ภาคที่ 5 บทที่ 155 ต่อกรเทพอสูร (3)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 155 ต่อกรเทพอสูร (3)

หมอกพิษเริ่มรวมตัวเป็นก้อน ยุงตัวใหญ่ดั่งแรด ปากแหลมดั่งคมดาบ เรืองแสงสีเขียวอ่อนออกมา

แม้เกิดจากหมอกพิษ แต่ก็ไม่ใช่ว่าไร้กำลัง

หากเผ่าพันธุ์อัจฉริยะทำให้ภาพมายาจับต้องได้ เช่นนั้นเทพอสูรก็ทำได้

แม้พวกมันจะมาจากพลังต้นกำเนิด แต่ก็นับว่าเป็นของจริง พวกมันรุดเข้ามาเป็นฝูง โกรธเกรี้ยวโกธรา มีพิษร้ายแรง

เดิมทีเผ่าปักษาต่อกรกับศัตรูเพียงหนึ่ง แต่ตอนนี้มีพวกมันนับพันทั่วฟ้า กระทั่งกูเทียนเยวี่ยยังตั้งรับไม่ทัน

กลยุทธ์การสู้เผ่าปักษาเตรียมรับมือกับศัตรูทรงพลังแค่หนึ่ง ไม่ได้จะสู้กับกองทัพ สองอย่างต่างกันจุดใหญ่คือพวกเขาใช้เมืองล่องนภา ‘รวม’ พลังโจมตีเป็นหนึ่ง

ฉะนั้นการโจมตีเช่นนี้ย่อมไม่ค่อยได้ผลกับกองทัพแมลงพิษแน่

กองทหารแสงอำไพไม่อาจแสดงกำลังได้เต็มที่ สลักทำลายล้างก็สังหารพวกแมลงได้ไม่เท่าไหร่ พวกไร้ตัวตนไม่กลัวการโจมตีทะลุทะลวง เพราะอย่างไรก็ ตีไม่โดนอยู่แล้ว

เกราะเมืองล่องนภานั้นเหมือนกับเกราะเมืองอื่น ๆ ที่แบ่งออกเป็นหลายส่วน ควบคุมแตกต่างกัน หากเทพอสูรคางคกพันพิษโจมตีส่วนหนึ่ง ก็สามารถมุ่งกำลังไปต้านตรงจุดนั้นได้ อีกประโยชน์ของการทำเช่นนี้คือเกราะจะไม่พังลงง่าย ๆ เว้นเสียแต่จะเกิดเหตุสุดวิสัยขึ้น

แต่ต่อหน้าฝูงแมลงพวกมันก็ไร้ผล เพราะมุ่งป้องกันจุดใดจุดหนึ่งย่อมหมายความว่าจุดอื่นอ่อนแอลง พวกแมลงก็เปลี่ยนเป้าหมายได้

ฝูงแมลงปะทะเข้ากับกำแพง เกิดเป็นประกายแสงกระจายออกทั่ว

เมื่อหลายส่วนถูกแมลงโจมตีเช่นนี้ ฝูงแมลงจึงทะลวงเข้าเมืองไปโจมตีทหารภายในได้

และเพราะพิษร้ายแรงนัก กัดคราเดียวก็สังหารได้แล้ว สุดท้ายพวกแมลงก็ไม่จำเป็นต้องคืนร่างหมอกด้วยซ้ำ

แม้เผ่าปักษาจะใช้ยาแก้พิษที่ยังไม่สมบูรณ์ของเค่อเหลยซีต๋า แต่ก็ใช่ว่าจะแก้ได้ทุกพิษ

หมอกพิษเริ่มปกคลุมฟ้า ฝูงแมลงตายลงเรื่อย ๆ กลุ่มหมอกทั้งหลายล้วนมีทหารสูดดมมันเข้าไป จากนั้นก็ร่วงลงจากฟ้าคนแล้วคนเล่า

“ปืนใหญ่ทลายสุริยัน ! ใช้ปืนใหญ่ทลายสุริยัน !” กูเทียนเยวี่ยคำรามลั่น

ปืนใหญ่ทลายสุริยันใช้ต้านพวกแมลงได้ดีกว่า แต่ก็เห็นว่ายังไม่พอจะกำราบมันได้

น่าตกใจกว่านั้นคือพวกมันไม่ได้อยู่เฉย ๆ แต่รวมเป็นฝูงใหญ่แล้วเข้าโจมตีอีกครั้ง เผ่าปักษาตกที่นั่งลำบากทันทีแม้จะรวมพลังต้านหรือไม่ก็ตาม

