ภาคที่ 5 บทที่ 156 บ้าคลั่ง

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 156 บ้าคลั่ง

การคาดเดาของซูเฉินคือว่าเค่อเหลยซีต๋ามีแนวโน้มที่จะถูกเก็บไว้จัดการกับเขามากที่สุด

ด้วยนิสัยการตัดสินใจที่หลักแหลมและโหดเหี้ยมของหยงเยี่ยหลิวกวง ไม่มีทางเลยที่เขาจะปล่อยซูเฉินไว้เพียงลำพัง

นี่เป็นอีกเครื่องพิสูจน์ว่าหยงเยี่ยหลิวกวงคงจะจับตาดูทุกการเคลื่อนไหวซูเฉินอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด

เหตุผลหลักที่ซูเฉินยังไม่ได้เคลื่อนไหวใด ๆ เป็นเพราะเขาไม่มั่นใจว่าวิธีที่ดีที่สุดในการจัดการกับภูติลั่นแสงคืออะไร และเขาก็ยังรอคอยการมาถึงของจูเซียนเหยาด้วย

เมื่อเขาคิดได้เช่นนั้น ใบหน้าของซูเฉินก็เผยรอยยิ้มออกมาก่อนที่เขาจะหันหลังกลับและจากไป สงครามนี้ได้เปิดเผยความแข็งแกร่งแทบทั้งหมดของเมืองล่องนภาและคางคกพันพิษ ด้วยข้อมูลที่เขาถืออยู่ในมือนี้ ตอนนี้เขาได้ความคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไปแล้ว

วันต่อมา คางคกพันพิษกลับมาแล้ว

หลังจากเวลาหนึ่งคืนของการพักผ่อน บาดแผลทั้งหลายที่เทพอสูรประคับประคองไว้ก็ได้ฟื้นฟูขึ้นมหาศาล

แม้ว่าเผ่าปักษาจะรู้ว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นก็ไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาสามารถทำได้ พวกเขาเพียงรอดชีวิตมาจากการสู้รบเมื่อวันก่อนหน้าด้วยการป้องกันที่แข็งแกร่งของเมือง หากพวกเขาออกจากเมืองไปก็คงจะถูกผลักเข้าสู่สถานการณ์ที่ย่ำแย่กว่านี้มากในทันที พวกเขาจะดึงดูดความตายเข้ามาสู่ตัวหากพยายามจะไล่ล่า

แม้ว่ามันจะทำให้คางคกพันพิษสามารถฟื้นฟูบาดแผลบางส่วนของมันได้ อิทธิพลของสิ่งแวดล้อมโดยรอบก็ได้ทำให้พละกำลังของมันถดถอยลงเช่นกัน

แต่นอกจากพละกำลังที่ลดลงแล้ว เทพอสูรกลับฉลาดเฉลียวขึ้นจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

คราวนี้คางคกพันพิษไม่ได้วางแผนที่จะใช้กำลังตรงเข้าไปในตัวเมือง แต่มันคิดที่จะส่งยุงพิษฝูงแล้วฝูงเล่าเข้าไปโจมตีเมืองแทน

แน่นอนว่าความพิเศษของคางคกพันพิษคือพิษ หากไม่ใช่เพราะยาแก้พิษของเค่อเหลยซีต๋า เมืองล่องนภาอาจไม่สามารถต้านทานทำนบไร้ขีดจำกัดจากเทพอสูรได้ กระทั่งในตอนนี้ฝูงยุงพิษทั้งหลายจะเปลี่ยนแปลงพื้นที่นี้ไปอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกราะป้องกันสามารถสกัดพวกมันอย่างมีประสิทธิภาพและห้ามไม่ให้พวกมันเข้าไปยังตัวเมืองได้อย่างยากเย็น

และที่ใดก็ตามที่ยุงเหล่านั้นแฝงเข้าไปในเมือง พวกมันจะทิ้งเส้นทางของศพทหารเผ่าปักษาไว้ตามพื้น

การต่อสู้เข้มข้นมากขึ้นไปอีก เผ่าปักษากำลังสิ้นลมหายใจทั้งทางซ้ายและขวา แต่พวกเขาก็ไม่ได้กลัวความตายและยังคงพุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างไม่ลดละโดยใช้ชีวิตของตัวเองเพื่อหยุดยั้งฝูงยุงที่พรั่งพรูเข้ามา แม้ว่าชีวิตของพวกเขาจะทำได้เพียงชะลอพวกมันลงเพียงเล็กน้อย พวกเขาก็รู้สึกว่าการเสียสละของพวกเขานั้นไม่ได้สูญเปล่าเสียทีเดียว

