บทที่ 154 ต่อกรเทพอสูร (2)
เป็นตอนนั้นที่กูเทียนเยวี่ยพลันออกอีกคำสั่ง “หมุนเฟืองกลับ! ปล่อยเหยื่อ!”
เมื่อทหารทำตามคำสั่ง เสียงเฟืองกระทบกันก็ดังลั่นพื้น ก้องไปทั่วเมืองล่องนภา ราวกับมันกำลังเคลื่อนถอยไปจริง ๆ
ใช่แล้ว แม้เมืองล่องนภาจะถูกสมอทะเลลึกยึดเอาไว้ แต่ก็เป็นในแง่ร่วมเท่านั้น แท้จริงแล้วก็ยังสามารถเคลื่อนไปมาในพื้นที่เล็กน้อยได้ตามความยืดหยุ่นของสมอทะเลลึก
โซ่นั้นมีความยาว 880 ลี้ ซึ่งก็ไม่สั้น แต่สามารถรั้งทั้งเมืองไว้ได้ ก็ไม่นับว่ายาวอีกเช่นกัน เมืองล่องนภาเป็นเหมือนสุนัขดุร้ายที่ใช้เชือกสั้นคล้องไว้ จึงไปไหนได้ไม่ไกลนัก
แต่ก็ยังไกลพอจะหลบการโจมตีเจ้าคางคกได้
ตรวนเมืองล่องนภาเริ่มตึง แกนพลังงานแห่งซาร์คเปิดใช้จนสุด เกิดเป็นลำอากาศพุ่งขึ้นมา
ลำอากาศนี้หนาแน่นกว่าค่ายกลเก้ามังกรวายุ แต่เหมือนจะไม่เป็นอันตรายอะไร
ทว่าลำอากาศนี้มีความสำคัญต่อซูเฉินมาก เพราะทำให้รู้ว่าแกนพลังงานแห่งซาร์คตั้งอยู่จุดใด
หลังจ้องมองดูดี ๆ ซูเฉินก็เปลี่ยนความสนใจอีกครั้ง
เขามองเทพอสูรคางคกพันพิษร่วงลงจากฟ้า เฉียดเมืองล่องนภาไปเล็กน้อย
ในเวลาเดียวกันนั้น มันก็อ้าปากกว้าง ปล่อยลิ้นยักษ์ออกมา ลิ้นมันเลื้อยออกมากระแทกกำแพงเมืองแห่งหนึ่ง
กำแพงส่วนนั้นพังลงทันทีราวกับถูกวิชาอาร์คาน่านับร้อยซัดใส่ ทหารนับร้อยที่ประจำการสิ้นใจตายทันที
กระนั้นกูเทียนเยวี่ยก็ไม่เหลือบมองสักนิด ยังออกคำสั่งต่อ “กองทหารแสงอำไพ รวมพลังทั้งหมด เตรียมปืนใหญ่ทลายสุริยัน !”
ลำแสงทั้ง 30 รวมกลุ่มกันอีกครั้ง ครั้งนี้มีลำแสงทั้งหมด 3 ลำ ส่งพลังมาโดยกระจกนับหมื่น พลังทำลายล้างสูงขึ้น กองทหารแสงอำไพเองก็รวมกลุ่ม การโจมตีครั้งนี้เทียบเท่าวิชาอาร์คาน่าขั้น 10 อีกนิดก็แตะขีดสูงสุด มันโจมตีได้ไกลมาก และไม่อาจปัดป้องได้เลย
ลำแสงทรงพลังปะทะเข้ากับเทพอสูรคางคกพันพิษ เริ่มทำให้มันรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาบ้าง
“กรรร !” เทพอสูรคางคกพันพิษร้องเสียงโกรธ
ทว่ากูเทียนเยวี่ยไม่สนว่ามันจะรู้สึกอย่างไร ศึกเริ่มแล้ว ไม่มีโอกาสถอยได้อีกต่อไป
พริบตาต่อมา กูเทียนเยวี่ยก็ออกคำสั่งอีก ครั้งนี้ปืนใหญ่ทลายสุริยันนับพันยิงลูกกระสุนเข้าใส่เทพอสูรคางคกพันพิษ
