บทที่ 153 ต่อกรเทพอสูร (1)
ในขณะที่ซูเฉินกับหยงเยี่ยหลิวกวงกำลังต่อกรกันอย่างลับ ๆ ศึกนอกเมืองล่องนภาก็กำลังร้อนระอุได้ที่
จากเมื่อ 3 วันก่อน เมืองล่องนภาได้ส่งปักษากล้าทั้งหลายออกไปเพื่อถ่วงเวลาเทพอสูรคางคกพันพิษไว้ เป้าหมายคือพยายามเปลี่ยนทิศทาง หรือถ่วงเวลารอให้มันตายไปเอง ซึ่งถ้าถ่วงเวลานานพอก็จะทำได้สำเร็จ
ปักษาทั้งแปดพันแยกออกเป็นแปดทัพ ถูกส่งออกไปราวกับแมลงเม่าถูกโยนเข้ากองไฟ ทุกคนต่างพุ่งเข้าหาศัตรูทรงพลัง แต่สุดท้ายก็รอดชีวิตกลับมาได้แค่ 12 คน
แม้จะตายจำนวนมาก แต่ก็ถ่วงเวลาเทพอสูรคางคกพันพิษได้สำเร็จ จนเมืองล่องนภาทำการเตรียมรับมือได้ทันเวลา
แต่ก็ทำได้เท่านี้
วันนี้ เทพอสูรคางคกพันพิษมาถึงแล้ว
หมอกพิษกระจายทั่วทิศ กระหน่ำเข้าตัวเมือง เกิดเป็นภาพหายนะที่พิษโปรยลงจากฟ้าราวกันฝน
“หมอกพิษลดขนาดลง ช่วงแกร่งสุดของเทพอสูรคางคกพันพิษคงผ่านไปแล้ว กำลังมันกำลังลดลงแน่ ไม่แน่ว่าอีกสิบวันก็คงตาย ทหารเรากำลังนำมันไปแดนรกร้าง แต่น่าเสียดายที่ไม่สำเร็จ”
คนพูดคือกูเทียนเยวี่ย แม่ทัพฐานะสูงที่สุดในกองทัพปักษา เขายังมีฉายาเป็นนายท่านแห่งท้องฟ้า ปราชญ์ปักษา และชื่ออื่นอีกมาก อีกทั้งยังเป็นคนรับหน้าที่ปกป้องเมืองล่องนภา และเป็นคนสนิทที่สุดของหยงเยี่ยหลิวกวงอีกด้วย
“ข้าไม่แปลกใจ จังหวะหายใจมันเริ่มสั่นแล้ว” หยงเยี่ยหลิวกวงตอบเสียงเบา
เผ่าปักษาเองก็เบาะแว้งกับสัตว์อสูรเช่นกัน แม้จะไม่บ่อยครั้งนัก
หากเค่อเหลยซีต๋าเป็นอาชญากรหมายหัวอันดับหนึ่งของอาณาจักรแห่งหมู่เมฆ เช่นนั้นจักรพรรดิอสูรกาย เซินหลานจือเหยียนก็คงเป็นลำดับถัดมา จักรพรรดิอสูรกายเป็นนายเหนือหัวสั่งการอสูรทั้งหลายในเขตเผ่าปักษา หลายครั้งที่ปรากฏตัวขึ้นสร้างความโกลาหลครั้งใหญ่ให้
การตื่นขึ้นของเทพอสูรคงทำให้เขายินดียิ่งกว่าใครอื่น
ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จักรพรรดิอสูรกายจะฉวยโอกาสสร้างความโกลาหลครั้งใหญ่กว่าเก่า
เทพอสูรคางคกพันพิษ เดิมทีเป็นซูเฉินที่นำมาเมืองล่องนภา แต่เป็นไปได้ว่าจะเป็นสัตว์อสูรที่อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวของคางคกในช่วงสุดท้ายแทน
เป็นเหตุที่หยงเยี่ยหลิวกวงอยากจะต่อสู้นัก เขารู้ดีว่าศัตรูคงไม่ปล่อยให้โอกาสทองเช่นนี้หลุดมือไปแน่
“น่าเสียดาย ตระกูลชุยอวี่ไร้ประโยชน์ ถ่วงเวลาได้เท่านี้ หากได้อีกสักหน่อยก็คงดี !” แม่ทัพข้าง ๆ อีกคนครวญ
แม่ทัพผู้นี้มีนามว่าชื่อไห่ซา
หยงเยี่ยหลิวกวงตอบ “อยากหรือไม่ อย่างไรศึกก็ต้องเกิด ศัตรูมาเยือนถึงที่แล้ว เด็ก ๆ พวกเจ้ากลัวกันหรือ ?”
