บทที่ 2925 งานวิวาห์ 9
“ตี้ฝูอี เจ้าทำอะไร?! เจ้ากล้าลงมือกับข้ารึ?!”
ตี้ฝูอีปัดแขนเสื้อ เอ่ยอย่างเฉื่อยชา “นี่มีอันใดให้ไม่กล้าเล่า? ถ้าเจ้าก่อความวุ่นวายอีก ผู้ทรงสิทธิ์อย่างข้าจะทำให้เจ้าเดินเข้ามา แต่ต้องนอนออกไป!”
“เจ้า…บังอาจ! เจ้ามีคุณสมบัติอันใด…”
“ผู้ทรงสิทธิ์อย่างข้าเป็นสามีของอาจารย์เจ้าแล้ว ย่อมมีคุณสมบัติจะสั่งสอนศิษย์แทนนาง” ตี้ฝูอีพับแขนเสื้อขึ้น
ฟั่นเชียนซื่อโกรธจนสีหน้าที่เดิมทีซีดขาวกลายเป็นเขียวคล้ำแล้ว “นางไม่ได้รักเจ้า…”
“โอ้ นี่เจ้ากล่าวผิดไปแล้ว นางจะรักข้าหรือไม่ต้องให้นางพูดถึงจะนับ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้า” ตี้ฝูอีเชิดหน้านิดๆ แสงตะวันสะท้อนดวงหน้าหล่อเหลาของเขา และส่องรอยชาดบนคางและแก้มของเขาให้เด่นชัดขึ้นมา
รอยชาดสองรอยดุจธงชัยสองผืน ตบหน้าฟั่นเชียนซื่ออย่างแรง
รอบข้างยังมีชาวบ้านที่ชอบชมเรื่องครื้นเครงและไม่รังเกียจเรื่องใหญ่โตอยู่ด้วย เกลี้ยกล่อมอยู่ตรงนั้น “คุณชายเชียนซื่อ พระองค์เจ้าชมชอบราชครูตี้จริงๆ พวกเขาตกลงปลงใจกันตั้งแต่ที่ภพมารแล้ว”
“ใช่แล้ว คุณชายเชียนซื่ออย่าได้กังวลเลย อาจารย์ท่านมีฐานะเช่นนี้ก็มีเพียงราชครูตี้แล้วที่คู่ควร ซ้ำพระนางยังมีฝีมือมหาศาลปานนี้ไม่มีผู้ใดสามารถคุกคามพระนางได้หรอก เป็นความยินยอมพร้อมใจของพระนางเองแน่นอน”
สีหน้าของฟั่นเชียนซื่อซีดเซียวอย่างหนัก ทว่าดวงตาแดงฉาน เขามองกู้ซีจิ่วด้วยดวงตาที่เปี่ยมด้วยความเว้าวอน “อาจารย์ อย่าแต่งกับเขาเลย ข้าชอบท่าน…”
คล้ายว่าเขาพร้อมจะทุ่มทุกสิ่งแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะสารภาพรักออกมาต่อหน้าสาธารณชน เพียงแต่วาจาท่อนหลังของเขาไม่ได้เอ่ยออกมา เนื่องจากลำคอเขาพลันเย็นวาบ เปล่งวาจาไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
กู้ซีจิ่วที่นั่งอยู่ในรถมาตลอดยืนสง่าอยู่หน้าชานรถ ทอดมองฟั่นเชียนซื่อ “เชียนซื่อ เจ้าเมาแล้ว! วาจาที่เต็มไปด้วยความเมามายจะนับเป็นอันใดกัน? ใครก็ได้!”
มีเด็กรับใช้สองคนพุ่งแวบออกมา ทำความเคารพเธอ “พระองค์เจ้า”
“พาเขากลับไปตั้งสติเสีย!” ถ้าปล่อยให้เขาพ่นวาจาที่ไม่เข้าท่าอันใดออกมาที่นี่ต่อไปอีก แม้แต่ความเป็นศิษย์อาจารย์ของเธอกับเขาก็จะไม่เหลืออีกแล้ว!
“พ่ะย่ะค่ะ!”
เด็กรับใช้ทั้งสองลังเลเล็กน้อย ก้าวเข้าไปดึงฟั่นเชียนซื่อ ถูกฟั่นเชียนซื่อซัดปลิวออกไปทันที!