แต่แม้มันจะดูทรงพลังนัก ก็ไม่อาจได้ผลดีเท่ากับลำแสงพวกนั้นเลย
ปืนใหญ่ทลายสุริยันมีกำลังเท่าวิชาอาร์คาน่าขั้น 6-7 เท่านั้น ปกติแล้วอาจจะแรงกว่าลำแสงเพราะมีจำนวนมากกว่า
แต่ต่อหน้าเทพอสูร การโจมตีที่ต่ำกว่าขั้น 8 ก็นับว่าไร้ค่าราคาใด
กระทั่งขั้น 8 เองยังแค่ทำให้มันเจ็บ ๆ คัน ๆ ส่วนขั้น 9 รู้สึกเหมือนยุงกัด ดังนั้นแม้เสียงปืนใหญ่จะดังสนั่น เทพอสูรคางคกพันพิษกลับไม่กลัวสักนิด
ปืนใหญ่นั้นแท้จริงแล้วยิงออกไปเพื่อสลายหมอกพิษ ช่วยบรรเทาภาระของค่ายกลเก้ามังกรวายุต่างหาก
นั่นก็เพราะเทพอสูรคางคกพันพิษโจมตีอีกคราแล้ว
ในเวลาเดียวกันนั้นพิษระลอกใหม่ก็พวยพุ่งเข้ามา
ครั้งนี้เมืองล่องนภาไม่อาจหลบได้
กูเทียนเยวี่ยเองก็ไม่คิดหลบ แต่สั่งว่า “ปล่อยเฟืองแล้วโจมตี !”
เทพอสูรคางคกพันพิษพบว่า ตอนมันกระโดดใส่กำแพงเมือง กำแพงเมืองล่องนภาก็ขยับไปเองได้เช่นกัน
กำแพงชั้นนอกกระแทกเข้ากับเทพอสูรคางคกพันพิษ ส่วนที่ปะทะนั้นเป็นส่วนที่เพิ่งสร้าง อพยพคนออกก่อนศึกจะเริ่มแล้ว ตอนนี้กูเทียนเยวี่ยและหยงเยี่ยหลิวกวงยอมสละยกเว้นแก่นหลักของเมือง หากกูเทียนเยวี่ยไม่ใช่พวกยอมเสี่ยง ก็คงไม่ได้กลายเป็นแม่ทัพเลื่องชื่อได้เช่นนี้หรอก
เมืองล่องนภาปะทะเข้ากับหลังคางคก แม้กระทั่งเทพอสูรคางคกพันพิษยังทนไม่ไหว เปล่งเสียงร้องออกมา
จังหวะหนักหน่วงที่เมืองล่องนภาลงมือโจมตีนั้นแกร่งกว่าวิชาอาร์คาน่าต้องห้ามวิชาไหน ๆ เสียอีก
ในเวลาเดียวกันนั้น กูเทียนเยวี่ยออกคำสั่งอีก “ปืนใหญ่เทพสายฟ้า ยิง ! รถศึกปีศาจดำ ยิง !”
ปืนใหญ่บนยอดวังแสงตะวันชั่วกาลยิงออกมา
ตู้ม !
เสียงสนั่นเลือนลั่นดังสะท้านฟ้าเมื่อลูกสายฟ้าขนาดมหึมาระเบิดออกมา
ลูกสายฟ้ามีเส้นผ่านศูนย์กลางนับร้อยลี้ ภายในมีพลังสายฟ้าคำรามอัดแน่นอยู่อย่างเหลือเชื่อ ซูเฉินเองก็เป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าสายฟ้าขั้น 9 แต่ก็ไม่เคยเห็นใครสร้างลูกสายฟ้าที่มีขนาดใหญ่หรือหนาแน่นเช่นนี้มาก่อน
วิชาต้องห้าม !
นี่มันแกร่งพอกับวิชาอาร์คาน่าต้องห้ามเลย !
ลูกสายฟ้าปะทะร่างเทพอสูรคางคกพันพิษตรงจุดอ่อนที่พบก่อนหน้า ทำให้เลือดกระจายทั่วทิศ
“กรรร !”