“ย่อมไม่กลัว !”
แม่ทัพที่รายล้อมหยงเยี่ยหลิวกวงร้องลั่นขึ้นอย่างรุ่มร้อน
“เช่นนั้นก็แสดงให้มันเห็นว่าปักษาเราแกร่งเพียงไหน” หยงเยี่ยหลิวกวงว่า
“กรรร !”
เผ่าปักษาคำรามลั่นทันใด
มีเพียงชายเลือดร้อนเท่านั้นที่คู่ควรกับความรุ่งโรจน์ในสนามรบ แม้จะมีวัฒนธรรม ปักษาเองก็ยังมีความเลือดร้อน เผยให้เห็นความกระหายศึก แสดงความกล้าหาญเพื่อเพิ่มความมั่นใจ
“เช่นนั้นที่เหลือให้เจ้าจัดการ” หยงเยี่ยหลิวกวงว่ากับกูเทียนเยวี่ย
ผู้ปกครองที่ชาญฉลาดมักรู้ว่าควรแทรกหรือควรถอยเมื่อไร
หยงเยี่ยหลิวกวงคุมการศึกได้ แต่คนที่ลงมือจริงนั้นปล่อยให้ลูกน้องคนสนิทลงมือ
“พวกข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง !” กูเทียนเยวี่ยตอบ สายตาเป็นประกายเจิดจ้ามั่นใจ
เงาเทพอสูรเริ่มเห็นชัดแจ้งจากที่ไกลแล้ว
ร่างมันโอบล้อมเข้าหาเผ่าปักษาราวกับขุนเขา ทำให้พวกเขาสั่นด้วยหวาดกลัว
ราวกับมีขุนเขากำลังมุ่งหน้าเข้ามา ค่อย ๆ เคลื่อนเข้าสู่สายตาพวกเขา
เหล่าทหารกล้าอดกังวลไม่ได้เมื่อได้เห็นขนาดตัวใหญ่มหึมาของเจ้าอสูร
จังหวะนั้น ความคิดหนึ่งก็พาดผ่าน หากมันเข้าตีเมืองล่องนภาจริง ใครจะชนะ ?
เป็นคำถามที่ไร้คำตอบ ด้วยตอนนั้นกูเทียนเยวี่ยได้ออกคำสั่งระหว่างที่เทพอสูรคางคกพันพิษกำลังมุ่งหน้าเข้ามาแล้ว
“กองทหารแสงอำไพ เปิดใช้ค่ายกลสัมผัสสวรรค์ เตรียมยิงนัดแรก !”
เขาเป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าขั้น 9 ที่หมั่นฝึกฝนพลังจิต ทุกคำเปล่งเสียงเสียดแทงเข้าจิตใจทุกคน ทำให้ทำตามทุกคำสั่ง เช่นนี้ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครเข้าใจผิด หากสู้กับพวกมนุษย์ กูเทียนเยวี่ยอาจไม่ออกคำสั่งเป็นเสียง แต่ส่งคำสั่งจิตลับ ๆ ให้ศัตรูมึนงงได้อีกด้วย
การต่อสู้ครั้งนี้เกิดขึ้นในระดับเกือบเหนือธรรมชาติ มุมหนึ่งเหมือนต่อสู้กันธรรมดา แต่อีกมุมกลับต่างกันอย่างสิ้นเชิง
สั่งคำแล้ว พื้นดินรอบเมืองล่องนภาก็เริ่มส่องแสง เกิดอักขระลึกล้ำสว่างเจิดจ้าขึ้นมา
นี่คือพื้นฐานเมืองล่องนภา ค่ายกลสัมผัสสวรรค์ มันมีหน้าที่เดียวเท่านั้น ก็คือทำให้การเดินพลังต้นกำเนิดในเมืองเสถียร ไม่ให้เกิดความผันผวนพลังใกล้เมืองขึ้น
หรือก็คือ หากปักษาโจมตีจากในเมืองล่องนภา ก็จะไม่ถูกพลังต้นกำเนิดผันผวนรบกวน เพราะถูกค่ายกลสัมผัสสวรรค์สยบไว้ แค่นี้ก็ช่วยเสริมกำลังทัพได้มากแล้ว เปลี่ยนจำนวนให้กลายเป็นพลังต่อสู้โดยตรง เหตุนี้แล้ว มันจึงกลายเป็นค่ายกลรากฐานของเมืองล่องนภาไป
