บทที่ 1878 ผู้กอบกู้โลก

Reverend Insanity เทพปีศาจหวนคืน

เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1878 ผู้กอบกู้โลก

 

ถ้ําสวรรค์นักรบอสูร เมืองอินทรีย์ศักดิ์สิทธิ์

 

ในแง่ของขนาด เมืองอินทรีย์ศักดิ์สิทธิ์ใหญ่โตกว่าเมืองภูผามาก เมืองภูผาเป็นเพียงเมืองย่อยแต่เมืองอินทรีย์ศักดิ์สิทธิ์เป็นหนึ่งในเมืองหลัก

 

ในชีวิตก่อนหน้า เมื่อฟางหยวนเข้ามาในถ้ําสวรรค์นักรบอสูร เขากลายเป็นปีศาจหัววัวและโจมตีเมืองอินทรีย์ศักดิ์สิทธิ์เป็นเมืองแรก

 

ในชีวิตนี้ ตอนนี้เมืองอินทรีย์ศักดิ์สิทธิ์ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายอีกครั้ง

 

เมืองทั้งหมดกลายเป็นหนองบึง จระเข้ปฐพีสีเหลืองจํานวนมากกําลังไล่ล่าชาวเมือง

 

นักรบอินทรีย์ปกป้องสถานที่แห่งนี้และได้รับบาดเจ็บสาหัส

 

“มันกลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?” นักรบอินทรีย์นอนอยู่ในบ่อโคลนและมองผู้คนของเขาถูกสังหาร

 

ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าวันหนึ่งสัตว์ร้ายฝูงนี้จะบุกโจมตีเมืองอินทรีย์ศักดิ์สิทธิ์อย่างกะทันหัน

 

ก่อนหน้านี้มันยังเงียบสงบแต่หลังจากไม่นานมันกลับกลายเป็นโรงฆ่าสัตว์!

 

“ไม่ ข้าไม่สามารถให้สิ่งนี้เกิดขึ้น ข้าต้องหยุดพวกมัน!” นักรบอินทรีย์พยายามลุกขึ้น แต่อาการบาดเจ็บของเขาร้ายแรงเกินไป นั่นทําให้เขาล้มลงอีกครั้ง

 

ขณะที่เขากําลังจะล้มลงบนพื้น แขนของบางคนพุ่งเข้ามาคว้าร่างของเขาเอาไว้

 

“ท่านลุงอินทรีย์ ท่านสู้ไม่ไหวแล้ว หากท่านยังฝืนตัวเอง ท่านอาจตาย” เสียงของเด็กหนุ่มดังขึ้น

 

นักรบอินทรีย์หันหน้าไปทางเด็กหนุ่มที่ช่วยเขาและเผยรอยยิ้มขมขึ้น “เสี่ยวตู๋ ขอบใจมากที่ช่วยข้า แต่ข้าเป็นเจ้าเมืองอินทรีย์ศักดิ์สิทธิ์ ข้าไม่สามารถมองดูสัตว์ร้ายเหล่านั้นทําลายล้างเมืองและชาวเมืองของข้า”

 

“ท่านลุง ให้ข้าทํา!” เจิ้งปู้ตู๋กล่าวอย่างจริงจัง

 

“เจ้า?” นักรบอินทรีย์มองบาดแผลบนหน้าอกของเจิ้งปู้ตู๋และสายศีรษะ “เสี่ยวตู๋ เจ้าไม่ใช่สมาชิกเมืองอินทรีย์ศักดิ์สิทธิ์ เจ้ามาที่นี่เพราะข้าเชิญเจ้ามาเที่ยวชมเมืองของเรา แต่เจ้ากลับได้รับบาดเจ็บเพราะช่วยชีวิตข้า เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกมันรีบไปเดี๋ยวนี้!”