เทพอสูรคางคกพันพิษร้องเจ็บปวดอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้มันเจ็บหนักหนากว่าแมลงกัดรอบที่แล้ว
ในเวลาเดียวกันนั้น รถศึกปีศาจดำบนกำแพงเมืองก็ปล่อยสลักนับพันออกมาภายในพริบตา ในเมื่อมีรถศึกนับร้อย ก็สามารถยิงสลักทำลายล้างนับพันออกมาได้ สลักจำนวนมากพุ่งขึ้นมา กลายเป็นกำแพงหนามพุ่งลงมาหาเจ้าคางคก
รถศึกปีศาจดำไม่เหมือนปืนใหญ่ทลายสุริยัน สลักทำลายล้างที่ถูกยิงออกมาโจมตีเบากว่ามาก แต่ความสามารถในการทะลวงสูงกว่าเป็นยิ่งนัก เมินเกราะทั้งหลาย กระทั่งเกราะระดับ 2 หรือ 1 ยังเจาะผ่านได้ สลักเหล่านี้เดิมทีถูกออกแบบให้เจาะเกราะเครื่องมือต้นกำเนิด แต่เพราะต้นทุนสูงจึงไม่ได้รับความสนใจ เผ่าปักษาเสาะหามาได้จึงนำมาติดตั้งไว้เป็นหนึ่งในการป้องกันเมืองไว้นานแล้ว
หากต่อกรกับมนุษย์ รถศึกปีศาจดำจะไม่ได้ผลเท่าปืนใหญ่ทลายสุริยันเลย ยิงสลักนั้นมีราคาสูง จะใส่สลักบนเครื่องแต่ละทีก็ยุ่งยาก ดังนั้นจะใช้ก็ยากลำบากอยู่เรื่อยไป แต่หากรับมือกับเทพอสูรก็มีประโยชน์อยู่บ้าง
สลักทำลายล้างเหล่านี้ก็เหมือนกับยุงกัด แต่แค่ถูกยุงกัด หากเป็นยุงนับพันก็สามารถสังหารคนได้
ในมุมหนึ่ง สลักทำลายล้างจึงนับว่าแกร่งกว่าปืนใหญ่เทพสายฟ้าเสียอีก
อีกทั้งสลักทำลายล้างเหล่านี้เล็งไปยังจุดที่ถูกปืนใหญ่เทพสายฟ้ายิงไปเมื่อครู่
‘หมัด’ เมืองล่องนภา การโจมตีจากปืนใหญ่เทพสายฟ้า และใช้แนวรบเป็นรถศึกปีศาจดำล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมการอย่างพิถีพิถันที่เมืองล่องนภาจัดมาให้เทพอสูรคางคกพันพิษ ครั้งนี้มันบาดเจ็บสาหัสไม่น้อย
กูเทียนเยวี่ยไม่ยั้งมือสักนิด ปล่อยพละกำลังใส่ศัตรูเต็มที่ในทันใด
เขาไร้ทางเลือก แม้จะอยากเก็บไพ่ตายเอาไว้แล้วเอามาใช้ทีเผลอ แต่เช่นนั้นก็ใช้ได้กับศัตรูธรรมดาเท่านั้น
แม้เทพอสูรคางคกพันพิษจะถูกการโจมตีกระหน่ำใส่จนมึน แต่ตอนนี้ก็เป็นเหมือนผู้ใหญ่ถูกเด็กลูบหน้านั่นเอง
มันตกใจ อาจล้มลงได้ แต่แมลงพวกนี้คิดหรือว่าจะทำเช่นนี้เพื่อสังหารมันได้ ?
กลับกันแล้ว มันกลับโกรธเสียจนแทบเดือดพล่าน
เทพอสูรคางคกพันพิษโกรธมากแล้ว
มันกระโจนอีกครั้ง ครั้งนี้ลงมาข้างเมืองล่องนภา ใช้ลิ้นยาวพุ่งออกมากระแทกกำแพงเมืองอีก
แต่ครั้งนี้ได้ผลน้อยกว่าครั้งก่อน
จังหวะที่ลิ้นมันพุ่งออกมา มุกยิงตะวันทั้ง 99 ลูกเริ่มส่องแสง ปกคลุมทั้งเมืองด้วยแสงจ้า
ลิ้นของคางคกปะทะม่านแสงอันเรืองรอง เกิดเป็นแสงสีรุ้งกระจายไปทั่ว
มีรุ้งมากมายจนเกือบจะหนาแน่นเท่าหมอกพิษ ส่องจ้าเต็มทั่วฟ้า