นี่คือธรรมชาติที่แท้จริงของสงคราม

ในจุดเริ่มต้นของสงครามนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างอยู่ในสภาพที่ทรงพลังที่สุด แต่เมื่อการต่อสู้ได้ยืดเยื้อออกมา ปัจจัยอื่น ๆ มากกว่าแค่ความแข็งแกร่งก็เริ่มมีบทบาทที่สำคัญมากยิ่งขึ้น อย่างกลยุทธ์และแรงใจ

แต่สำหรับซูเฉินแล้ว สงครามนี้ไม่คู่ควรต่อความสนใจของเขาอีกต่อไปแล้ว

อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในตอนนี้

เขากำลังจะทำบางสิ่งสำหรับตัวเองเป็นสิ่งต่อไป

ในเขตร่ำรวยของเมืองล่องนภา

เขตร่ำรวยนั้นไม่ได้ถูกกำหนดอย่างเป็นทางการว่าต้องเป็นเช่นนั้นแต่มันมาจากความเข้าใจร่วมกันในสังคมเมื่อเผ่าปักษาชั้นสูงและมั่งคั่งส่วนมากในอาณาจักรแห่งหมู่เมฆนั้นอาศัยอยู่ในบริเวณนี้

กระทั่งตระกูลชุยอวี่รุ่นก่อนก็ยังไม่สามารถเข้ามาในพื้นที่แห่งนี้ได้ด้วยซ้ำ

ใช่ รุ่นก่อน

พวกเขาได้ถูกกวาดล้างออกไปอย่างเป็นทางการเมื่อวานนี้โดยการเข้ามาของคางคกพันพิษ

ขณะที่ซูเฉินกำลังเดินเข้ามา เผ่าปักษาที่รับหน้าที่เฝ้าจับตาดูเขาก็สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของเขาเช่นกัน

พวกเขาแจ้งไปยังผู้บังคับบัญชาในทันที

ผู้ติดตามของหยงเยี่ยหลิวกวง เยี่ยเสิ่นชาง เป็นผู้รับผิดชอบเฝ้าดูแลซูเฉิน เขามาจากตระกูลเดียวกันกับเยี่ยเสิ่นหยางผู้ได้เสียชีวิตลงในด่านลับของอวี้ชิงหลาน แต่พวกเขาก็ไม่ได้สนิทสนมกันเป็นพิเศษ

เยี่ยเสิ่นชางก็ประหลาดใจเช่นกันเมื่อเขาได้ยินว่า ‘ชุยอวี่คงเหิน’ กำลังมุ่งหน้าไปยังเขตร่ำรวยของเมืองล่องนภา

หลังจากการถกเถียงระดับสูงกับเหล่าที่ปรึกษาของเขา หยงเยี่ยหลิวกวงทำการเตรียมพร้อมมากมายเพื่อตั้งรับการกระทำของ ‘ชุยอวี่คงเหิน’ ที่เป็นไปได้ ขอบข่ายของเขาครอบคลุมวังแสงตะวันชั่วกาล คลังสมบัติราชวงศ์ และตำแหน่งทางยุทธศาสตร์อีกเล็กน้อยในเมืองล่องนภา เขากำลังรอให้ชุยอวี่คงเหินเคลื่อนไหวอย่างใจจดใจจ่อ

เพราะคางคกพันพิษกำลังเข้าล้อมเมืองในตอนนี้ ดังนั้นการพยายามในการทำลายล้างใดก็ตามของซูเฉินอาจก่อเกิดเป็นผลเสียมหาศาล

แต่ไม่มีใครคาดคิดว่า ‘ชุยอวี่คงเหิน’ ได้เลือกที่จะหลีกเลี่ยงตำแหน่งที่สำคัญทางยุทธศาสตร์เหล่านี้และจะมุ่งหน้าไปสู่เขตร่ำรวยของเมืองแทน เขากำลังพยายามจะทำอะไรกันแน่ ?