 

“ไม่ ข้าไม่ไป ข้าต้องการต่อสู้เคียงข้างท่านลุง มาปราบสัตว์ร้ายเหล่านี้ด้วยกันเถอะ” เจิ้งปู้ตู๋ส่ายศีรษะ

 

หัวใจของนักรบอินทรีย์สั่นไหว เขาตบไหล่เจิ้งปู้ตู๋และกล่าวด้วยความยินดี “เจ้าเมืองภูผามีศิษย์ที่ดีจริงๆ เหตุใดข้าไม่มีศิษย์เช่นนี้บ้าง? เสียวตู๋ เจ้ายังเด็กเกินไป เจ้ามีอนาคตที่สดใสรออยู่ เจ้าจะตายที่นี้ไม่ได้ หลังจากที่เจ้าออกจากที่นี่แล้ว รอกําลังเสริม และกลับมานําศพของข้ากลับไป จําไว้ ฝังศพของข้าไว้ในสวน”

 

“ท่านลุง!” ดวงตาของเจิ้งปู้ตู๋เปลี่ยนเป็นสีแดง เขาแทบไม่สามารถกลั้นน้ําตาเอาไว้และไม่สามารถกล่าวสิ่งใดออกมา

 

“ไปเร็ว!” นักรบอินทรีย์ดึงมือของเจิ้งปู้ตู๋ออกและบินขึ้นสู่ท้องฟ้า

 

“ผู้อมตะของที่นี่แตกต่างจากโลกภายนอกจริงๆ พวกเขายินดีเสียสละชีวิตของตนเพื่อปกป้องคนอื่น เจิ้งปู้ตู๋ คิด

 

“แต่มันไร้ประโยชน์ อินทรีย์แรกกําเนิดตัวนี้ถูกสร้างขึ้นโดยร่างหลักของข้าเพื่อจัดการเจ้าโดยเฉพาะ”

 

หลังจากเจิ้งปู้ตู๋ได้รับคําเชิญจากนักรบอินทรีย์ เขาแจ้งข่าวกับร่างหลักและวางกับดักนี้ทันที

 

นี่เป็นโอกาสที่ดี

 

เนื่องจากมรดกที่แท้จริงของถ้ําสวรรค์นักรบอสูรถูกแยกออกเป็นหลายส่วนและเก็บไว้ในเมืองหลักหลายเมือง

 

หากไม่มีเหตุผลที่เหมาะสม เจิ้งปู้ตู๋จะไม่สามารถเข้าใกล้มรดกที่แท้จริงเหล่านั้น

 

เขาต้องการโอกาสและตอนนี้นักรบอินทรีย์ก็กําลังมอบโอกาสนั้นให้กับเขา

 

นักรบอินทรีย์ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอินทรีย์แรกกําเนิด เขาตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างรวดเร็ว

 

อินทรีย์แรกกําเนิดจิกนักรบอินทรีย์จนเกือบตาย ในช่วงเวลาแห่งชีวิตและความตาย เจิ้งปู่ต์ก็ช่วยชีวิตเขาไว้อีกครั้ง

 

“เสียวตู๋ เหตุใดยังไม่ไป!” นักรบอินทรีย์ตกใจและกังวลมาก

 

“ท่านลุง ข้าจะทนเห็นท่านตายได้อย่างไร? ข้าจะปล่อยให้ทุกคนในเมืองตกอยู่ในอันตรายได้อย่างไร? แม้ข้าต้องสละชีวิต ข้าก็จะสู้จนถึงที่สุด!” เจิ้งปู้ตู๋กล่าวด้วยความมุ่งมั่น

 

“เสี่ยว…” นักรบอินทรีย์กลายเป็นพูดไม่ออก ตอนนี้เขาอ่อนแอมาก เขาคืนร่างเป็นมนุษย์แล้วและอยู่ในกรงเล็บของเจิ้งปู้ตู๋

 

เจิ้งปู้ตู๋ต่อสู้กับอินทรีย์แรกกําเนิด แน่นอนว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน แต่ในช่วงเวลาสําคัญเขายังสามารถล่าถอย

 

นักรบอินทรีย์มองเจิ้งปู้ตู๋ที่ต่อสู้อย่างกล้าหาญโดยไม่กลัวตายด้วยความกังวล เมื่อเห็นเจิ้งปู่ตู้ได้รับบาดเจ็บ เขายิ่งรู้สึกปวดใจ