ปกติแล้วเกราะจะเรืองแสงเมื่อถูกปะทะ แต่การโจมตีที่สามารถสร้างรุ้งเต็มฟ้าเช่นนี้ได้มีแต่การโจมตีของเทพอสูรเท่านั้น เป็นภาพตระการตาที่แท้จริงแล้วก็ไม่ได้น่าประหลาดใจอย่างไร
กระนั้นการโจมตีทรงพลังก็ไม่ได้ทำอันตรายใดต่อเมืองล่องนภา
เมืองล่องนภามีเกราะที่ให้พลังด้วยแกนพลังงานแห่งซาร์ค ทรงพลังพอจะต้านทาน อีกทั้งแกนพลังงานแห่งซาร์คเชื่อมกับทะเลพลังต้นกำเนิด เกราะนี้จึงนับว่ามีพลังไร้ขีดจำกัด
แต่แม้เกราะนี้ก็ไม่ใช่คงกระพัน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามีพลังเสริมอยู่ตลอดหรือไม่อย่างเดียว แต่ยังพึ่งตัวค่ายกล และคนที่ดูแลค่ายกลด้วย และยังมีมุกยิงตะวันที่ฝังอยู่บนยอดปราการอีก
เมื่อเป็นการโจมตีซึ่งทรงพลังนัก เกราะอาจพลังไม่หมด แต่ของที่ยึดเกราะอยู่อาจไม่สามารถทานได้ไหว
เทพอสูรคางคกพันพิษโจมตีรวดเร็วอีกสองครา ปรมาจารย์อาร์คาน่าบนปราการร่วงลงมาด้วยใบหน้าซีดขาว
การโจมตีของเทพอสูรนั้นทรงพลังกว่าอาวุธใดของมนุษย์ ไม่แปลกที่จะตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
กระนั้นนี่ก็แค่เริ่มต้นเท่านั้น
เมื่อเทพอสูรโกรธาแล้ว ก็ทรงพลังเกินต้าน ไม่ว่าอะไรขวางหน้ามันมีแต่ต้องสั่นกลัว
เมื่อเทพอสูรคางคกพันพิษเห็นว่าเกราะไม่แตก ก็ร้องลั่นเสียงโกรธแล้วใช้หัวกระแทกเกราะไม่หยุด
เหมือนกับเมืองถูกภูเขาชนก็มิปาน
ไม่ ! หนักกว่านั้นด้วยซ้ำ ราวกับภูเขาทั้งลูกร่วงจากฟ้า เกราะอาจต้านได้ แต่ปรมาจารย์อาร์คาน่าขั้น 8 ทั้ง 99 ที่ช่วยเสริมเกราะคงจะตายคาที่
เป็นตอนนั้นที่กูเทียนเยวี่ยร้องขึ้น “ค่ายกลเปลี่ยนหมู่ดาว !”
แสงดาวพลันสาดส่องบนฟากฟ้า
ท่ามกลางหมู่ดาวพร่างพราว ทุกสิ่งอย่างดูเหมือนจะเปลี่ยนไปชั่วขณะ
การโจมตีของเทพอสูรคางคกพันพิษเหมือนถูกสลับไปเล็กน้อย แทนที่จะพุ่งปะทะเกราะตรง ๆ กลับเฉียดไปเพียงนิด เป็นอีกครั้งที่เกิดแสงกระจายทั่วทิศ คางคงหงายหลังลงพื้น ส่งผลให้นอกเมืองล่องนภาถล่มลงมาทันใด
“วิถีพลังเชิงพลังสูญ” ซูเฉินเห็นแล้วก็ร้องออกมา
กูเทียนเยวี่ยเพิ่งใช้วิถีพลังเชิงพลังสูญไป
แต่พลังเช่นนี้ไม่ใช่ของเขา เป็นของเมืองล่องนภามากกว่า อาจมาจากค่ายกลขนาดยักษ์
ค่ายกลลับขนาดยักษ์สามารถใช้วิถีพลังเชิงพลังสูญได้ ทำให้เปิดใช้แล้วสามารถหักเหทิศการโจมตีได้
แต่เทพอสูรก็ทรงพลังเกินคาด กระทั่งค่ายกลเปลี่ยนหมู่ดาวยังไม่อาจเปลี่ยนทิศการโจมตีของเทพอสูรได้ทั้งหมด แม้จะแค่เฉียดเกราะ ก็สังหารทหารหลายสิบไปได้แล้ว
กระนั้นเทพอสูรคางคกพันพิษก็ไม่พึงพอใจสักนิด
มันร้องลั่นด้วยความโกรธอีกครา
พริบตาต่อมา หมอกพิษบนฟ้าก็พลันบิดเบี้ยวราวกับจะเปลี่ยนร่างก็มิปาน