“กองทหารวางกับดัก ถอยออกมา ! ยิงปืนใหญ่เทพสายฟ้า !” กูเทียนเยวี่ยร้องเสียงโหยหวน

เผ่าปักษาจึงรุดหน้าเข้าปะทะ ปืนใหญ่เทพสายฟ้าลั่นใส่เทพอสูรคางคกพันพิษ ทำเอามันส่งเสียงร้องเจ็บปวดอีกครา

เป็นตอนนั้น หยงเยี่ยหลิวกวงที่สังเกตสถานการณ์มาตลอดจึงเอ่ยปาก “ฝ่าบาท ถึงเวลาแล้ว”

สิ้นคำหยงเยี่ยหลิวกวง เสียงร่ายอาคมสูงก็กรีดผ่านอากาศขึ้นมา

ต่อมาก็มีรถม้าบินลำหนึ่งเคลื่อนตัวข้ามฟ้า โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนนั่งอยู่ในนั้น พร้อมกับหัวหน้านักบวชนับสิบจากนิกายแห่งพระแม่อยู่เบื้องหลัง แต่ละคนยืนอยู่บนแผ่นหินลงอักขระ มันส่องแสงเรืองลึกล้ำออกมา

เมื่อมาถึงกลางเมืองล่องนภา โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนก็ชี้นิ้ว เกิดประตูแสงขึ้น สร้างแรงสุญญากาศอันทรงพลังบนท้องฟ้า พลังอันยิ่งใหญ่ของเทพอสูรลดลงทันใด กำลังกายเองก็ดูลดลงเช่นกัน

นี่คือวิชาต้องห้ามหนึ่งของนิกายแห่งพระแม่ วิชามังสาเฉา

วิชาอาร์คาน่านี้สังหารไม่ได้ แต่ทำให้ศัตรูอ่อนแอลงสามสิบส่วน ผลของมันไม่น่าเรียกว่าวิชาอาร์คาน่าต้องห้ามด้วยซ้ำ เพราะอย่างไรวิชาขั้น 3 ก็สามารถทำได้เช่นกัน

แต่ที่ถูกจัดเป็นวิชาอาร์คาน่าต้องห้ามก็เพราะมันยังใช้ได้ผลกระทั่งเทพอสูร

กล่าวได้ว่าวิชานี้สร้างขึ้นมาเพื่อใช้กับเทพอสูรโดยเฉพาะ

หลายพันปีที่ผันผ่าน เผ่าพันธุ์อัจฉริยะหาหนทางต่อสู้กับสัตว์อสูรมาหลากหลาย มีทั้งเครื่องมือต้นกำเนิด เกราะขนาดใหญ่ วิชาต้นกำเนิด และวิชาอาร์คาน่า วิชามังสาเฉาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น

การลดอำนาจพลังของเทพอสูรลงได้สามสิบส่วนนับว่าสูงมากจนเหลือเชื่อ

แต่โยวเมิ่งหัวเหลียนเหมี่ยนก็รู้สึกว่าการคงวิชานี้เหนื่อยล้านัก แม้จะถูกแบ่งถ่ายไปแล้วก็ตาม หัวหน้านักบวชด้านหลังเองก็ช่วยนางแบ่งเบาภาระของวิชามังสาเฉาด้วย

จังหวะนั้น ปรมาจารย์อาร์คาน่า 2 คนก็เดินนำหน้าออกมาจาก 12 อารามลอย ปล่อยวิชาอาร์คาน่าควบคู่กันไม่หยุด เป็นวิชาระดับต้องห้ามเช่นกัน

คำสาป อาสัญกลวง

คำสาป พิธีนิรันดร์

อาศัยกลลวงลดพลังป้องกันของเนื้อหนังเทพอสูรคางคกพันพิษ แม้จะไม่มาก แต่ก็สามารถใช้วิชาอาร์คาน่าขั้น 8 ทำอันตรายมันได้ เผ่าปักษาจึงโจมตีมันได้สำเร็จ

กลับกัน พิธีนิรันดร์ช่วยลดพลังโจมตีต่าง ๆ ไม่เพียงแต่ทำให้พลังของพวกเขาอ่อนแอลงเท่านั้น แต่สามารถแบ่งพลังการโจมตีที่มาในคราหนึ่งให้กลายเป็นหลายระลอกได้ด้วย

