บทที่ 2929 ไม่ผิดนัด
สถานที่แห่งนี้คล้ายว่าตี้ฝูอีจะเริ่มสร้างขึ้นเมื่อยี่สิบปีก่อน ไม่ง่ายเลยกว่าจะสร้างได้ ให้ช่างฝีมือผู้มีความชำนาญสร้างอยู่สิบปีเต็มถึงจะเสร็จสมบูรณ์
ถึงแม้ว่าในหนึ่งปีเขาอาจไม่กลับมาเลยสักครั้ง แต่เขายังคงทิ้งเด็กรับใช้ที่มีความสามารถบางส่วนเอาไว้ที่นี่ คอยจัดการเรื่องราวภายในจวน
แต่ตอนนี้ แม้แต่ข้ารับใช้เหล่านั้นก็หายไปแล้ว!
กู้ซีจิ่วหันเหไปยังห้องหอและโถงพิธีนั้นที่เขาตกแต่งไว้
สีแดงทั้งหมดล้วนถูกพังทิ้งอย่างสิ้นเชิง โถงพิธีว่างเปล่า ห้องหอเงียบวังเวง
เธอเหม่อลอยไปชั่วขณะ พลันตัดสินใจหยิบยันต์ถ่ายทอดเสียงที่ใช้ติดต่อเขาออกมา รวบรวมความกล้าติดต่อไปหาเขา
ยันต์ถ่ายทอดเสียงไม่มีแม้แต่วี่แววว่าจะเปล่งแสงกะพริบเลย สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น…เขาทำลายยันต์ถ่ายทอดเสียงที่เอาไว้ติดต่อกับเธอไปแล้ว
ดูเหมือนคำพูดที่เขาทิ้งท้ายไว้ก่อนไปจะไม่ใช่พูดไปด้วยความโกรธ แต่เป็นความจริง เขาตัดขาดทุกอย่างกับเธออย่างสมบูรณ์แล้ว
เธอนึกถึงการทาบมือปฏิญาณกับเขาตอนอยู่ในรถม้าขึ้นมา
‘หากว่าท่านยุติงานวิวาห์นี้กลางคัน ข้าจะไม่มีทางอภัยให้ท่านไปชั่วชีวิต ชาตินี้ภพนี้ระหว่างข้ากับท่านจะไม่เกี่ยวข้องใดๆ กันอีกต่อไป’
นี่คือคำปฏิญาณของเขา เธอยุติงานวิวาห์ครั้งนี้ลงกลางคัน ส่วนเขาก็ตัดขาดตามที่เขาได้ปฏิญาณเอาไว้จริงๆ ดังนั้นไม่อาจกล่าวโทษเขาได้ ถ้าจะโทษก็ต้องโทษตัวเธอเอง
หากว่าก่อนไปเธอบอกกล่าวเขา ให้เขารอตนครึ่งชั่วยาม บางที่เขาอาจจะรอ...
แต่ตอนนั้นเธอร้อนใจเกินไป เอ่ยว่า ‘ขออภัย’ เพียงคำเดียว แล้วเคลื่อนย้ายไปเลย…
ต่อไปนี้เขา…
จะไม่ข้องเกี่ยวกับเธออีกต่อไปแล้วจริงๆ ใช่ไหม?