 

เจิ้งปู้ตู๋ช่วยชีวิตนักรบอินทรีย์จากสนามรบสิบสองราศี ตอนนี้เด็กหนุ่มผู้นี้ยังช่วยชีวิตเขาอีกครั้งและต่อสู้เพื่อเมืองอินทรีย์ศักดิ์สิทธิ์อย่างไม่เกรงกลัวต่อความตาย ธรรมชาติของเจิ้งปู่ต์ทําให้นักรบอินทรีย์รู้สึกชื่นชมเด็กหนุ่มผู้นี้อย่างสุดซึ้ง

 

ฟางหยวนโหดเหี้ยมต่อผู้อื่น แต่เขายิ่งโหดเหี้ยมกับตนเอง

 

ในฐานะร่างแยก เจิ้งปู้ตู๋มีนิสัยและบุคลิกเดียวกัน

 

เจิ้งปู้ตู๋พึ่งกลายเป็นผู้อมตะ เขาเป็นนักรบอสูรที่อายุน้อยที่สุด ด้วยเหตุผลทั้งหมดเขาจึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอินทรีย์แรกกําเนิด ในไม่ช้าเขาก็ถูกอินทรีย์แรกกําเนิดตบลงจากท้องฟ้าและตกลงไปในคฤหาสน์ของเจ้าเมือง

 

แน่นอนว่านี่เป็นแผนการของฟางหยวนที่จะส่งเจิ้งปู่เข้าสู่แท่นบูชาใต้ดิน

 

เมื่อนักรบอินทรีย์ที่หมดสติฟื้นขึ้น เขาเห็นเจิ้งปู้ตู๋อยู่ด้านข้าง

 

“ท่านลุง ท่านตื่นแล้ว!” เจิ้งปู้ตู๋มีความสุขมาก

 

นักรบอินทรีย์ดีใจที่เจิ้งปู้ตู๋ยังมีชีวิตอยู่แต่เขายังขมวดคิ้วถาม “ข้าหมดสติไปนานเท่าใด?”

 

“ไม่นาน กําลังเสริมกําลังมา หลังจากอินทรีย์แรกกําเนิดโจมตีพวกเรา มันยังบินอยู่บนท้องฟ้าและไม่ได้ไล่ล่าพวกเรา” เจิ้งปู้ตู๋ตอบ

 

นักรบอินทรีย์ถอนหายใจ “ดูเหมือนเราจะไม่สามารถเอาชนะอินทรีย์ตัวนี้ในการเผชิญหน้าโดยตรง”

 

เจิ้งปู้ตู๋วิเคราะห์ “โชคดีที่อินทรีย์ตัวนี้ไม่ฉลาดนัก หากเราไม่แปลงร่าง มันจะไม่รู้สึกถึงภัยคุกคามจากพวกเรา ดังนั้นมันจึงไม่โจมตีพวกเรา”

 

“เราไม่สามารถแปลงร่างเป็นนักรบอสูรในเวลานี้ เราต้องหาวิธีช่วยชาวเมือง” นักรบอินทรีย์กังวลมาก

 

หากเขาไม่สามารถเปลี่ยนร่างเป็นนักรบอสูร เขาจะไม่สามารถควบคุมสถานการณ์

 

เขาทําได้เพียงต่อสู้กับจระเข้ปฐพีและช่วยชีวิตชาวเมืองที่ละคนเท่านั้น อย่างไรก็ตามวิธีนี้มีประสิทธิภาพต่ำเกินไป

 

แต่พวกเขาไม่มีทางเลือก

 

ในจังหวะที่พวกเขากําลังจะออกไป จระเข้ปฐพีจํานวนหนึ่งกลับเข้ามาปิดกั้นเส้นทางของพวกเขา

 

ท่ามกลางพวกมันมีจระเข้ปฐพีเดียวดายสองตัว

 

