บทที่ 2923 งานวิวาห์ 7
“สายรัดเอวเส้นนี้ของเจ้าวิปริตเกินไปแล้ว!” กู้ซีจิ่วบ่นพึมพำ
ตี้ฝูอีหัวเราะเบาๆ “ข้าดูแคลนการเหมือนกับผู้อื่นเสมอมา สายรัดเอวย่อมต้องเป็นเช่นนี้”
ร่างที่สูงสง่าปานหยกของเขายืนอยู่ตรงนั้น ยกสองแขนขึ้นในแนวราบ รอให้เธอผูกสายรัดเอวให้เขา
กู้ซีจิ่วมองแผ่นหลังของเขา ไม่ทราบว่าเพราะอะไร จึงได้นึกถึงแผ่นหลังเปลือยเปล่าที่เห็นเข้าโดยไม่เจตนาเมื่อก่อนหน้านี้ขึ้นมา…
หัวใจคล้ายจะเต้นผิดไปครึ่งจังหวะ แต่ก็ก้าวเข้าไปโอบเอวของเขาเพื่อผูกสายรัดเอวให้เขา
กลิ่นอายบนร่างเขากระจ่างละมุน ยามที่เธอโอบเขาไว้เช่นนี้ สามารถสัมผัสถึงเส้นสายมัดกล้ามอันเฉียบบางเรียบลื่นของเขาได้ กลิ่นอายนั้นก็อวลอยู่ที่ปลายจมูก ทำให้หัวใจเธอเต้นผิดไปครึ่งจังหวะอีกครั้ง
แต่หัวใจของเธอคล้ายจะมีความสามารถในการควบคุมจังหวะที่แข็งแกร่งยิ่ง เต้นผิดไปเพียงนิดก็กลับเป็นปกติแล้ว
ตี้ฝูอีพริ้มตาลงนิดๆ คล้ายกำลังจับสัมผัสจังหวะหัวใจของนาง
จังหวะหัวใจของนางหนักแน่นทรงพลัง ไม่มีสัญญาณว่าจะเต้นแรงขึ้นมาเลยสักนิด
นิ้วมือที่อยู่ในแขนเสื้อของเขากำแน่นเล็กน้อย รู้สึกผิดหวังเป็นอย่างยิ่งอีกครั้ง! นางไม่รู้สึกรู้สากับความงามของเขาเลย หัวใจของนางทำมาจากหินผาจริงๆ ใช่หรือไม่? หรือว่าเทพผู้สร้างโลกไร้รักไร้ปรารถนามาตั้งแต่เกิด?
เขารู้สึกอับจนหนทางเสมือนส่งสายตาสื่อความนัยให้คนตาบอดไม่มีผิด
เกรงว่าสุดท้ายแล้วความพยายามทุ่มเทของเขาคงเป็นเพียงบุปผาในคันฉ่องจันทราในวารี…
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาเกิดความคิดจะยอมแพ้แล้ว
มีนิ้วมือเนียนนุ่มห้านิ้วโบกไปมาอยู่เบื้องหน้าเขา “ดึงสติกลับมาได้แล้ว!”
เขาพลันได้สติ มองดวงหน้างามปานบุปผาที่อยู่ตรงหน้า โลหิตอุ่นร้อนพลันท่วมท้นดวงใจ!
ไม่ว่าอย่างไร นางก็สวมชุดวิวาห์ให้เขาแล้ว เขาจึงจับมือของนางไว้ ดึงนางออกก้าวเดิน “ไปเถอะ! ไปกันได้แล้ว! อย่าให้เสียฤกษ์!”
กู้ซีจิ่วตามเขาไม่ทันจริงๆ…
เมื่อครู่เขาโอ้เอ้ต่างๆ นาๆ มาโดยตลอด ตอนนี้ดูเหมือนเขาร้อนรนขึ้นมาอีกแล้ว
เธอคิดจะชักมือตัวเองกลับมาตามสัญชาตญาณ แต่เขาจับเธอไว้แน่น เอ่ยอย่างเคร่งขรึมเป็นงานเป็นการ “ตามธรรมเนียมแล้ว ยามนี้ท่านสมควรจะอุ้มข้าขึ้นรถม้าด้วยซ้ำ ท่านจะอุ้มหรือจะจูงข้าเล่า?”
