บทที่ 2909 ปองร้ายเทพผู้สร้างโลก
“ในอาณาจักรมารมีผู้ที่วรยุทธ์สูงกว่าจอมมารทั้งหมดแปดสิบแปดคน แปดสิบแปดคนนี้ล้วนมีกำลังพอจะสังหารจอมมารได้ทั้งสิ้น สอง ตอนที่จอมมารเกิดเหตุเป็นช่วงรุ่งสาง ตอนนั้นคนส่วนใหญ่ล้วนกำลังพักผ่อนอยู่ คนที่ไม่อาจให้หลักฐานยืนยันที่อยู่ได้ มีอยู่มากมายเกินไปจริงๆ หรือว่าล้วนเป็นคนร้ายกันหมด? สาม ข้าไม่ได้หายตัวไป แต่ถูกคุณชายผู้นี้ลักพาตัวมากักขังไว้ใต้แม่น้ำธารทมิฬแห่งนี้ สี่ คำพูดทั้งหมดขององครักษ์คนนั้นก็ยังไม่แน่ว่าจะเชื่อถือได้ หากว่าเขาถูกคนที่มีจิตแอบแฝงบางกลุ่มซื้อตัวไป ให้การโป้ปดเพื่อใส่ร้ายข้าก็ได้! ส่วนเรื่องปิ่น หลายวันก่อนข้าทำปิ่นหายไปเล่มหนึ่งจริงๆ เนื่องจากไม่ได้มีราคาค่างวด จึงไม่เก็บมาใส่ใจ ตอนนี้ดูเหมือนจะถูกใครบางคนจงใจขโมยไป ใช้มันมาให้ร้ายข้า ข้อสุดท้าย ข้าขอบอกกล่าวให้ชัดเจน ข้าไม่มีแรงจูงใจที่จะต้องสังหารจอมมารเลย!”
เธอโต้แย้งอย่างมีเหตุมีผล ผู้สำเร็จราชการถูกเธอย้อนถามจนผงะไปครู่หนึ่ง
“เถียงข้างๆ คูๆ!” ท่านหญิงน้อยร้องขึ้นมา เอ่ยอย่างเกรี้ยวโกรธ “เจ้ามีแรงจูงใจอย่างแน่นอน ท่านจอมมารเคยคิดจะจับคู่ให้ท่านหญิงอย่างข้ากับท่านราชครู เจ้าย่อมไม่พอใจเป็นแน่ ถึงได้เกิดความคิดจะก่อกบฏขึ้น เกรงว่าท่านราชครูตี้ก็คงจะคิดเช่นนี้เหมือนกัน ดังนั้นถึงได้คิดหาสารพัดวิธีเพื่อตามตัวเจ้า จับกุมเจ้าเสีย!”
กู้ซีจิ่วยิ้มแล้ว มองไปที่ตี้ฝูอี “ที่แท้เจ้าก็ตามหาข้าด้วยเหตุนี้รึ?”
ตี้ฝูอีก้าวออกมาทันที เอ่ยว่า “ผู้ที่ลอบปลงพระชนม์จอมมารไม่ใช่นาง! เหตุผลที่สองวันมานี้ข้าไม่ได้อธิบายให้กระจ่าง เพราะทราบดีว่านางตกอยู่ในกำมือของพวกเจ้าแล้ว เกรงว่าจะเกิดอันตรายต่อนาง ดังนั้นถึงได้ไม่เปิดโปงพวกเจ้า ตอนนี้ในเมื่อนางปลอดภัยดี เช่นนั้นข้าก็ไม่มีอันใดให้พะวงแล้ว มิใช่ว่าทุกคนต้องการตามหาผู้ร้ายตัวจริงที่สังหารจอมมารมาโดยตลอดหรอกหรือ? ความจริงทุกอย่างล้วนอยู่ในนี้แล้ว”
เขาหยิบสังข์กักเสียงสีฟ้าอ่อนอันหนึ่งออกมา กดเปิด บทสนทนาของคนมากมายแว่วออกมาจากด้านใน…
เป็นบทสนทนาเดิมชุดนั้นที่กู้ซีจิ่วบันทึกมาจากห้องลับของผู้สำเร็จราชการในวันนั้น เสียงของทุกคนล้วนชัดเจนยิ่ง เหล่าขุนนางใหญ่ทั้งหมดที่พอคุ้นเคยกับพวกเขาอยู่บ้าง ฟังแวบเดียวก็แยกแยะเสียงของพวกเขาออกแล้ว…
ผู้ที่มาชุมนุมกันอยู่ที่แม่น้ำธารทมิฬไม่ได้มีเพียงขุนนางราชสำนักเท่านั้น มีราษฎรชาวมารนับไม่ถ้วนอยู่ด้วย ทุกคนล้วนได้ยินกันอย่างแจ่มแจ้ง
เสียงภายในสังข์กักเสียงเพิ่งจะแว่วออกมาได้ไม่กี่ประโยค ผู้สำเร็จราชการรวมถึงกลุ่มคนที่อยู่ใต้สังกัดของเขาต่างหน้าเปลี่ยนสีกันหมดแล้ว!
