บทที่ 2927 งานวิวาห์ 11
“อย่ามองข้า ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” คนสุดท้ายที่เอ่ยขึ้นมาคือยอดนักสืบผู้เลื่องชื่อของหกภพภูมิ เรื่องราวในหกภพภูมิมีน้อยนักที่เขาจะไม่รู้ ถ้าแม้แต่เขาก็ยังไม่รู้ คนอื่นก็ยิ่งไม่รู้แล้ว
ด้วยเหตุนี้ สายตาของฝูงชนจึงมองไปที่อูเชียนเหยียนที่ยังคุกเข่าอยู่ตรงนั้นอีกครั้ง ทว่าอูเชียนเหยียนกลับไม่มีทีท่าว่าจะอธิบายเลย ลุกขึ้นมาแล้วมองรอบข้างแวบหนึ่ง ขอขมาไปรอบวง “ขออภัยด้วย ทุกท่าน พระองค์เจ้าของบ้านข้ามีธุระกะทันหัน งานแต่นี้ไม่อาจดำเนินต่อไปได้แล้ว ทำให้ทุกท่านเดินทางมาโดยเสียเปล่า ขออภัย ภายหลังเมื่อพระองค์เจ้าของพวกเรากลับมาแล้วจะมอบคำอธิบายให้แก่ทุกท่านเอง”
ฝูงชนเงียบงัน
ด้วยเหตุนี้ สายตาของทุกคนจึงมองไปที่ตี้ฝูอีอีกครั้ง สีหน้าตี้ฝูอีซีดเซียวอยู่บ้าง ยืนอยู่ตรงนั้นใจลอยเล็กน้อย ไม่ทราบเช่นกันว่าคิดอะไรอยู่ เงาร่างดูค่อนข้างโดดเดี่ยวอ้างว้าง
ผู้คนที่อยู่ในงานยังคงมีสหายของเขาอยู่ด้วยมากมาย ทุกคนต่างพากันปลอบโยนเขา “ราชครูตี้อย่าได้โศกเศร้าไปเลย คุณชายเชียนซื่อเกิดเหตุขึ้น พระองค์เจ้าจำต้องไปช่วยเหลือ รอพระองค์เจ้าช่วยศิษย์กลับมาได้ ต้องกำหนดงานวิวาห์กับท่านอีกแน่นอน”
“ใช่แล้วๆ นี่เป็นเหตุสุดวิสัย พระองค์เจ้าก็ไม่คาดคิดเช่นกัน วางใจเถิด พระองค์เจ้าน่าจะไม่ทิ้งงานวิวาห์หรอก หลังจากพระนางกลับมาแล้วจะต้องกำหนดวันวิวาห์กับท่านอีกครั้งแน่ พอถึงเวลาทุกคนก็จะมากันอีกครั้งเหมือนเดิม”
ในที่สุดตี้ฝูอีก็เงยหน้าขึ้นแล้ว เอ่ยด้วยสุ้มเสียงสงบราบเรียบ “ไม่มีงานวิวาห์แล้ว!”
ฝูงชนงุนงงแล้ว
“งานวิวาห์ครั้งนี้ล่มแล้ว พิสูจน์ได้ว่าข้ากับนางไร้วาสนาต่อกันจริงๆ ข้าจะละวางอย่างแท้จริงแล้ว นับแต่นี้ไป ข้ากับพระองค์เจ้าไม่เกี่ยวข้องกันอีกต่อไปแล้ว” เขาโยนแพรแดงในมือออกไป
แพรแดงแตกกระจายกลางอากาศ กลายเป็นผีเสื้อบินว่อน เริงระบำอยู่ในอากาศ
ส่วนเขาก็หันหลังหายลับไปทันที
ฝูงชนต่างนิ่งงัน
….