ไม่ถูกสิ เขายังคงเป็นลูกศิษย์ลับๆ ของเธออยู่ ยังต้องถอดถอนพันธะศิษย์อาจารย์ฉบับนั้นอยู่
เธอค่อยๆ นั่งลงบนขั้นบันได กอดเข่าเงยหน้ามองเมฆาขาวที่ล่องลอยอยู่บนท้องฟ้า มองเมฆรวมแล้วแยก มองจนตะวันตกจันทราขึ้น
ตี้ฝูอีปล่อยวางจากเธออย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ นี่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขามิใช่บุคคลที่ละไม่ได้วางไม่ลง เธอสมควรจะโล่งอก แต่ว่าในใจกลับมีความรู้สึกอัดอั้นอย่างหนึ่งอยู่ ในทรวงอกคล้ายมีหินก้อนใหญ่อุดอยู่ อุดจนเธอหายใจไม่ออกอยู่บ้าง
“พระองค์เจ้า” หนุ่มน้อยชุดเขียวคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าเธอ ค้อมเอวทำความเคารพเธอ
กู้ซีจิ่วใจเต้นแรงนิดๆ จำได้ว่าหนุ่มน้อยคนนี้เป็นข้ารับใช้คนสนิทของตี้ฝูอี ที่แดนมารเคยเห็นหน้ากันอยู่สี่ห้าครั้ง
“นายท่านของบ้านเจ้าล่ะ?” เสียงกู้ซีจิ่วแหบแห้งอยู่บ้าง “เขาอยู่ที่ไหน? เจ้าไปบอกเขาหน่อย เปิ่นจุนอยากพบหน้าเขาสักครั้ง จะอธิบายเรื่องราวบางอย่างต่อเขา”
หนุ่มน้อยชุดเขียวคนนั้นยิ้มนิดๆ ทว่าไม่ตอบคำถามของเธอ ค้อมกายแล้วกล่าวว่า “นายท่านของบ้านข้าฝากถ้อยคำมาให้พระองค์เจ้าประโยคหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”
“ถ้อยคำใด?”
“อย่าได้ลืมนัดหมายในอีกสองปีให้หลัง พระองค์เจ้าผิดนัดมาครั้งหนึ่งแล้ว หวังว่าจะไม่เกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง”
อีกสองปีให้หลังคือเรื่องที่เธอรับปากเขาไว้ การเพิกถอนพันธะศิษย์อาจารย์
กู้ซีจิ่วนิ่งไปครู่หนึ่ง ยิ้มเจื่อนๆ “ได้! เปิ่นจุนจะไม่ผิดนัดอีกแน่นอน!”
“ขอบพระทัยพระองค์เจ้า” หนุ่มน้อยชุดเขียวคนนั้นทำความเคารพเธออีกครั้ง ถึงได้หันหลังจากไป
กู้ซีจิ่วฉุกใจขึ้นมาแวบหนึ่ง เขาน่าจะไปรายงานเรื่องต่อตี้ฝูอี เช่นนั้นเธอเร้นกายตามไปเสีย ก็น่าจะหาเขาพบ…
กู้ซีจิ่วเป็นนักปฏิบัติ ดังนั้นเธอจึงเร้นกายติดตามไปเลย
คาดไม่ถึงว่าหนุ่มน้อยชุดเขียวคนนั้นไม่ได้รีบร้อนกลับไปยังที่ใดเลย แต่ไปที่หอน้ำชาแห่งหนึ่ง สั่งชามาหนึ่งกาแล้วจิบอย่างไม่อนาทรร้อนใจอยู่ตรงนั้นตลอดทั้งบ่าย ตอนแรกกู้ซีจิ่วยังนึกไปว่าตี้ฝูอีหลบอยู่ที่หอน้ำชาแห่งนี้ ได้ลอบเข้าไปค้นหาดูทุกซอกทุกมุมของหอน้ำชามารอบหนึ่งแล้ว ผลคือไม่พบคนที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นตี้ฝูอีเลย
เธอกลับไปที่โถงน้ำชานั้นอีกครั้ง พบว่าในที่สุดหนุ่มน้อยก็ลุกขึ้นมาแล้ว
————————————————————————————-
บทที่ 2930 ไม่ผิดนัด 2
เธอกลับไปที่โถงน้ำชานั้นอีกครั้ง พบว่าในที่สุดหนุ่มน้อยก็ลุกขึ้นมาแล้ว จู่ๆ เขาก็โค้งคำนับต่อความว่างเปล่า เอ่ยเสียงเรียบ “พระองค์เจ้า ผู้น้อยทราบว่าพระองค์ต้องตามมาแน่ แต่นายท่านของผู้น้อยเคยสั่งการไว้ ระหว่างเขากับพระองค์ไม่มีความจำเป็นต้องพบกันอีกแล้ว พึงหวังว่าพระองค์เจ้าจะไม่ฝืนสร้างความลำบากใจให้ผู้อื่น ขอพระองค์เจ้าโปรดกลับไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
กู้ซีจิ่วนิ่งงัน...