กู้ซีจิ่วนิ่งไปแล้ว
เธอพลิกมือจับมือเขาไว้ เอ่ยอย่างเป็นจริงเป็นจัง “จูงเอาเถอะ”
ด้วยเหตุนี้ ทั้งสองจึงจับมือกันออกมา
ผู้คนที่รออยู่ด้านนอกกำลังกระสับกระส่าย หวั่นเกรงว่าฝ่ายเจ้าบ้านจะหนีงานแต่งไปแล้ว ตอนนี้พอเห็นพวกเขาทั้งสองจูงมือกันออกมาอย่างสนิทสนมกลมเกลียวเช่นนี้ ล้วนถอนหายใจกันอย่างโล่งอก
ตอนที่ขึ้นรถม้า ตี้ฝูอีตวัดมืออุ้มเธอขึ้นมา กู้ซีจิ่วตกใจ กอดคอเขาไว้ตามสัญชาตญาณ
ฝูงชนที่อยู่รอบข้างอดใจไม่ไหวส่งเสียงฮือฮาร้องว่าดี
‘สมควรเป็นเจ้าบ่าวอุ้มเจ้าสาวขึ้นเกี้ยว ถึงแม้ท่านจะแต่งข้าเข้า แต่ในเมื่อท่านไม่อยากอุ้มข้า เช่นนั้นสลับให้ข้าอุ้มท่านก็เหมือนกัน ไม่อาจเสียธรรมเนียมได้’ ตี้ฝูอีส่งกระแสเสียงหาเธอ ยับยั้งการ ‘ลงมืออันรุนแรง’ ของเธอไว้ได้ทันกาล
นิ้วก้อยข้างหนึ่งของนางจ่ออยู่ที่จุดสำคัญบนคอเขาแล้ว ชัดเจนยิ่งนัก นี่คือปฏิกิริยาที่เป็นไปตามสัญชาตญาณของเธอ
ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็เก็บนิ้วก้อยที่ง้างตั้งท่าอยู่แล้ว ทำไมถึงมีธรรมเนียมมากมายขนาดนี้กันนะ…
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนเธอจะไม่ได้รังเกียจธรรมเนียมพวกนี้เลยในที่สุดขบวนก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง ด้านหน้ามีเด็กโปรยบุปผาโปรยกลีบดอกไม้กรุยทาง ด้านหลังมีกองทหารเกียรติยศรั้งท้าย กลางขบวนมีนักดนตรีตีกลองคึกคัก ครึกครื้นรื่นเริง สุขสันต์มงคล แม้แต่ชาวบ้านที่อยู่ทั้งฝั่งถนนก็ยิ้มแย้มเบิกบาน
กู้ซีจิ่วกับตี้ฝูอีนั่งเรียงกันอยู่ภายในรถม้า ภายในรถมีเบาะนั่งหนึ่งแถว นั่งได้สองคนพอดี แถมยังต้องเบียดเกยกันด้วย
ถึงแม้กู้ซีจิ่วจะแตะเนื้อต้องตัวกับเขาอยู่บ่อยครั้ง แต่ยามนี้พอต้องนั่งเบียดอยู่กับเขาเช่นนี้ ก็ยังรู้สึกไม่ค่อยปกติอยู่บ้าง
————————————————————————————-
บทที่ 2924 งานวิวาห์ 8
โดยเฉพาะตอนนี้ที่นั่งกันอยู่เงียบๆ ไม่พูดจา เธอก็ยิ่งเก้อกระดาก อยากจะลุกขึ้นยืนแต่ก็รู้สึกว่าสะดุดตาเกินไป จึงกระแอมเบาๆ คราหนึ่ง “สมควรต้องติดเบาะหนังในรถคันนี้เพิ่มสักอันแล้ว”
ตี้ฝูอีผินหน้ามองนาง หัวเราะเบาๆ “แต่งงานล้วนต้องนั่งเช่นนี้ ทำไมเล่า? เขินแล้วหรือ?”
กู้ซีจิ่วเชิดคางขึ้นนิดๆ “ไม่ใช่สักหน่อย! เทพผู้สูงส่งอย่างข้าจะเขินอายด้วยเรื่องนี้ได้อย่างไร? ก็แค่ละครฉากหนึ่ง ข้าเพียงรู้สึกว่าเปิ่นจุนอายุมากกว่าเจ้าไม่รู้ตั้งกี่รอบ ทว่ามาแต่งกับผู้เยาว์อย่างเจ้า ค่อนข้าง…ค่อนข้างจะ…”
เธอนึกถ้อยคำที่เหมาะสมไม่ออกชั่วขณะ ตี้ฝูอีจึงรับช่วงให้เธอ “ค่อนข้างรู้สึกเหมือนโคแก่กินหญ้าอ่อน? หรือว่ารู้สึกเหมือนปักบุปผาบนมูลโคเล่า?”
“เปิ่นจุนมิใช่โคแก่! ยิ่งมิใช่มูลโคด้วย! ช่างเถอะ เปิ่นจุนจะไม่ถือสาหาความผู้เยาว์ อภัยให้ปากที่ไม่มีหูรูดของเจ้า” เธอหันหน้าไปทันที เนื่องจากอยู่ใกล้กัน และเขาก็หันมองเธออยู่ ผลคือริมฝีปากของเธอปัดผ่านปลายคางเขา
เธอรีบเอนไปด้านหลัง เกิดเสียงดึงปึก ท้ายทอยเธอกระแทกกับผนังรถม้าอย่างแรง
การกระแทกเช่นนี้ย่อมทำอันตรายเธอไม่ได้ แต่เธอกลับหน้าแดงก่ำ “เจ้าเข้ามาใกล้ข้าขนาดนี้ทำไมกัน?”