แดนต้องห้ามของทวยเทพเป็นสถานที่ที่มีเพียงเทพผู้สร้างโลกเท่านั้นถึงจะเข้าไปได้ เนื่องจากกู้ซีจิ่วเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว เกรงว่าจู่ๆ ตนดับขันธ์ไปไม่สามารถส่งมอบตำแหน่งได้ทันกาล ดังนั้นหลังจากฟั่นเชียนซื่อสำเร็จเป็นซ่างเสินบาดแผลหายดีแล้ว จึงเคยพาเขามาเดินวนหน้าปากทางเข้าแดนต้องห้ามรอบหนึ่ง บอกเขาว่าที่นี่คือแดนต้องห้าม ได้สั่งห้ามอย่างชัดเจนว่าในสองสามปีนี้เขาจะเข้าไปอย่างส่งเดชมิได้ มีเพียงฝึกฝนจนบรรลุระดับซ่างเสินขั้นสูงแล้วถึงจะเข้าไปได้ มิเช่นนั้นจะมีหายนะ รักษาชีวิตไว้ไม่ได้
กู้ซีจิ่วไม่คิดเลยว่าฟั่นเชียนซื่อจะกระทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้ เขาไปผจญภัยเสียที่ไหน ไปรนหาที่ตายชัดๆ!
เธอใช้วิชาเคลื่อนย้ายต่อเนื่องกันสามสี่ครั้ง เข้าสู่แดนต้องห้ามของทวยเทพอย่างรวดเร็วปานพายุหอบหนึ่ง
เป็นอย่างที่คิดจริงๆ ได้พบฟั่นเชียนซื่อถูกเพลิงเทวากลุ่มหนึ่งแผดเผาอยู่ตรงปากทางเข้า เธอร่ายอาคม ดับไฟให้มอดลง จากนั้นก็ลากเขาทำการเคลื่อนย้ายออกไปที่ประตู ก่อนที่เขตแดนของประตูเข้าสู่แดนต้องห้ามของทวยเทพจะปิดลง ในที่สุดก็หนีรอดจากที่นี่ได้
ฟั่นเชียนซื่อถูกไฟเผาจนเสื้อกะรุ่งกะริ่ง บนร่างก็มีแผลไฟคลอกอยู่มากมายหลายแห่ง มองดูคล้ายกระดาษเกรียมไฟไม่มีผิด
หัวใจกู้ซีจิ่วก็เต้นกระหน่ำขึ้นมาเช่นกัน
เธอเกือบตามมาไม่ทันแล้ว! โชคดี! โชคดีเหลือเกิน!
การเปิดปิดแดนต้องห้ามของทวยเทพมีกำหนดเวลาอยู่ เมื่อเปิดออกแล้ว จะคงอยู่เป็นเวลาครึ่งชั่วยามแล้วปิดลงอีกครั้ง ถ้าคิดจะเปิดก็ต้องรอไปอีกหนึ่งเดือน
ถ้าเธอมาช้ากว่านี้ไปแค่นิดเดียวล่ะก็ เธออาจจะเข้าไปไม่ได้ หรือเข้าไปแล้วออกมาไม่ได้ชั่วขณะ
สำหรับเธอแล้วที่นี่ไม่นับเป็นอันใดเลย แต่สำหรับฟั่นเชียนซื่อแล้วเสมือนจมอยู่ในบึงพิษ เขาอยู่ที่นี่ได้ไม่ถึงสองชั่วยามก็จบสิ้นแล้ว!
ดังนั้นกู้ซีจิ่วถึงได้รีบร้อนมาที่นี่ขนาดนี้ ไม่มีแม้แต่เวลาจะอธิบาย…
ตอนนี้ในที่สุดก็ลากไอ้ศิษย์ไม่รักดีคนนี้ออกมาได้แล้ว โทสะของกู้ซีจิ่วก็พวยพุ่งสูงสามพันจั้งเช่นกัน!
เธอโยนฟั่นเชียนซื่อที่สะลึมสะลืออยู่ลงพื้น กำลังจะหันหลังจากไป ทว่าถูกฟั่นเชียนซื่อใช้ความพยายามไขว่คว้าชายชุดมุมหนึ่งเอาไว้ได้
————————————————————————————-
บทที่ 2928 งานวิวาห์ 12
“อาจารย์! สุดท้ายท่านก็หักใจจากข้าไม่ลงใช่หรือไม่?”