ถึงแม้ฟั่นเชียนซื่อจะพูดไม่ได้แล้ว แต่ดวงตาคู่นั้นที่มองกู้ซีจิ่วกลับลุกโชนดุจมีเพลิงโหม
เขาอ้าปากพะงาบๆ ทว่ายังคงเอ่ยวาจาไม่ออกเลยสักคำ เลือดลมพลุ่งพล่านขึ้นมา เขากระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง เขาจ้องกู้ซีจิ่วเขม็ง หางตามีหยาดน้ำไหลออกมาช้าๆ…
กู้ซีจิ่วสะท้านใจเล็กน้อย ละสายตาไปทันที ลงมือด้วยตัวเองเสียเลย สกัดจุดเขาไว้ ขณะที่กำลังจะโยนร่างเขาให้ข้ารับใช้ที่อยู่ใกล้ๆ อูเชียนเหยียนก็ถลาออกมาจากฝูงชน คุกเข่าลงตรงหน้าเธอ “พระองค์เจ้า มอบเขาให้บ่าวเถิดเพคะ บ่าวจะพาเขากลับไปตั้งสติ…”
จิตใจกู้ซีจิ่วว้าวุ่น พลันโบกมือ “เด็กคนนี้เมาแล้วชอบพูดจาเหลวไหลอยู่บ้าง ทำให้ผู้อื่นพูดไม่ออกเลย เชียนเหยียน เปิ่นจุนมอบเขาให้เจ้าแล้วกัน ปลุกสติเขาให้ดีๆ อย่าให้เขาเมาแล้วคลุ้มคลั่งอีก” พลางโยนลูกกลอนสร่างเมาเม็ดหนึ่งให้อูเชียนเหยียน
อูเชียนเหยียนรับไว้ พยุงฟั่นเชียนซื่อขึ้นมา หันหลังเหินทะยานจากไป
ละครคั่นตอนนี้จึงผ่านไปเช่นนี้แล รถม้าเคลื่อนตัวต่อไป
ตลอดทางนี้พวกกู้ซีจิ่วทั้งสองยังคงนั่งเคียงกันเช่นเดิม กู้ซีจิ่วไม่สนใจจะคุยเล่นกับเขาอีกต่อไป
หลุบตาลงนิดๆ เสมือนอยู่ในห้วงสมาธิ
“สำนึกเสียใจแล้วหรือ?” ตี้ฝูอีเอ่ยทำลายความเงียบนี้
กู้ซีจิ่วสูดหายใจลึกๆ คราหนึ่ง สงบอารมณ์ นวดหว่างคิ้วอย่างค่อนข้างปวดหัวยิ่ง “เขาหมกมุ่นหนักเกินไปแล้ว! ข้าไม่นึกเลยว่าจนถึงยามนี้เขาก็ยังคิดจะกระทำเรื่องเลอะเลือนอยู่”
ตี้ฝูอีมองนาง เอ่ยขึ้นช้าๆ “อันที่จริงข้าค่อนข้างแปลกใจอยู่บ้าง พวกท่านศิษย์อาจารย์พึ่งพาอาศัยกันมาเนิ่นนานขนาดนี้…”
————————————————————————————-
บทที่ 2926 งานวิวาห์ 10
ตี้ฝูอีมองนาง เอ่ยขึ้นช้าๆ “อันที่จริงข้าค่อนข้างแปลกใจอยู่บ้าง พวกท่านศิษย์อาจารย์พึ่งพาอาศัยกันมาเนิ่นนานขนาดนี้ เขาจะชมชอบท่านขนาดนี้ก็ไม่นับว่าแปลกจนเกินไป และท่านก็มิใช่จะไร้น้ำใจกับเขาไปเสียทีเดียว ปัจจุบันนี้ก็ไม่มีกฏเกณฑ์อันใดที่ห้ามความรักระหว่างศิษย์อาจารย์ เหตุใดท่านมานะทุ่มเทเพื่อปฏิเสธเขาขนาดนี้เล่า?”
กู้ซีจิ่วขมวดคิ้วแวบหนึ่ง น้ำเสียงเจือความหงุดหงิดไว้ “ข้ามีแต่ไมตรีในฐานะศิษย์อาจารย์ให้เขา ไม่มีความรู้สึกฉันท์หญิงชายให้เลย!”
“เช่นนั้นกับข้าล่ะ?” จู่ๆ ตี้ฝูอีก็เอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่ง
“เจ้า…” กู้ซีจิ่วขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม “งานวิวาห์ฉากนี้มิใช่การค้าอย่างหนึ่งของพวกเราหรอกหรือ?”
แววตาตี้ฝูอีพลันหมองลงแวบหนึ่ง ทว่าไม่ยอมปล่อยนางไป “ข้าถามว่าสรุปแล้วท่านรู้สึกอย่างไรกับข้า? คงมิใช่ว่าเทียบไม่ได้แม้แต่ฟั่นเชียนซื่อกระมัง?”
กู้ซีจิ่วพลันอึกอัก “เจ้ากับเขาเทียบกันไม่ได้…”
ตี้ฝูอีแข็งทื่อไปทันที “ที่แท้ในใจท่าน แม้แต่เขาข้าก็เทียบไม่ติด…”
กู้ซีจิ่วเงียบไปแล้ว
ฟั่นเชียนซื่อคนเดียวก็ทำให้เธอปวดประสาทขนาดนี้แล้ว ตอนนี้ตี้ฝูอียังมาพัวพันไม่ยอมเลิกราอีก นี้ทำให้เธอหงุดหงิดใจอย่างยิ่ง เอ่ยโพล่งออกไป “ทำไมเจ้าต้องเซ้าซี้ขนาดนี้ด้วย ก็แค่การค้าอย่างหนึ่งเท่านั้น เจ้าถามซักไซ้ไล่เรียงจนถึงที่สุดด้วยเจตนาใดกัน? ตี้ฝูอี คงมิใช่ว่าเจ้าชอบพอข้าจริงๆ กระมัง?!”