แม้แต่ใบหน้าหล่อเหลาของเมิ่งอู๋หยาก็ซีดขาวแล้วเช่นกัน
“ของปลอม! นี่เป็นของปลอมที่สร้างขึ้นมา!” ผู้สำเร็จราชการตะโกนขึ้นด้วยความโกรธ เอ่ยปฏิเสธต่อไปอย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น “ต้องมีคนใส่ร้ายเปิ่นหวางแน่นอน! ถึงได้ปลอมสังข์กักเสียงแบบนี้ขึ้นมา…”
เหล่าขุนนางที่สมคบกับเขาย่อมก็พากันไม่ยอมรับไปด้วย
แต่พวกเขาไม่ยอมรับก็ส่วนไม่ยอมรับ ทว่าเหล่าประชาชนกลับไม่เชื่อถือเป็นจริงเป็นจังขนาดนั้น ถึงอย่างไรเสียงที่อยู่ด้านในก็ชัดเจนยิ่ง
อีกอย่างพวกเขาก็ไม่เคยได้ยินเลยว่าสังข์กักเสียงสามารถปลอมแปลงกันได้…
หลายปีมานี้ผู้สำเร็จราชการกุมอำนาจปกครอง จอมมารอดทนกล้ำกลืนอยู่ภายใต้การควบคุมของเขามาโดยตลอด
หลังจากตี้ฝูอีมาถึงจอมมารก็ไม่เชื่อฟังการจัดการของผู้สำเร็จราชการเท่าไหร่แล้ว ซ้ำยังโต้เถียงกันในท้องพระโรงต่อหน้าเหล่าขุนนางยกหนึ่งด้วย เรื่องนี้แพร่กระจายออกไปจนแทบรู้กันทั่วแล้ว ดังนั้นหากว่าผู้สำเร็จราชการลอบปลงพระชนม์จอมมารขึ้นมา แล้วแต่งตั้งจอมมารองค์ใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลย
ยิ่งไปกว่านั้นคือหลังจากจอมมารสิ้นพระชนม์ ผู้สำเร็จราชการก็ยกเอาเหตุผลว่า ‘อาณาจักรไม่อาจขาดราชันได้แม้เพียงวันเดียว’ มาอ้างอยู่ตลอด ต้องการหนุนหน่อเนื้อของจอมมารที่อายุยังไม่เต็มสามชันษาเลยผู้นั้นขึ้นมาสืบทอดบัลลังก์ หากมิใช่ตี้ฝูอีให้เหตุผลว่า ‘หนี้แค้นปลิดชีพจอมมารยังมิทันได้ชำระ ไหนเลยจะพูดถึงเรื่องแต่งตั้งราชันองค์ใหม่ได้?’ โต้แย้งกลับไป
อย่างไรก็ตามสำหรับที่นี่แล้วฐานะของตี้ฝูอี ได้รับความเคารพรักจากปวงชนอย่างล้ำลึก ทุกอย่างที่เขาพูดยังคงมีน้ำหนักยิ่ง ประกอบกับขุนนางที่เหลือก็เห็นด้วยกับวิธีของตี้ฝูอี ผู้สำเร็จราชการจึงต้องตอบตกลง
————————————————————————————-
บทที่ 2910 ปองร้ายเทพผู้สร้างโลก 2
เขาวางแผนต่อกู้ซีจิ่วมานานแล้ว เมื่อสบจังหวะที่เธออยู่ลำพัง จึงส่งบุตรชายไปลักพาตัวเธอแล้วนำไปซ่อนไว้ จากนั้นก็ยัดข้อหาคนร้ายลอบปลงพระชนม์จอมมารให้กู้ซีจิ่ว