กู้ซีจิ่วดึงชายชุดของตนกลับมาเสียงดึงฟึ่บ กล่าวอย่างเยียบเย็น “ฟั่นเชียนซื่อ เปิ่นจุนผิดหวังในตัวเจ้ายิ่ง! นำความตายมาข่มขู่มิใช่สิ่งที่ชายชาตรีพึงกระทำ อย่าทำให้เปิ่นจุนต้องดูแคลนเจ้าเลย!”
เธอหันหลังหมายจะใช้วิชาเคลื่อนย้ายจากไป การไปกลับเที่ยวนี้ของเธอใช้เวลาครึ่งชั่วยาม น่าจะยังทันกลับไปเข้าพิธี…
ฟั่นเชียนซื่อพยายามโผไปด้านหน้า กอดขาข้างหนึ่งของเธอไว้ “อาจารย์ อย่าทิ้งข้าไป! หากว่าท่านไป ศิษย์ก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว!”
กู้ซีจิ่วชะงักไปแวบหนึ่ง ค่อยๆ หันกลับไป จากนั้นก็เตะเขาออกไป น้ำเสียงเธอเย็นยะเยือกปานน้ำแข็ง “เช่นนั้นเจ้าก็ไปตายเสีย! เพียงแต่เจ้าจงจำเอาไว้ นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่เปิ่นจุนจะช่วยเหลือเจ้า!”
เธอไม่หันกลับไปเหลียวแลอีกเลย พลันหมุนกายเคลื่อนย้ายจากไป
ต่อให้เป็นคนที่มีความสามารถสักเพียงใดก็ช่วยเหลือคนที่คิดแต่จะตายไม่ได้ หากว่าฟั่นเชียนซื่อคิดสั้นอีก เธอก็ไม่มีทางช่วยเหลือแล้ว
อย่างมาก…อย่างมากก็แค่ไม่มีผู้สืบทอดเท่านั้น
ว่าที่เทพผู้สร้างโลกรุ่นต่อไปหากว่าแม้แต่อุปสรรคนี้ก็ข้ามผ่านไปไม่ได้ เธอก็ไม่คิดว่าเขาจะเป็นเทพผู้สร้างโลกที่เลิศล้ำได้
ฟั่นเชียนซื่อล้มจ้ำเบ้าอยู่ในธุลี เปื้อนโคลนไปทั้งร่าง มอมแมมจนไม่อาจมอมแมมไปมากกว่านี้ได้แล้ว และหัวใจก็เหน็บหนาวจนไม่อาจเหน็บหนาวไปมากกว่านี้ได้แล้ว…
การตามตื้อนี้ไร้ซึ่งความหวังแล้ว เขาแทบจะส่งมอบชีวิตนี้ออกไปแล้ว แต่สุดท้ายก็ว่างเปล่า
เขายิ้มอย่างโศกศัลย์ เอ่ยพึมพำ “อาจารย์ หัวใจท่านทำมาจากก้อนเหล็กหรือ? ท่านใจดำนัก ทำไมท่านทำกับข้าแบบนี้? บนโลกนี้ยังจะมีผู้ใดที่รักใคร่เทิดทูนในตัวท่านได้เช่นศิษย์อีก?”
เขาเงยหน้าหัวเราะดังลั่น “อาจารย์ ข้าเสียใจเหลือเกิน! ถ้าหากว่า…ถ้าหากว่าตอนนั้นข้าไม่ได้รู้จักท่านก็คงดี!”
น่าเสียดาย บนโลกนี้ไม่มีคำว่าถ้าหาก มีแต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นมาจริงๆ
เขาถูกลิขิตให้ได้พบกับนาง ถูกลิขิตให้กลายเป็นศิษย์ของนาง
เขาซุกมือลงไปในโคลน กำมือแน่น “สวรรค์ ในเมื่อมีข้าฟั่นเชียนซื่อแล้ว เหตุใดต้องมีตี้ฝูอีอีก?!”