หลังพ้นคำสั่งกูเทียนเยวี่ย ค่ายกลสัมผัสสวรรค์เปิดทำงานแล้ว ทหารนับไม่ถ้วนที่ใส่เกราะสะท้อนแสงก็ก้าวขึ้นสู่ปราการเพื่อทำการต่อสู้ ในมือไร้อาวุธ แต่เป็นกระจก
กระจกส่องสว่าง
กระจกส่องสว่างเป็นเครื่องมือต้นกำเนิดระดับ 6 ซึ่งไม่นับว่าระดับสูง เมื่อโจมตีจะส่องแสงจ้าไปหาศัตรู แต่มีระยะโจมตีสั้น นับว่าเบากว่าอาวุธอื่น ๆ ในระดับเดียวกัน ปกติแล้วก็สูสีได้กับเครื่องมือระดับ 7 เท่านั้น
แต่การโจมตีครั้งนี้มีระยะโจมตีไกลมาก พลังทบเท่าทวีคูณ เมื่อไม่มีพลังผันผวนเข้าแทรก ก็กลายเป็นมีประโยชน์ในการต่อสู้มากขึ้น
ในเวลาเดียวกันนั้น ทหารปักษาสามหมื่นก็ยกกระจกส่องสว่างในมือขึ้น เทพลังต้นกำเนิดในร่างสู่กระจก ลำแสงสามหมื่นลำหลอมรวมกลายเป็นลำแสงยักษ์สามร้อยลำ พุ่งเข้าใส่เทพอสูรคางคกพันพิษ
ลำแสงเหล่านี้รวมไปด้วยพลังจากกระจกส่องสว่างนับร้อย ๆ และมีกำลังแรงขึ้นหลายเท่าเนื่องจากเสถียรพลังจากค่ายกลสัมผัสสวรรค์ ดังนั้นแต่ละลำแสงจึงเทียบเท่ากับวิชาอาร์คาน่าระดับ 5-6 แต่เมื่อกระทบหลังสาก ๆ ของคางคกเข้า มันก็ไม่สะท้านด้วยซ้ำ เพียงแต่ส่ายหัวไปมาเล็กน้อยแล้วเคลื่อนตัวต่อ ราวกับลำแสงเหล้านั้นเป็นเพียงจุดเล็ก ๆ เท่านั้น
กูเทียนเยวี่ยไม่แปลกใจ อย่างไรด่านสู่พิสดารก็ทำอันตรายเทพอสูรไม่ได้อยู่แล้ว
แต่เขาก็ไม่สั่งหยุด ตะโกนต่อว่า “แยกโจมตี !”
ลำแสงทั้งสามร้อยเริ่มเริงรำไปทั่วร่างคางคก
เป้าหมายไม่ใช่เพื่อการแสดง แต่เพื่อหาจุดอ่อนของคางคก
ในฐานะแม่ทัพเลื่องชื่อคนหนึ่งของเผ่าปักษา กูเทียนเยวี่ยมีแผนการรบในหัวไว้อย่างดี เขาไม่คิดจะเอาชนะมันด้วยการโจมตีธรรมดา แต่หาจุดอ่อนมันก่อน แล้วก็จะสามารถโจมตีอย่างมีประสิทธิภาพได้
เผ่าพันธุ์อัจฉริยะรู้จักการทำเช่นนี้ แต่สัตว์อสูรไม่
ลำแสงหนาสามร้อยลำเต้นไปทั่วหลังคางคก กูเทียนเยวี่ยและแม่ทัพนับสิบต่างจ้องหลังมันเขม็ง คอยจับจังหวะที่มันท่าทางแปลกไป
ลำแสงเหล่านี้ก็ยังเทียบเท่าการโจมตีจากด่านสู่พิสดาร ในเมื่อทลายศิลาได้ ก็สมควรจะตอบสนองกับร่างเทพอสูรคางคกพันพิษบ้าง และเมื่อเกิดขึ้นครั้งหนึ่งที่ตรงใด ก็หมายความว่าจุดอ่อนมันอยู่ตรงนั้น
ช่องโหว่เหล่านี้สามารถตรวจพบได้จากการโจมตีที่ค่อนข้างอ่อนแอเท่านั้น เมื่อโจมตีแรงขึ้น เทพอสูรก็จะโกรธ ถึงตอนนั้นก็จะหาจุดอ่อนของมันได้ยากขึ้นแล้ว
แม่ทัพได้คำตอบอย่างรวดเร็ว
“จุดพิษบนหลังมันเป็นจุดอ่อนกว่าจุดอื่น แต่ไม่ถึงชีวิตแน่นอน”
“ส่วนกลางอ่อนแอกว่า แต่ก็ไม่ใช่จุดตายเช่นกัน”
“ตามันก็สำคัญ แต่ก็มีเปลือกตาปกป้องอยู่”