นักรบอินทรีย์กับเจิ้งปู้ตู๋ไม่สามารถแปลงร่างเป็นนักรบอสูร พวกเขาไม่สามารถต่อสู้กับจระเข้ปฐพี่เดียวดาย และต้องล่าถอย

 

นักรบอินทรีย์นั่งลงบนพื้นด้วยการแสดงออกที่น่าเกลียด “ดูเหมือนเราต้องรอก่าลังเสริมเท่านั้น ข้าหวังว่าพวกเขาจะมาเร็วๆนี้”

 

“พวกเขาจะไม่มา เจิ้งปู้ตู๋คิดกับตนเอง ตามแผนการของข้า กําลังเสริมจะถูกขัดขวาง ข้ายังมีเวลาดําเนินการตามแผน”

 

แต่ภายนอกเขาขมวดคิ้วและกระแทกกําปั้นลงบนพื้น “บัดซบ! เราต้องรออยู่ที่นี่จนกว่ากําลังเสริมจะมางั้นหรือ? เราอยู่ที่ใด? คือ…เหตุใดจึงมีแท่นบูชาอยู่ที่นี่?”

 

นักรบอินทรีย์ตอบ “เราอยู่ใต้คฤหาสน์เจ้าเมือง สําหรับแท่นบูชานี้…”

 

ก่อนที่เขาจะกล่าวจบ เจิ้งปู้ตู๋กลับกล่าวแทรก “ใต้คฤหาสน์เจ้าเมือง ข้าเข้าใจแล้ว เราสามารถใช้เส้นทางใต้ดินเพื่อหลบหนีจากฝูงจระเข้”

 

นักรบอินทรีย์สายศีรษะ “ไม่มีประโยชน์ พื้นที่ใต้ดินครอบคลุมเฉพาะคฤหาสน์เจ้าเมือง เราไม่สามารถออกไปด้านนอก จระเข้เหล่านี้มีความสามารถในการขุดดินเช่นกัน พวกมันมักอาศัยอยู่ในหนองนา”

 

“บัดซบ!” เจิ้งปู้ตู๋กัดฟันแน่นก่อนกล่าวต่อ “เดี๋ยว! ท่านุลง มันไม่แปลกงั้นหรือ? เหตุใดจระเข้พวกนั้นถึงไม่ เข้ามาโจมตีพวกเรา อินทรีย์แรกกําเนิดอาจภูมิใจในตนเองและไม่สนใจพวกเรา แต่เหตุใดจระเข้เหล่านี้ถึงรออยู่ข้างนอก ดูเหมือนพวกมันพยายามหลีกเลี่ยงบางสิ่ง”

 

นักรบอินทรีย์ยิ้ม “เสี่ยวตู๋ เจ้าช่างสังเกตนัก ถูกต้อง แต่อย่าหวังมากเกินไป จระเข้เหล่านี้ไม่สามารถเข้ามา เพราะแท่นบูชานี้ ตํานานกล่าวว่าราชาอสูรรุ่นแรกสร้างที่นี่ขึ้นมาด้วยตนเอง เขาผนึกพลังส่วนหนึ่งไว้ที่นี่”

 

“ท่านราชาอสูรรุ่นแรก เหตุใดท่านถึงผนึกพลังของตนเองไว้ที่นี่?” เจิ้งปู้ตู๋ถาม

 

“ดูเหมือนเขาต้องการมอบมันให้ผู้สืบทอด มีแท่นบูชาเช่นเดียวกันนี้อยู่ในเมืองหลักอื่นๆเช่นกัน ผู้ใดก็ตามที่สามารถรวบรวมพลังทั้งหมด คนผู้นั้นจะได้รับความแข็งแกร่งของราชาอสูรรุ่นแรก!” นักรบอินทรีย์กล่าว

 

เจิ้งปู้ตู๋กระพริบตาหลายครั้ง “เช่นนั้นเหตุใดเราไม่ใช้พลังนี้ปราบสัตว์ร้ายที่อยู่ข้างนอก?”