ความเสียใจของเขาไม่ต่างไปจากมีจิวยี่แล้วไยต้องมีขงเบ้งอีก จู่ๆ ก็ชกพื้นดินหมัดหนึ่ง “ข้าไม่เชื่อว่าข้าจะสู้เขาไม่ได้! ข้าจะต้องเหนือกว่าเขาให้ได้! อาจารย์ สักวันท่านจะเสียใจที่ทำกับข้าแบบนี้…”
ตี้เฮ่าที่รับชมฉากนี้อยู่ด้านนอก อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ
ดูเหมือนฟั่นเชียนซื่อจะก่อจากรักกลายเป็นชังตามที่คาดไว้ นี่คือเหตุผลที่ในชาติหลังๆ เขาถึงสร้างปัญหาให้ท่านพ่อท่านแม่ของตนมากมายขนาดนี้กระมัง?
อันที่จริงแล้ว ท่านแม่ของเขาก็ไม่ได้ทำผิดต่อฟั่นเชียนซื่อเลยกระมัง? ความจริงก็แค่ไม่รักเขาเท่านั้น
และยังดีต่อเขาด้วยใจจริงด้วย อยากให้เขาตั้งใจฝึกฝนบำเพ็ญ…
….
หุบเขาเสียงสวรรค์ที่ก่อนหน้านี้คึกคักมีชีวิตชีวาดั่งเพลิงที่ลุกโชติช่วงเงียบวังเวงลงแล้ว
ตี้ฝูอีสูญหายไร้ร่องรอย แม้แต่เหล่าแขกเหรื่อก็ดุจถูกสายลมหอบใหญ่พัดพาไปแล้ว แยกย้ายกระจัดกระจายไป
ภายในโถงพิธีเหลือเพียงอูเชียนเหยียนที่กำลังควบคุมเหล่าข้ารับใช้ให้เก็บกวาดเศษขยะภายในโถงพิธี
กู้ซีจิ่วยืนอยู่ที่ปากประตูตะลึงงันอยู่บ้าง ไม่นึกเลยว่าเธอจากไปแค่ครึ่งชั่วยาม ที่นี่ก็จะเงียบสงัดจนกลายเป็นเช่นนี้แล้ว
พอกู้ซีจิ่วปรากฎตัวขึ้น ทุกคนก็รีบเข้ามาทำความเคารพ
อูเชียนเหยียนรีบเอ่ยถามประโยคหนึ่ง “พระองค์เจ้า นายน้อยละเพคะ? ช...ช่วยไว้ได้หรือไม่?”
“รอดแล้ว!” กู้ซีจิ่วตอบด้วยประโยคนี้ พลางเอ่ยถามต่อ “ตี้ฝูอีล่ะ?”
“เขาไปแล้วเพคะ หลังจากพระองค์เจ้าจากไปเขาจากไปติดๆ เลย”
“เช่นนั้นเขาพูดอะไรหรือไม่?”
อูเชียนเหยียนชะงักไปแวบหนึ่ง ยังคงถ่ายทอดประโยคนั้นที่ตี้ฝูอีกล่าวไว้ก่อนจากไปออกมา…
กู้ซีจิ่วเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง สูดหายใจเบาๆ “เปิ่นจุนจะไปหาเขา!”
พลันหมุนกาย เคลื่อนย้ายจากไป
….
กู้ซีจิ่วไม่ได้พบตี้ฝูอีเลย ตอนที่เธอตามไปถึงจวนดาราสวรรค์ของเขา ที่นั่นก็ว่างเปล่าร้างผู้คนแล้ว ไม่ใช่แค่เขาที่ไม่อยู่แล้ว แม้แต่ข้ารับใช้เหล่านั้นของเขาก็หายไปหมดเลยเช่นกัน
กู้ซีจิ่วยืนอยู่กลางจวน ค่อนข้างเหม่อลอยเล็กน้อย
————————————————————————————-