ความต่างระหว่างหนึ่งการโจมตีที่รวมพลังไว้หลายร้อยหน่วยกับร้อยการโจมตีที่รวมพลังไว้อย่างละหนึ่งหน่วยนั้นมีความต่างกันมากโข

วิชาพิธีนิรันดร์ออกแบบมาให้ลดความแรงของการโจมตีลง เกราะเมืองจึงทนรับแค่การโจมตีที่มากจำนวนแต่อ่อนแอลงมากเช่นกัน ซึ่งก็เหมาะกับการทำงานของเกราะเมืองล่องนภาที่มีพลังงานไร้จำกัดมาก

วิชามังสาเฉา พิธีนิรันดร์ และอาสัญกลวงถูกใช้เรื่อย ๆ ลดความน่าเกรงขามของเทพอสูรคางคกพันพิษได้มาก แต่ในเวลาเดียวกันนั้นก็ขัดขวางการโจมตีทั้งหมดของกองทัพเช่นกัน

สนามรบเองก็เริ่มแปรเปลี่ยน

หุ่นเชิดปีศาจกลุ่มใหญ่เริ่มก้าวลงสู่สนามรบ

แต่ละตัวสูง 70-80 จั้งราวกับยักษ์ปักหลั่น จังหวะที่ปรากฏตัวขึ้นมาก็พุ่งเข้าใส่ฝูงแมลงพร้อมกับพวกทหาร มันเป็นหุ่นรบจึงไม่เกรงกลัวพิษ ไม่ว่าพิษจะแรงแค่ไหน พวกมันก็ยังตวัดดาบต่อได้ ปลดปล่อยคมดาบใส่พวกแมลงครั้งแล้วครั้งเล่า

เมื่อมีหุ่นเชิดมา จำนวนทหารปักษาที่บาดเจ็บก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด กระทั่งเกราะส่วนที่ถูกทำลายยังเริ่มฟื้นคืนกลับมาได้

คลื่นโจมตีที่รุนแรงถูกตีกลับแล้ว

เทพอสูรคางคกพันพิษเองก็ดูตกใจกับการโต้กลับดุดันจากเผ่าปักษาเช่นกัน ทั้งพลังโจมตีและป้องกันของมันลดลงมาก ฝูงแมลงที่มันภูมิอกภูมิใจก็ใช้ไม่ได้ดีเหมือนแต่ก่อน แต่ปักษาเสียทหารไปนับพัน ซึ่งก็นับว่าเจ็บปวดรวดร้าวเป็นยิ่งนัก นี่ยังไม่รวมถึงทรัพยากรที่ต้องใช้เพื่อต่อกรกับเทพอสูรคางคกพันพิษอีก

แต่จะคิดว่าเทพอสูรคางคกพันพิษคงพ่ายแพ้ไปเพียงเท่านี้ก็นับว่าผิดมหันต์

เทพอสูรคางคกพันพิษคำรามด้วยความโกรธอีกครั้งก่อนที่มันจะเริ่มสูดอากาศเข้าไปอย่างรุนแรง

การสูดอากาศเข้าอย่างรุนแรงนี้ทำให้เกิดกระแสลมวนขนาดใหญ่ที่มีพลังขับเคลื่อนที่น่าตกใจ พริบตาเดียวทหารปักษานับพันก็ถูกลากออกมาจากเมือง

เกราะมีผลแค่ศัตรูด้านนอก ไม่ใช่ด้านใน สุดท้ายเกราะก็ป้องกันอะไรไว้ไม่ได้ ทหารปักษาถูกดูดออกจากเมืองกระเด็นเข้าปากเทพอสูรคางคกพันพิษ แต่จังหวะนั้นหยงเยี่ยหลิวกวงก็ลงมือ เขาเหยียดแขนออก ทำท่าคว้าบางอย่าง พริบตานั้นก็เกิดกรงเล็บยักษ์เคลื่อนลงจากฟ้า คว้าทหารปักษาเหล่านั้นไว้ไม่ให้ถูกกิน

ในด้านกำลัง หยงเยี่ยหลิวกวงย่อมด้อยกว่าเทพอสูรคางคกพันพิษ แต่เพราะงั้นเขาจึงไม่คิดช่วยทหารทุกคน มุ่งพลังช่วยเพียงบางส่วนเท่านั้น