น่าตายนัก เธอกับเขาอยู่ด้วยกันแล้วมีปัญหาทุกที
ตี้ฝูอีสีหน้าใส่ซื่อ “นี่เป็นความผิดของข้าหรือ?”
สายตาของกู้ซีจิ่วพลันร่อนลงที่ปลายคางเขา ตรงนั้นมีรอยชาดประทับอยู่รางๆ
เธอถึงนึกขึ้นมาได้ว่าตนทาชาดสีแดงอ่อนๆ ไว้บนริมฝีปาก…
รอยชาดนี้สะดุดตาเกินไปแล้ว! เสมือนหลักฐานความผิดที่เด่นชัด!
เธอหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมา คิดจะเช็ดคางให้เขาสักหน่อย
คาดไม่ถึงว่ารถม้าที่กำลังเคลื่อนอยู่จู่ๆ ก็โคลงเคลง หยุดลงในทันใด
กู้ซีจิ่วไม่ได้ตั้งตัว ถลาเข้าใส่ร่างเขา ริมฝีปากประทับลงบนแก้มของเขาอีกครั้ง ทิ้ง ‘หลักฐานความผิด’ ไว้บนหน้าเขาอีกรอยหนึ่ง
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออกแล้ว…
เธอรีบลุกขึ้นมานั่ง ได้ยินเสียงโกลาหลจากด้านนอก
“ผู้ใดกัน?!”
“เป็นไอ้ขี้เมาจากที่ไหน?! ขวัญกล้านัก! แม้แต่ราชรถรับเจ้าบ่าวของพระองค์เจ้าก็กล้าขวาง!”
“ไล่ไปซะ! ไล่ไป!”
ตุบตับตุบตับ…
ด้านนอกมีคนลงมือแล้ว
ข้ารับใช้ที่คอยเปิดทางเหล่านั้นมิใช่ชาวบ้านธรรมดา แต่เป็นขบวนที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวของยอดฝีมือที่หกภพภูมิส่งมา คนเหล่านี้สุ่มเลือกออกมาสักคนก็ล้วนต้านรับศัตรูนับพันได้ทั้งสิ้น อย่าว่าแต่ตัวปัญหาคนหนึ่งเลย ต่อให้มีตัวปัญหามากันเป็นหลักร้อย ก็จะถูกพวกเขาเก็บกวาดปราบปรามได้ในชั่วพริบตา
แต่ครั้งนี้ พวกเขากลับเจอตอเข้าแล้ว
เพิ่งจะปราดเข้าไปลงมือ ก็ถูกอีกฝ่ายวาดมือไม้ออกหมัดซัดกลับมาแล้ว บุกเข้ามาในใจกลางขบวน ฝูงชนส่งเสียงฮือฮา
ทว่ากู้ซีจิ่วพลันใจเต้นแวบหนึ่ง คงมิใช่ว่า…
ขณะที่เธอกำลังจะออกไปดู ได้ถูกตี้ฝูอีคว้ามือไว้ “ท่านเป็นเจ้าสาว เวลานี้ไม่ควรเผยหน้า ข้าเอง”
พลันค้อมเอว ก้าวออกไป
กู้ซีจิ่วพลันนึกขึ้นได้ว่า บนหน้าของตี้ฝูอียังมีรอยจูบของเธอประทับอยู่ไม่ได้เช็ดออก…
“อาจารย์! อาจารย์! ข้าอยากพบท่าน!” เสียงตะโกนหนึ่งแว่วมาจากด้านนอก เป็นเสียงของฟั่นเชียนซื่อ
กู้ซีจิ่วพลันกำมือนิดๆ!
ใช่เขาจริงๆ ด้วย!
เขามาวุ่นวายอะไรในยามนี้?
เขามิใช่เด็กน้อยไม่รู้ความ ไม่สมควรจะมาอยู่ในที่สาธารณะเช่นนี้…
ความคิดหนึ่งของเธอเพิ่งแล่นมาถึงตรงนี้ เสียงของฟั่นเชียนซื่อก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง “อาจารย์ ท่านแต่งกับเขาเป็นการแสดงละครฉากหนึ่งใช่หรือไม่? ท่านไม่ได้รักเขาจริงๆ ท่านแค่อยากให้ศิษย์ตัดใจจากท่านใช่หรือไม่? ข้า…”
‘ปัง!’ แสงรุ้งสายหนึ่งสว่างวาบขึ้นมา กู้ซีจิ่วใจเต้นแวบหนึ่ง ทราบว่าตี้ฝูอีลงมือแล้ว
การลงมือครั้งนี้ของเขาไม่เบาและไม่หนัก ขจัดความเมามายของฟั่นเชียนซื่อได้พอดี