ภารกิจที่เยี่ยเสิ่นชางได้รับสั่งมาคือจับตาดูซูเฉินอย่างระมัดระวัง หากอีกฝ่ายก้าวเท้าเข้าไปยังหนึ่งในตำแหน่งสำคัญทางยุทธวิธีตามที่กล่าวไว้แม้แต่ก้าวเดียว เขาจะต้องเปิดพื้นที่กักขังขึ้นและขังซูเฉินไว้เพื่อจับกุมอีกฝ่าย แต่เป้าหมายของเขาก็นิ่งเฉยมาสักพักแล้ว เยี่ยเสิ่นชางจึงไม่ได้ใส่ใจชายหนุ่มมากนัก

แต่ในตอนนี้เป้าหมายไม่ได้มุ่งหน้าไปยังพื้นที่หวงห้าม และเขาไม่ได้พยายามจะออกไปจากเมืองล่องนภาเช่นกัน เยี่ยเสิ่นชางควรทำอย่างไร ?

โดยไร้ซึ่งคำสั่งจากฝ่าบาท เยี่ยเสิ่นชางก็รู้สึกได้ถึงอาการปวดหัวที่กำลังเข้ามา

เหล่าผู้ติดตามของเยี่ยเสิ่นชางบางคนกำลังจ้องเขาเขม็ง หลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่งเยี่ยเสิ่นชางก็กัดฟันแน่นและกล่าว “ฝ่าบาทได้สั่งไว้ชัดเจนมากแล้วว่าไม่ให้แตะต้องเขาตราบใดที่เขาไม่ได้เข้าไปในพื้นที่หวงห้ามใดหรือพยายามจะออกจากเมืองล่องนภา… ดูก่อนว่าเขาจะทำอะไร”

คำตอบนั้นมาถึงอย่างรวดเร็ว

เยี่ยเสิ่นชางได้รับข้อมูลว่า ‘ชุยอวี่คงเหิน’ ได้เข้าไปในร้านค้า

ร้านค้า ?

เขาคิดจะทำอะไรที่นั่น ?

เยี่ยเสิ่นชางยังคงสงสัยอยู่จนกระทั่งผู้ติดตามคนหนึ่งรีบรุดมารายงานเขา “รายงานตัวขอรับท่าน…. เขาปล้นร้านจันทราดับ !”

ปล้น ?

เยี่ยเสิ่นชางตกตะลึง

ทำไมชายคนนี้ถึงเลือกช่วงเวลานี้ในการเริ่มปล้นร้านค้ากัน ?

ร้านจันทราดับเป็นร้านชื่อดังในเขตแดนของเผ่าปักษา มันมีสมบัติจำนวนมากกระทั่งสำหรับร้านค้าระดับสูง มันยังมีเครื่องมือต้นกำเนิด ผลึกแก้วต้นกำเนิด และวัตถุอื่น ๆ อยู่ข้างในเป็นจำนวนไม่น้อยอีกด้วย แม้ว่าจะไม่มีเครื่องมือระดับศักดิ์สิทธิ์อยู่ในร้าน พวกมันก็ไม่ได้มีเป็นจำนวนมากอยู่แล้ว !

แต่แม้ว่าจะไม่มีเครื่องมือหรือสมบัติศักดิ์สิทธิ์ ร้านเช่นนี้จะต้องมีสมบัติพิเศษอยู่บ้างสิถูกไหม ?

เพียงเพราะร้านค้าไม่ได้มั่งคั่งเท่านิกายแห่งพระแม่ก็ไม่ได้แปลว่ามันจะไม่มีสิ่งที่มีค่าให้ซูเฉินมาเอาไป

แต่ตอนนี้ร้านค้านั้นไม่สามารถกระทั่งจะขายสินค้าของมันชิ้นต่อชิ้นได้ก่อนที่โจรคนหนึ่งจะเข้ามาขโมยพวกมันไปจนหมดสิ้น โจรคนนั้นคงจะไม่ใส่ใจเลยสักนิดว่าเขาได้ทำกำไรไปมากถึงเพียงไรแล้วในตอนนี้

ยิ่งไปกว่านั้น โจรคนนี้ดูจะไม่พึงพอใจกับการปล้นแค่เพียงร้านเดียว เขามุ่งหน้าต่อไปยังร้านถัดไป เขากำลังเคลื่อนกายไปราวกับว่าเขากำลังวางแผนที่จะเข้าปล้นทุกสิ่งอย่างที่อยู่ในสายตา

เยี่ยเสิ่นชางตกตะลึงในการกระทำของ ‘ชุยอวี่คงเหิน’ เขารีบร้อนถาม “เขาปล้นร้านจันทราดับสำเร็จและลอยนวลไปงั้นหรือ ? เขาไม่ได้เผชิญกับการต่อต้านแม้แต่น้อย ? ครั้งสุดท้ายที่ข้าตรวจสอบร้านจันทราดับควรจะมีปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 10 คอยเฝ้ายามสิ ใช่ไหม ?”

