้าต้องรีบไปช่วยจูเซียนเหยา” ซูเฉินจึงเตรียมจะจากไป

แต่พอจะออกไปก็พลันหยุดเท้า “แต่หากพวกมันหมายตาข้าไว้แล้วล่ะ ? หยงเยี่ยหลิวกวงรู้แน่หากข้าออกมา และอาจจะโจมตีจูเซียนเหยาล่วงหน้าก็เป็นได้”

ผ้าเท่อลั่วเค่อแนะ “เจ้าสงบนิ่งไว้ ตัวตนเจ้ายังไม่ถูกเปิดโปง ตอนนี้อีกฝ่ายเพียงลงมือเบื้องต้นเท่านั้น”

ได้ยินแล้วซูเฉินก็ตาเป็นประกาย “หมายความว่า… หยงเยี่ยหลิวกวงก็แค่ลองเชิงหรือ ?”

“ข้าจะลองหาทางติดต่อจูเฉินฮ่วน ให้เขาไปช่วยนาง แต่เจ้าก็เตรียมตัวรับสถานการณ์เลวร้ายขึ้นสุดไว้ด้วย ลองหาทางบรรเทาเอาไว้อีกทาง”

“ลองหาทางบรรเทางั้นหรือ ?” เครื่องคำนวณผลึกแก้วเริ่มผุดความเป็นไปได้หลากหลายออกมา

ปกติแล้ว ซูเฉินคงลำบากกว่าจะคิดแก้ปัญหาได้

แต่โชคดีที่ตอนนี้ไม่ใช่ปกติ

ภัยจากเทพอสูรคางคกพันพิษเด่นชัดขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งเมืองที่แกร่งที่สุดบนทวีปยังล่มจมเพราะประมือกับเทพอสูรตัวหนึ่งมาแล้ว

ซึ่งจะมอบโอกาสให้เขา

“ก็ได้ ! หยงเยี่ยหลิวกวง งั้นก็สู้กันสักตั้ง มาดูกันว่าใครจะเก่งกว่า !” ซูเฉินเอ่ยเสียงเย็น