“ดูตรงรักแร้มันสิ จะเห็นว่า……”
แสงทั้งหลายส่องกระทบร่างคางคก แม่ทัพค่อย ๆ ทำความเข้าใจความไวของจุดต่าง ๆ บนร่างคางคก
แต่ตอนนั้น ปรากฏว่าเทพอสูรคางคกพันพิษเริ่มรำคาญแสงที่ส่องเข้ามา
มันแหงนหน้าแล้วเปล่งเสียงร้องดังสนั่น เมฆดำเริ่มลอยลงมาปกคลุมฟ้า
“มันพรางตัวได้ด้วยหรือ ?” แม่ทัพปักษาเห็นแล้วก็ตะลึง
“ไม่ใช่คางคก คงเป็นเซินหลานจือเหยียน” กูเทียนเยวี่ยเอ่ย
เทพอสูรนั้นไร้สมอง แต่จักรพรรดิอสูรกายนั้นฉลาดพอ ๆ กับเผ่าพันธุ์อัจฉริยะ ก็เพราะจักรพรรดิอสูรกายทะลวงขั้นผ่านการที่สภาพแวดล้อมรอบกายเปลี่ยนแปลงไป ละทิ้งหนทางแห่งกำลังเพียงอย่างเดียวที่เทพอสูรบรรพกาลและเทพอสูรเลือกเดิน เปลี่ยนมามุ่งพัฒนาจิตใจให้มากขึ้นแทน
เมื่อมีเซินหลานจือเหยียนอยู่ เทพอสูรคางคกพันพิษก็รับมือยากกว่าเดิมแน่
เมฆดำคลุมร่างมัน ทำให้การโจมตีทั้งหลายไม่เห็นทิศ
กูเทียนเยวี่ยรีบสั่ง “รวมการโจมตีเป็นระดับพัน !”
ทหารรับคำสั่งแล้ว ลำแสงจำนวนมากก็กลายจากร้อยเป็นสามสิบ แต่กลับแกร่งกว่าเดิมนับสิบเท่า
ครั้งนี้เทพอสูรคางคกพันพิษเหมือนจะสัมผัสได้ถึงพลังที่อยู่เบื้องหลังการโจมตี แสงนั้นเจิดจ้ามากเสียจนเมฆดำไม่อาจบดบัง
เทพอสูรคางคกพันพิษคำรามโกรธ ปล่อยหมอกพิษออกมาทั่วทิศ ราวกับว่าหมอกจะเข้าโจมตีเมืองล่องนภาก่อนมันเองเสียอีก
“ใช้ค่ายกลเก้ามังกรวายุ !” กูเทียนเยวี่ยตะโกนอีกครั้ง สีหน้าเรียบเฉยเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยเมื่อเห็นหมอกพิษกำลังมุ่งหน้าเข้ามา
ค่ายกลเก้ามังกรวายุไม่ใช่ค่ายกลปกติของเมืองล่องนภา แต่เพิ่งวางไว้ได้ 3 วันเพื่อรับมือกับหมอกพิษโดยเฉพาะ
พิษเทพอสูรคางคกพันพิษแรงเกินต้าน แม้มียาแก้ของเค่อเหลยซีต๋าก็ตาม เผ่าปักษาก็ไม่ใช่จะรับมือมันได้ ดังนั้นจึงสร้างค่ายกลเก้ามังกรวายุขึ้นเพื่อรับมือ
การใช้ลมปราณพิษเป็นความคิดที่ดี แต่เสียดายนักที่ไร้เวลาเตรียมพร้อมได้ดี ค่ายกลเก้ามังกรวายุของจริงจะสร้างมังกรวายุขึ้น 9 ตัว ปลดปล่อย 12 วิชาอาร์คาร์น่าต้องห้ามออกมาไม่หยุด แต่ครั้งนี้มีมังกรเพียง 3 เห็นได้ชัดว่าอ่อนแอกว่าปกติ
แต่แค่มังกรวายุ 3 ตัวก็ยังสามารถปราบพิษไม่ให้เข้าเมืองได้แล้ว
กูเทียนเยวี่ยถอนใจ เห็นดังนั้นจึงเบาใจลง แต่ก็เปลี่ยนเป็นหนักใจโดยเร็ว เขายังไม่มั่นใจว่ามังกรทั้ง 3 จะรั้งพิษไว้ได้นานเท่าไหร่
แต่ไม่นานก็ละทิ้งมันไป เพราะมันไม่สำคัญอีก
นั่นก็เพราะเทพอสูรคางคกพันพิษมาถึงแล้ว
จู่ ๆ มันก็เหินขึ้นฟ้า เตรียมใช้ร่างยักษ์ของมันเข้าถล่มเมือง