เธอเบิกตามองหนุ่มน้อยชุดเขียวคนนั้นสาวเท้าจากไป เธอไม่ได้ติดตามไปอีกจริงๆ
….
ตี้เฮ่ามองมารดาที่ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างโดดเดี่ยว พลันรู้สึกปวดใจอยู่บ้าง…
มารดาขาดสายใยแห่งรักไปไม่เข้าใจความรักชายหญิง แต่จิตใต้สำนักของนางก็ยังคงถูกท่านพ่อของเขาดึงดูดอยู่ มิเช่นนั้นหากว่าเป็นชายอื่นที่มาเอาเปรียบท่านแม่เช่นนี้ คงถูกท่านซัดกระเด็นออกไปไกลแปดร้อยลี้แล้ว!
ส่วนเหตุผลที่ท่านพ่อของเขาเลือกจะปล่อยมือ ประการแรกมาจากนิสัยอันเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ของเขา ประการที่สองก็คือน้ำแข็งหนาสามฉื่อมิได้ก่อเกิดจากความเหน็บหนาวภายในวันเดียว[1]
ต่อให้เป็นหัวใจที่อบอุ่นเพียงใดก็ทนรับการถูกปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า ความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ไหว
เดิมทีท่านพ่อของเขาก็มิใช่คนที่จะถูกเรื่องรักๆ ใคร่ๆ มาผูกมัดเอาไว้อยู่แล้ว พอรู้สึกว่าไม่มีความหวังแล้วจริงๆ เขาก็จะปล่อยมืออย่างแท้จริง ยับยั้งให้ทันกาล มิใช่มาถือโทษขุ่นเคืองท่านแม่เอาลูกเดียว
แต่ว่า เขาจะสามารถปล่อยวางอย่างสิ้นเชิงได้จริงๆ น่ะหรือ?
อันที่จริงตี้เฮ่าเหนื่อยล้าแล้ว แต่เขายังคงตัดสินใจว่าจะดูต่อไป เขารู้ว่าใกล้จะถึงฉากจบแล้ว…
….
ในช่วงเวลากว่าสองปีมานี้ กู้ซีจิ่วไม่ได้ตามหาตี้ฝูอีอีกจริงๆ และตี้ฝูอีก็ย่อมไม่มาหาเธออีกเลยเช่นกัน
กู้ซีจิ่วยุ่งมาก ง่วนอยู่กับเขียนเรียบเรียงศาสตร์เฉพาะส่วนหนึ่งของเทพผู้สร้างโลกให้กลายเป็นตำรา แล้วจัดเรียงค่ายกลผังดาราที่สลับซับซ้อนเป็นที่สุด จากนั้นก็โยนฟั่นเชียนซื่อเข้าไปฝึกฝน
เมื่อฟั่นเชียนซื่อรอดชีวิตจากความตายครั้งนั้นมาได้ คล้ายจะรู้แจ้งแล้ว หลังจากกลับมาที่หุบเขาเสียงสวรรค์ก็ได้ยอมรับผิดขอรับโทษทัณฑ์ คุกเข่าบนพื้นหิมะอยู่หนึ่งเดือนเต็ม ถึงได้รับอนุญาตให้เข้าสู่หุบเขา
ถึงแม้กู้ซีจิ่วจะอนุญาตให้เขาเข้าสู่หุบเขาแล้ว แต่ก็ไม่มอบรอยยิ้มให้เขาอีกเลยสักเศษเสี้ยว ในแต่ละวันนอกจากฝึกฝนแล้ว เธอก็ไม่ยอมพูดคุยสัพเพเหระกับเขาอีก
ฟั่นเชียนซื่อก็ไม่เอ่ยถึงเรื่องในอดีตอีก ทุกวันจะทุ่มเทฝึกฝน ซึมซับความรู้เฉพาะเหล่านั้นปานเสพติดมอมเมา เติบโตก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว
แน่นอน สองปีมานี้เขามักจะออกไปข้างนอกอยู่บ่อยครั้ง บางครั้งก็ออกไปนานกว่าสองเดือน ไม่มีใครทราบว่าเขาไปทำอะไร ส่วนกู้ซีจิ่วก็ไม่เคยสอบถามเลยเช่นกัน
แน่นอนว่าบางครั้งกู้ซีจิ่วก็ออกไปจัดการกิจธุระนอกหุบเขาเช่นกัน เมื่ออยู่ในเหลาสุราร้านตลาดเรื่องที่ได้ยินมากที่สุดก็คือความสำเร็จอันรุ่งโรจน์ของตี้ฝูอี
อย่างเช่นเขาใช้เวลาสองปีนี้เปลี่ยนฟ้าแปลงดินของยมโลกอีกครั้ง
หรืออย่างเช่นคนที่อยู่ใต้สังกัดของเขาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แทบจะมีอยู่ทั่วหกภพภูมิแล้ว เขาก่อตั้งเครือข่ายข่าวสารที่ทรงพลังขึ้นมา แทบไม่มีเรื่องใดในใต้หล้านี้ที่เขาจะไม่ล่วงรู้
ส่วนจักรพรรดิของแดนมนุษย์ก็เข้าใจสถานการณ์ดียิ่ง เป็นฝ่ายเชื้อเชิญเขาให้เข้าสู่แดนมนุษย์เอง แต่งตั้งเขาเป็นมหาราชครู มอบอำนาจสูงสุดให้แก่เขา ให้เขาทำการปฏิรูปอย่างเฉียบขาดอหังการได้ แม้ว่าจะเป็นการสะเทือนไปถึงหน่อเนื้อเชื้อพระวงศ์ก็ไม่เสียดายเลย
เมื่อเป็นเช่นนี้ ในที่สุดหกภพภูมิก็ตกอยู่ในมือของเขา เขากลายเป็นเจ้าแห่งหกภพภูมิอย่างแท้จริงแล้ว
ฐานะสูงส่งอย่างยิ่ง นอกเหนือไปจากกู้ซีจิ่วที่เป็นเทพผู้สร้างโลกแล้ว ไม่มีผู้ใดสามารถเทียบเคียงกับเขาได้อีก
แน่นอน ฟั่นเชียนซื่อก็เติบใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วยิ่ง ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเทพผู้สร้างโลกที่ถือกำเนิดจากการบ่มเพาะของฟ้าดิน เมื่อมุ่งมั่นฝึกฝนวรยุทธ์แล้ว ก็เติบโตก้าวหน้าขึ้นไวยิ่ง ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงสองปี พลังยุทธ์ของเขาบรรลุระดับซ่างเสินขั้นเจ็ดแล้ว แผนภูมิดาราก็ควบคุมได้กว่าครึ่งแล้ว ถึงแม้จะยังไม่สามารถจัดเรียงดาราได้ แต่ก็มีกำลังพอจะเคลื่อนคีรี ถมสมุทร ชิงดาราเปลี่ยนชะตาได้แล้ว
กู้ซีจิ่วได้เห็นพัฒนาการของเขาแล้วก็ยังคงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
บางทีอาจเป็นเพราะใกล้ถึงวันดับขันธ์แล้ว ความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับเทพผู้สร้างโลกของเธอจึงฟื้นฟูกลับมาไม่น้อยเลย
————————————————————————————-
[1] น้ำแข็งหนาสามฉื่อมิได้ก่อเกิดจากความเหน็บหนาวภายในวันเดียว ความหมายคือ สิ่งต่างๆ ไม่ได้เกิดขึ้นภายในชั่วข้ามคืน แต่เกิดจากการสั่งสมบ่มเพาะมาเนิ่นนานกว่าจะเป็นอย่างที่เห็นในปัจจุบัน