 

นักรบอินทรีย์เผยรอยยิ้มขมขื่น “ไร้ประโยชน์ นี่เป็นเพียงข่าวลือ ไม่มีบันทึกเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้คนมากมายเคยทดลองแต่ไม่มีผู้ใดประสบความสําเร็จ อย่างไรก็ตามแท่นบูชาเหล่านี้มีพลังบางอย่างจริงๆ”

 

นักรบอินทรีย์เห็นเจิ้งปู้ตู๋ตื่นเต้น เขาหัวเราะ “หากเจ้าต้องการทดลองก็ลองดู แต่จําคําของข้าเอาไว้ อย่าคาดหวังมากเกินไป อย่าผิดหวังหากไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น”

 

“ทราบแล้ว” เจิ้งปู้ตู๋ตํารับไปที่แท่นบูชา

 

เขาเดินไปรอบแท่นบูชาหลายรอบแต่ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

 

เขาปีนขึ้นไปแต่ยังไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง

 

นี่เป็นสถานการณ์ปกติ

 

แต่ในจังหวะนี้เจิ้งปัตํากลับเริ่มอธิษฐานเสียงดัง “ท่านราชาอสูรรุ่นแรก ข้าไม่รู้จักท่านและไม่เคยพบท่านมาก่อน แต่ขาหวังว่าท่านจะช่วยพวกเรา สัตว์อสูรกําลังทําร้ายผู้คนข้างนอก ทุกวินาที่มีคนเสียชีวิต ข้าขอร้องท่าน หากท่านได้ยินข้าจากสวรรค์ โปรดทำบางสิ่ง!”

 

เจิ้งปู้ตู๋กล่าวดังขึ้นเรื่อยๆและหลั่งน้ําตาในตอนจบ

 

“เสี่ยวตู๋…เจ้าเป็นเด็กดีจริงๆ” ดวงตาของนักรบอินทรีย์เปลี่ยนเป็นสีแดงเช่นกัน เขารู้สึกสะเทือนใจมากทันใดนั้น…

 

แสงสีขาวพลันแผ่พุ่งออกมาจากแท่นบูชาและปกคลุมร่างของเจิ้งปู้ตู๋เอาไว้

 

“อา…” นักรบอินทรีย์เบิกตากว้าง เขาอ้าปากและรู้สึกพูดไม่ออก “เกิดสิ่งใดขึ้น?”

 

“บึม!”

 

แสงสีขาวหลอมรวมเข้ากับร่างของเจิ้งปู้ตู๋ขณะที่แท่นบูชาแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

 

“เสี่ยวตู๋!?” นักรบอินทรีย์ตกใจ

 

อย่างไรก็ตามเจิ้งปู้ตู๋กลับเดินกลับมาด้วยรอยยิ้ม “ท่านลุง ท่านพูดถูก ข้าได้รับสืบทอดพลังส่วนหนึ่งของท่านราชาอสูรรุ่นแรกแล้ว!”

 

“ปาฏิหาริย์! นี่คือปาฏิหาริย์!” นักรบอินทรีย์เงยหน้าขึ้นสู่ท้องฟ้าและแสดงออกอย่างมีความสุข

 

เขาหัวเราะและมองเจิ้งปู่ต์ด้วยความตื่นเต้น “เสี่ยวตู๋ เจ้าได้รับสืบทอดพลังของราชาอสูรรุ่นแรกมาจริงๆ เจ้ารู้หรือไม่ว่านี้หมายความว่าอย่างไร?”

 

“มันหมายความว่าอย่างไร?” เจิ้งปู้ตู๋ไม่เข้าใจ

 

“มันหมายความว่าเจ้าคือผู้สืบทอดของเขา เจ้าจะเป็นราชาอสูรคนใหม่! ไม่ เจ้าจะกลายเป็นผู้กอบกู้โลก!” นักรบอินทรีย์กล่าวด้วยความตื่นเต้น

 

“ถูกต้อง ผู้กอบกู้โลก!”

 

“ผู้กอบกู้โลกเสี่ยวตู๋!”