“พวกเขาพอมีอยู่บ้างแต่ไม่ใช่ว่าทุกคนถูกเรียกตัวไปยังแนวหน้าหรอกหรือ ? ในตอนนี้พวกเราเป็นเพียงปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 8 ขึ้นไปที่อยู่ในพื้นที่ตรงนี้เท่านั้น” ผู้ใต้บังคับบัญชาคนนั้นตอบ

เมื่อนั้นเองเยี่ยเสิ่นชานึกขึ้นได้ว่าฝ่าบาทได้มีรับสั่งว่าใครก็ตามที่แข็งแกร่งกว่าทั่วไปต้องไปรายงานตัวอย่างยังแนวหน้า ดังนั้นแล้วในตอนนี้มีผู้ฝึกตนเหลือจำนวนไม่มาก ปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับสูงยิ่งแล้วใหญ่ และถึงอย่างนั้นบางส่วนที่ยังคงอยู่ก็ไม่สามารถเทียบเคียงซูเฉินได้แม้แต่น้อย พวกเขามีหน้าที่เพียงรักษาความสงบเรียบร้อยภายในบ้านเมืองและไม่ได้มีส่วนในการต่อสู้จริง ๆ มากนัก

นี่เป็นคำอธิบายว่าทำไมมันจึงรู้สึกเหมือนว่าพื้นที่ระดับสูงนั้นว่างเปล่า มันว่างเปล่าจริง ๆ!

“ตอนนี้เราควรทำอย่างไรดี ท่านเยี่ยเสิ่น ?”

หลังจากครุ่นคิดไม่นาน เยี่ยเสิ่นชางก็พูดขึ้น “ชุยอวี่คงเหินตัวปลอมนี่เป็นบุคคลสำคัญที่โด่งดังเป็นอย่างมาก ข้าไม่สามารถตัดสินใจได้จนกว่าข้าจะประชุมกับฝ่าบาทอีกครั้ง ตอนนี้ยังไม่ต้องสนใจเขา”

ขณะที่พูดเขาก็รีบรุดไปเข้าพบหยงเยี่ยหลิวกวง

ซูเฉินยังคงปล้นสะดมเมืองอย่างอิสระและมีความสุข

ใช่ ! เขากำลังปล้นพื้นที่นี้และกำลังทำเช่นนั้นโดยถูกทิ้งไว้ด้วยความประมาท

การจู่โจมของเทพอสูรได้ให้โอกาสที่ยิ่งใหญ่แก่ซูเฉิน

หยงเยี่ยหลิวกวงสามารถเพิ่มระดับการรักษาความปลอดภัยในพระราชวัง คลังสมบัติ และตำแหน่งสำคัญทางยุทธศาสตร์อื่น ๆ ได้ แต่เขาจะสามารถทำเช่นนั้นในพื้นที่ที่เป็นของคนธรรมดาได้หรือ ?

ในสงคราม มันสำคัญเสมอที่จะโจมตีคู่ต่อสู้ในจุดบอดของพวกเขา

โดยธรรมชาติแล้ว พื้นที่ระดับสูงนี้เป็นหนึ่งในจุดบอดของหยงเยี่ยหลิวกวง

แน่นอนว่าแผนการของซูเฉินคือการได้รับผลประโยชน์ต่อตัวเองกระทั่งขณะที่กระทุ้งจุดอ่อนของฝ่ายตรงข้าม เพียงแค่การทำลายล้างนั้นไม่ได้มีค่ามากนักสำหรับซูเฉิน ไม่อย่างนั้นเขาก็คงไม่ต่างไปจากเค่อเหลยซีต๋า… เป็นอาชญากรนั่นเอง

ซูเฉินได้เลือกที่จะปล้นเขตแดนระดับสูงด้วยเหตุผลอื่นบางอย่างเช่นกัน

ในตอนนี้ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของซูเฉินคือเค่อเหลยซีต๋าได้จับตาดูตำแหน่งของเขาและรู้ว่าเขาอยู่ที่ใดตลอดเวลา