กรงเล็บที่ราวกับผุดออกจากอาทิตย์เคลื่อนลงมาขวางระหว่างกระแสพลังลมและเหล่าทหาร คว้าพวกเขาไว้นับร้อยแล้วดึงออกมาจากปากเทพอสูรคางคกพันพิษได้

น่าเสียดายที่ส่วนมากตายมากกว่ารอด พวกเขาเข้าปากมันไปไม่เหลือร่องรอยใด

“ปืนใหญ่เทพสายฟ้า เล็งที่ปาก !” กูเทียนเยวี่ยคำราม

ปืนใหญ่เทพสายฟ้าเริ่มส่องแสงอีกครั้ง

เคราะห์ร้ายที่เทพอสูรคางคกพันพิษปิดปากแล้ว จึงใช้ร่างกายอันทรงพลังต้านกระสุน ก่อนจะอ้าปากอีกครั้ง ครั้งนี้ปล่อยลมคมดาบทรงพลังออกมา

ลมคมดาบต่างจากวิชาที่ปรมาจารย์อาร์คาน่าใช้อย่างสิ้นเชิง

ลมคมดาบทั้ง 3 ระลอกนี้ยาวเกือบพันลี้ มันซัดลงจากฟ้าราวกับซี่ตรีศูล ปะทะเข้ากำแพงเมืองจนมันถล่มลงมา

เผ่าปักษาถอยไปยิงสลักทำลายล้างสู่พื้นดินเบื้องล่าง พวกเขาเพิ่งคลายสลักเกลียวยามเทพอสูรคางคกพันพิษสร้างแมลงพิษอีกระลอกขึ้นใหม่ เผ่าปักษายังใช้ปืนใหญ่ทลายสุริยันและหุ่นเชิดศึกในการรับมือกับแมลงระลอกใหม่นี้

ทั้งสองฝั่งสูสีกันอย่างไม่น่าเชื่อ

เลือดสีเขียวแกมน้ำเงินไหลออกมาจากร่างเทพอสูรคางคกพันพิษ แต่กองเลือดที่ดูเหมือนเยอะ ก็เป็นเพียงบาดแผลตื้น ๆ ของมันเท่านั้น

ที่อีกด้านหนึ่ง เผ่าปักษาสูญเสียทหารไปเรื่อย ๆ ไม่ตายจากการโจมตีรุนแรง ก็ตายจากพิษของเทพอสูรคางคกพันพิษ

ทั้งสองฝั่งแลกเลือดแลกชีวิตกันไม่หยุด สุดท้ายหนึ่งวันผ่านไป เทพอสูรคางคกพันพิษก็ถูกบีบให้ล่าถอยกลับไปอย่างช่วยไม่ได้

เผ่าปักษาที่ขึ้นชื่อเรื่องความอ่อนแอ พึ่งพาเมืองอันแข็งแกร่งเพื่อปกป้องตนเองจากการโจมตีของเทพอสูร เป็นตัวอย่างที่ดีที่ชี้ให้เห็นว่าเมืองล่องนภาแข็งแกร่งเพียงไหน

แหล่งพลังงานที่แทบจะไม่มีที่สิ้นสุดของเมือง เกราะป้องกันทั้งหลาย และค่ายกลจำนวนมาก รวมถึงความพยายามร่วมกันของทหารปักษาและปรมาจารย์อาร์คาน่า ล้วนเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดเรื่องน่าอัศจรรย์ใจเช่นนี้ขึ้นได้

แต่ทำเช่นนั้นได้ ก็เสียทหารไปถึง 6,000 ด้วยกัน

มากเกินไปหรือไม่ ?

แท้จริงแล้ว เสียเท่านี้นับว่าน้อย หากต้องรับมือกับเทพอสูร

ต่อกรกับเทพอสูรเช่นนี้ เสียไปหลายแสนยังนับว่าปกติ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร

แต่สำหรับเผ่าปักษา แค่ 6,000 คงยังไม่ถึงขีดจำกัด ศึกนี้ยังไม่ถึงจุดจบเป็นแน่

แน่นอนว่าพวกเขาเองก็ยังไม่ได้เผยกำลังทั้งหมดออกมาเช่นเดียวกัน

อย่างน้อยซูเฉินก็รู้จักปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับตำนานคนหนึ่งที่ยังไม่ได้ลงมืออะไรเลย

คือเค่อเหลยซีต๋า !