ตอนนั้นตี้ฝูอีก็ไม่ได้พูดจาเป็นอื่นเลย คล้ายว่าจะยอมรับคำพูดของเขาโดยปริยายแล้ว เพียงกล่าวว่าหาคนให้พบก่อนแล้วค่อยว่ากัน ขอเพียงมีหลักฐานว่ากู้ซีจิ่วเป็นผู้สังหารจอมมารจริงๆ เขาไม่มีทางปล่อยผ่าน จะตัดสินโทษนางด้วยตัวเอง
และเนื่องจากท่าทางนี้ของตี้ฝูอี ผู้สำเร็จราชการถึงได้โล่งอก แสร้งบากบั่นตามหาที่อยู่ของกู้ซีจิ่วกับตี้ฝูอีไปทั่วหล้า
ตี้ฝูอียังคงมีความสามารถยิ่งนัก ผ่านไปสองวันก็สืบสาวมาจนถึงแม่น้ำธารทมิฬแห่งนี้ได้แล้ว ตัดสินชี้ขาดว่ากู้ซีจิ่วอยู่ในแม่น้ำธารทมิฬ
ถึงแม้แม่น้ำธารทมิฬจะเป็นแม่น้ำที่ดุร้ายสายหนึ่ง แต่ในสายตาของชาวภพมารเป็นเสมือนแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์สายหนึ่ง ปกติแล้วไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าใกล้เลย
คนที่สามารถเข้าใกล้ที่นี่ได้มีอยู่สองประเภทเท่านั้น หนึ่งคือนักรบของภพมาร เพื่อพิสูจน์ถึงความแกร่งกร้าวห้าวหาญของตัวเอง จะต้องไปล้างมือริมแม่น้ำรอบหนึ่ง หากว่าไม่ถูกจิตมารในน้ำลากลงไป นั่นแสดงว่าได้รับการยอมรับจากเทพมารแล้วว่าห้าวหาญจริงๆ จะได้รับความเคารพยกย่องจากประชาชน ถ้าตรงกันข้ามก็จะไม่เหลือแม้แต่โครงกระดูก สองคือผู้ถูกสังเวย เป็นคนที่ถูกสังเวยให้แก่จิตมารภายในแม่น้ำ
นอกเหนือไปจากนี้แล้ว ผู้ใดก็ไม่อาจลงสู่แม่น้ำได้ทั้งสิ้น มิเช่นนั้นจะเป็นการล่วงเกินไม่เคารพภพมารทั้งภพ จะต้องถูกเผ่ามารทั้งหมดไล่ล่าสังหาร
เนื่องจากตี้ฝูอีต้องการตรวจสอบที่นี่ ย่อมดึงดูดความไม่พอใจจากชาวเผ่ามารมากมายนับไม่ถ้วน ทุกคนต่างพากันมาขัดขวาง สองฝ่ายพิพาทโต้แย้ง
ถึงแม้ตี้ฝูอีจะร้อนใจดั่งไฟผลาญ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าไม่อาจใช้ไม้แข็งได้ มิเช่นนั้นถ้าล่วงเกินเผ่ามารทั้งหมด ก็ยังไม่แน่ว่าเขาจะไปถึงก้นแม่น้ำได้
ดังนั้นเขาจึงเดิมพันกับผู้สำเร็จราชการ บอกว่าถ้าหากเขาหาตัวกู้ซีจิ่วที่ด้านล่างไม่พบ จะถอนตัวออกจากภพมารทันที และรับประกันว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่สอดมือเข้ามายุ่งกับเรื่องราวในเผ่ามารอีก
เงื่อนไขนี้สั่นคลอนจิตใจของผู้สำเร็จราชการยิ่ง แต่เขาก็ทราบดีว่ากู้ซีจิ่วอยู่ในแม่น้ำ หากปล่อยตี้ฝูอีลงไปที่ก้นแม่น้ำ อาจจะถูกเขาหาพบจริงๆ