หากไร้ซึ่งวิชาภูติลั่นแสง ซูเฉินคงได้เสียชีวิตไปหลายต่อหลายครั้งแล้ว

แต่ถึงอย่างนั้น เพราะเค่อเหลยซีต๋าสามารถติดตามตำแหน่งเขาได้ ปัญหาก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

เมื่อเผ่าปักษาได้ตัดสินใจที่จะเคลื่อนไหวแล้ว อย่างการจับกุมตัวจูเซียนเหยาหรือหากพวกเขาพบวิธีการที่จะจำกัดประสิทธิภาพภูติลั่นแสงของเขา พวกเขาก็จะตามหาตัวซูเฉินในทันที

ใช่ มันคือข้อเท็จจริงว่าพวกเขากำลังจะขัดแย้งกันอย่างหนักไม่ช้าก็เร็ว

แต่ตามคำอธิบาย ซูเฉินไม่ได้วางแผนที่จะนั่งอยู่เฉย ๆ และรอให้พวกเขาจับตัวไป

หากอีกฝ่านยินดีที่จะมาตามหาเขาด้วยตัวเอง นั่นหมายความว่าตำแหน่งฝ่ายรุกได้ตกเป็นของพวกเขาแล้ว และพวกเขาก็เป็นผู้ควบคุมจังหวะของสงครามนี้

หากซูเฉินต้องการที่จะหลบหนีไปจากสถานการณ์เช่นนี้ เขาจำเป็นต้องหาวิธีการที่จะหลีกเลี่ยงการติดตามตำแหน่งของเค่อเหลยซีต๋าให้ได้เสียก่อน

และวิธีที่ดีที่สุดในการหาคำตอบในการแก้ไขปัญหานี้นั้นเรียบง่ายทีเดียว ด้วยการสังเวย !

เขาจะใช้การสังเวยเพื่อหาวิธีการที่เค่อเหลยซีต๋าติดตามตำแหน่งของเขา

นี่เป็นวิธีการที่เรียบง่ายและมีประสิทธิภาพมากที่สุด ซูเฉินไม่ได้ทำเช่นนั้นมาก่อนเพียงเพราะเขาไม่มีผลึกแก้วต้นกำเนิดมากพอ แต่ตอนนี้เมื่อเขาอยู่ในเมืองล่องนภา ซูเฉินได้ค้นพบว่าเขาถูกห้อมล้อมไปด้วยทรัพยากรมหาศาล

นักการทูตได้นำผลึกแก้วต้นกำเนิดจำนวนมากมากับเขาด้วย แต่เนื่องจากการคาดเดาที่เกี่ยวข้องกับความลับของปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับตำนานด้วย ซูเฉินจึงจำเป็นต้องคิดหาวิธีที่จะได้รับพวกมันมาเพิ่ม

และวิธีการที่ง่ายที่สุดก็คือแค่หยิบมันมาเท่านั้น !

เขตแดนระดับสูงนั้นเต็มไปด้วยชนชั้นสูง ร้านค้าทั้งหมดที่นั่นจึงมีทรัพยากรมากมายหลายชนิดไปตามธรรมชาติ

ทรัพยากรเทียบเท่าได้กับความร่ำรวย และความร่ำรวยก็เท่ากับความแข็งแกร่ง !

การโลภนั้นเป็นสิ่งจำเป็นในโลกใบนี้ เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่จะเปลี่ยนความร่ำรวยให้เป็นความแข็งแกร่งส่วนบุคคลได้

ซูเฉินไม่ลังเลที่จะเริ่มกระบวนการปล้นของเขา

แม้ว่าเขาจะต้องการเพียงแค่ผลึกแก้วต้นกำเนิด ซูเฉินก็ไม่ถือสาที่จะหยิบสิ่งของดี ๆ ชิ้นอื่นที่เขาพบระหว่างทางติดตัวมาด้วย อย่างไรแล้วเขาก็มีแหวนต้นกำเนิดอยู่มหาศาลเพราะเขาเคยใช้พวกมันในการเก็บทรัพยากรสำหรับทั้งกองทัพกำลังสวรรค์ไว้เป็นเวลาไม่น้อยเลย เมื่อเทียบกันแล้ว ปริมาณของสมบัติที่ถูกเก็บไว้ในร้านค้าเหล่านี้มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ซูเฉินเดินเตร่เข้าและออกร้านค้าที่แตกต่างกันมากมาย เขาไม่ปล่อยให้เวลาสิ้นเปลืองในการปล้นแต่ละร้านแม้แต่น้อย