ตี้ฝูอีพูดไม่ออกแล้ว…
เขาเงียบงันไปครู่หนึ่ง นั่งตัวตรง เอ่ยอย่างเฉยชา “เอาล่ะ เรื่องของท่านข้าจะไม่ถามอีกแล้ว อาจิ่ว ในเมื่องานวิวาห์นี้เป็นความต้องการของท่าน ก็ไม่จำเป็นต้องคิดเรื่องจุกจิกยิบย่อยพวกนั้นแล้ว ข้าเพียงหวังว่าพวกเราจะได้เข้าพิธีกันอย่างราบรื่น ทำให้งานนี้ผ่านพ้นไปอย่างสมบูรณ์ ถึงอย่างไรข้าก็เสียสละไปมากมายเพื่องานวิวาห์ครั้งนี้…”
เขายิ้มแวบหนึ่ง เอ่ยเสริมอย่างทีเล่นทีจริงอีกประโยคว่า “อย่าลืมนะ ข้าก็นับว่าเป็นศิษย์ของท่านด้วย ท่านอย่าได้ลำเอียงจนเกินไป”
กู้ซีจิ่วเหงื่อตกแล้ว “เจ้าไม่ได้ยอมรับสักหน่อย…” เพียงแต่ยังคงมอบความมั่นใจให้เขาอยู่ “วางใจเถอะ งานวิวาห์นี้พวกเราจะดำเนินไปจนจบ”
ตี้ฝูอียื่นมือออกมา “มาเถอะ ทาบมือปฏิญาณกับข้า ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกลางทาง ท่านจะไม่มีทางยุติงานวิวาห์นี้กลางคัน”
กู้ซีจิ่วขำแล้ว “นี่ไม่จำเป็นกระมัง?”
ตี้ฝูอีมองนางอย่างยิ้มมิเชิงยิ้ม ไม่เอ่ยวาจา และไม่ได้เก็บฝ่ามือกลับไปเช่นกัน
กู้ซีจิ่วหมดหนทาง ทำได้เพียงตอบรับ ตี้ฝูอีเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ “หากว่าท่านยุติงานวิวาห์นี้กลางคัน ข้าจะไม่มีทางอภัยให้ท่านไปชั่วชีวิต ชาตินี้ภพนี้ระหว่างข้ากับท่านจะไม่เกี่ยวข้องใดๆ กันอีกต่อไป”
กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าเขาทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่อยู่บ้าง เพียงแต่ยังคงทาบมือปฏิญาณกับเขา
ตอนนี้เธอก็ปักใจแล้วเช่นกันว่าจะวิวาห์กับเขาให้สมบูรณ์ ไม่ล้มเลิกกลางคันเด็ดขาด แม้ว่าจะไม่ได้รับการเอื้ออำนวยจากสวรรค์ มีอัสนีสวรรค์ผ่าลงมา เธอก็จะดำเนินงานวิวาห์นี้ให้จบ
….
เรื่องจริงได้รับการพิสูจน์แล้ว คล้ายว่าสวรรค์จะไม่เห็นชอบกับการค้าครั้งนี้ของพวกเขา
กู้ซีจิ่วรับตัวเจ้าบ่าวอย่างตี้ฝูอีกลับมาแล้ว ดำเนินขั้นตอนงานวิวาห์ไปได้ครึ่งทางแล้ว ในโถงพิธีเต็มไปด้วยคำอวยพรจากบรรดาแขกเหรื่อยามที่กำลังจะทำพิธีกราบไหว้ฟ้าดินไว้ จู่ๆ อูเชียนเหยียนก็พุ่งเข้ามาด้วยสภาพกระเซอะกระเซิง คุกเข่าลงเบื้องหน้ากู้ซีจิ่ว “พระองค์เจ้า แย่แล้วเพคะ! นายน้อยเขา…เขาบุกเข้าไปในแดนต้องห้ามของทวยเทพแล้วเพคะ!”
สีหน้ากู้ซีจิ่วแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง แพรแดงในมือหลุดมือร่วงลงพื้น “อะไรนะ?!”
ภายใต้สีหน้างงงวยของฝูงชน กู้ซีจิ่วเอ่ยออกมาคำหนึ่ง “ขออภัย!”
เคลื่อนย้ายจากไปในทันใด หายลับไปแล้ว
ทิ้งตี้ฝูอีที่ยังถือแพรแดงอยู่รวมถึงเหล่าแขกเหรื่อที่อยู่กันเต็มห้องโถงเอาไว้
ทุกคนมองหน้ากันเหลอหลา สอบถามกันเอง “แดนต้องห้ามของเหล่าทวยเทพคือสถานที่อันใด?”
“ไม่รู้ ข้าก็เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกเหมือนกัน”
“อย่ามองข้า ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” คนสุดท้ายที่เอ่ยขึ้นมาคือยอดนักสืบผู้เลื่องชื่อของหกภพภูมิ
————————————————————————————-