ดังนั้นเขาจึงยังหาสารพัดเหตุผลมาขัดขวางอยู่เช่นเดิม
กลับเป็นเหล่าขุนนางในสังกัดของเขาเหล่านั้นที่ไม่ทราบถึงเส้นสนกลใน รู้สึกว่านี่คือโอกาสดีที่จะได้ขับไล่ตี้ฝูอีไป จึงพากันเรียกร้องขอให้ผู้สำเร็จราชการตอบตกตลง
หากว่าผู้สำเร็จราชการยังไม่เห็นด้วยต่อไปอีก จะสูญเสียความไว้วางใจจากผู้คน และเห็นได้ชัดว่ามีมารอยู่ในใจ
ประเหมาะบังเอิญที่ฟั่นเชียนซื่อศิษย์ของเทพผู้สร้างโลกรวมถึงสาวใช้เดินทางมาพอดี ฐานะของเขาก็สูงส่งเพียงพอเช่นกัน เขาอาสาตัวเป็นคนกลางไกล่เกลี่ย ประกอบกับตี้ฝูอีก็รับปากแล้ว ต่อให้หาตัวกู้ซีจิ่วพบที่นี่ เขาก็จะไม่ผ่อนผันให้ หากว่าจอมมารถูกเธอสังหาร เขาก็ยอมให้ดำเนินคดีตามกฎหมายของภพมาร
เนื่องจากการเดิมพันนี้ยิ่งใหญ่เกินไป บ้าระห่ำเกินไป ดังนั้นริมฝั่งแม่น้ำจึงมีคนมารวมตัวกันมากมายถึงเพียงนี้
ความจริงได้พิสูจน์แล้ว ตี้ฝูอีเป็นฝ่ายถูก กู้ซีจิ่วโผล่ขึ้นมาจากแม่น้ำสายนี้จริงๆ แถมยังมีเมิ่งอู๋หยาตามขึ้นมาอีก
ชัดเจนยิ่งนัก เมิ่งอู๋หยาอยู่ด้วยกันกับกู้ซีจิ่ว กล่าวอีกอย่างก็คือ ความเป็นไปได้สูงยิ่งที่เมิ่งอู๋หยาคือผู้ลักพาตัวกู้ซีจิ่ว
ฝูงชนจึงเชื่อถือทั้งหมดที่ตี้ฝูอีกล่าวมา ยิ่งไปกว่านั้นคือในมือตี้ฝูอีมีหลักฐานชิ้นสำคัญอยู่ ระดับความน่าเชื่อถือจึงเพิ่มสูงขึ้นไปอีก
สายตานับไม่ถ้วนมองไปที่ผู้สำเร็นราชการ สีหน้าผู้สำเร็จราชการทึบทะมึนปานศิลา เขาทราบดีว่าสถานการณ์จากฝั่งของประชาชนไม่เป็นผลดีต่อตัวเขา ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาก็ได้เตรียมพร้อมเอาไว้อย่างเต็มที่แล้ว
ถึงอย่างไรภพมารก็เป็นอาณาเขตของเขา ต่อให้ตี้ฝูอีมีความสามารถมากแค่ไหน ก็ไม่กล้าก่อศึกกับทั้งภพมาร!
เขามองไปที่ตี้ฝูอี เริ่มโต้กลับตี้ฝูอีแล้ว “ราชครูตี้ ตอนนี้เจ้าไม่ใช่คนของภพมารเรา ทว่าสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องในภพมาร ต้องมีจิตคิดเป็นอื่นแน่ เจ้ามีใจทะเยอทะยานอยากจะควบคุมภพมารกระมัง?! หรือกล่าวได้ว่าเจ้าคิดจะควบคุมหกภพ ตั้งตนเป็นราชันของหกภพ!”