วิชาสรรพสิ่งลวงตาถูกใช้เพื่อตัดสินว่าสมบัติซ่อนเร้นอยู่ที่ใด วิชาดาบศิราทองคำเพื่อบดขยี้แรงต้านใดก็ตาม วิชาหนวดอากาศเพื่อฉกฉวยสมบัติมาอย่างรวดเร็ว ความสามารถเหล่านี้ของซูเฉินดูจะมีประสิทธิภาพไม่น้อยเมื่อถูกนำมาใช้ในการลักทรัพย์

ซูเฉินไม่ได้หยุดกระทั่งเพื่อจะหายใจด้วยซ้ำขณะที่เขาวิ่งพล่านไปทั่วทุกร้านค้า ความชำนาญของเขาสูงอย่างน่าเหลือเชื่อ

ปรมาจารย์อาร์คาน่าบางคนยังคงอยู่และสามารถปกป้องร้านค้าด้วยการพยายามสุดฝีมือในการหยุดยั้งซูเฉิน แต่ดวงตาของพวกเขามองเห็นได้เพียงสีเขียวเท่านั้นในตอนนี้ การกระทำของคนทั้งหมดไร้ประโยชน์ไปโดยสมบูรณ์

ซูเฉินอาละวาดไปทั่วทั้งเมืองราวกับพายุหมุนชั่วร้าย

ซูเฉินทิ้งฝุ่นควันฟุ้งไว้เบื้องหลังขณะที่เขาปล้นสะดมจนหมดสิ้นและหยิบเอาทุกสิ่งอย่างที่เขาพบเห็น ราวกับว่ากำลังมีใครไล่ตามเขาอยู่อย่างนั้น

ที่จริงแล้วนั่นไม่ได้ต่างจากความจริงมากเพราะเผ่าปักษาเหล่านี้จะไม่ให้เวลาชายหนุ่มมากเกินไป

เมื่อหยงเยี่ยหลิวกวงได้ยินรายงานของเยี่ยเสิ่นชาง ท่าทีสงสัยก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา “เขากำลังปล้นสะดมพื้นที่ระดับสูงหรือ ?”

“ใช่ ! เขากำลังเข้ากวาดล้างไปทั่วทั้งพื้นที่ เขาดูจะไม่หลงเหลือสิ่งใดในเส้นทางไว้เลยแม้แต่น้อย” เยี่ยเสิ่นชางตอบ

“ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือ ? ชายคนนี้เป็นโจรชั่วร้าย ! เขาขโมยของทุกที่ที่เขาไป ! คลังสมบัติของอวี้ชิงหลาน สำนักงานใหญ่ของมือแห่งโชคชะตา สถาบันประทีปแห่งจิตวิญญาณ และยังนิกายแห่งพระแม่อีก เขาช่างไร้ความเมตตาสิ้นดี !” เค่อเหลยซีต๋าสบถด่าผ่านซี่ฟันที่ขบแน่น

หยงเยี่ยหลิวกวงดูแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง “พวกเราจะฟื้นฟูสมบัติทั้งหลายที่เราสูญเสียไปสักวันหนึ่ง ตราบใดที่เขายังไม่ออกไปจากเมือง ทุกอย่างก็ยังเจรจาต่อรองได้ แต่แนวคิดที่ชั่วร้ายและโหดเหี้ยมของเขานั้นหายากทีเดียว มันเป็นเพียงความโลภจริง ๆ หรือ ? หรือเขาจะมีเป้าหมายอื่น ?”

หลังจากใช้เวลาครุ่นคิด หยงเยี่ยหลิวกวงก็พูด “ข่าเต๋อเหวยเอ่อร์ เจ้าควรไปเยี่ยมเยียนเขาสักหน่อย แต่อย่าลืมที่จะปิดบังตัวตนด้วยละ”

“เขารู้ตัวตนของข้าอยู่แล้ว” เค่อเหลยซีต๋ากล่าว

“มันเพียงพอแล้วตราบใดที่เจ้าไม่ยอมรับมัน” หยงเยี่ยหลิวกวง กล่าวตอบ