บทที่ 1769 หลบไป ฉันจะเก๊กแล้ว! / บทที่ 1770 มีเงินเกินไปแล้ว

แผนรักร้ายคว้าหัวใจคุณสามี

บทที่ 1769 หลบไป ฉันจะเก๊กแล้ว!

กงซวี่พองขนเอ่ยว่า “แต่นั่นเป็นงานเลี้ยงวันเกิดของเส้าเหิง! เจ้าเด็กนั่นก็แค่รุ่นหลัง คนใหม่ที่เพิ่งเดบิวต์ไม่กี่วัน ถึงกับให้ฉันไปร้องเพลงวันเกิดในงานเลี้ยงของเจ้านั่น ใครให้หน้ามันกัน

“ถ้าฉันต้องไปร้องจริง จากนี้ฉันจะยังเงยหน้าในวงการบันเทิงได้อีกเหรอ ฉันเสียหน้าตัวเองก็แล้วไป แต่ฉันยังจะเสียหน้าของพี่เยี่ยด้วย!”

ตอนที่เส้าเหิงใช้กำลังปล้นทรัพยากรของจูเสินสือไต้และเกาะความดังพวกเขา พวกเขาไม่ได้ให้ความร่วมมือมากนัก การกระทำของเส้าเหิงตอนนี้จึงแค่ต้องการทำให้พวกเขาจูเสินสือไต้ขายหน้าก็เท่านั้นเอง!

เฟ่ยหยางที่อยู่ด้านข้างถอนหายใจ ที่กงซวี่พูดพวกเขาก็ย่อมเข้าใจดี แต่กลับจนปัญญา

ถ้าเป็นคนอื่น ด้วยตำแหน่งและสถานะในวงการบันเทิงของพวกเขา หากปฏิเสธไปก็มีผลกระทบไม่มาก แต่ครั้งนี้เบื้องหลังของฝ่ายตรงข้ามยากยั่วยุจริงๆ…

ตอนนั้นเยี่ยอีอีก็จงใจใช้เส้าเหิงมาหยุดยั้งพวกเขา

เฟ่ยหยางเดินไปตบไหล่กงซวี่ “กงซวี่ ช่างเถอะๆ อย่าไปลดตัวกับพวกนั้นเลย ก็แค่ร้องเพลงเท่านั้น คิดเสียว่าร้องเพลงให้หมาฟังน่า!”

กงซวี่เอ่ย “ผมไม่ร้อง! อยากร้องพี่ก็ไปร้องเอง!”

เจียงเยียนหรานเอ่ย “กงซวี่ นายฟังฉัน…”

กงซวี่ปิดหู “ผมไม่ฟังๆๆ…”

ทุกคนเห็นดังนั้นก็มีสีหน้าจนใจ กงซวี่เจ้าหมอนี่ถ้าดื้อขึ้นมาใครก็โน้มน้าวไม่อยู่

คนคนเดียวที่สามารถโน้มน้าวได้ พวกเขาก็ไม่กล้าไปรบกวน

แต่ถ้าล่วงเกินซิงเฉิน จูเสินสือไต้ก็นับว่าจบเห่จริงๆ แล้ว…

ชั่วขณะนั้นบรรยากาศตกอยู่ในภาวะหยุดนิ่ง

เวลานี้ ลั่วเฉินเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “นายไม่ไปก็ได้ แต่ฉันจะบอกพี่เยี่ยว่าตอนที่พี่เยี่ยไม่อยู่ นายเปลี่ยนแฟนสาวไปสิบสามคน”

กงซวี่พลันกระโดดลุกขึ้นจากโซฟาราวกับไฟลนก้น “เชี่ย! นายพูดมั่ว! สิบสองคนเท่านั้นเหอะ! ถุย ไม่ถูกสิ! ฉันเปลี่ยนแฟนสาวตั้งแต่เมื่อไร คุณชายรักษาความบริสุทธิ์ของตัวเองแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีแฟนสาวมาก่อน เป็นผู้หญิงหน้าไม่อายพวกนั้นเองที่มาเกาะติดความดังของคุณชายเข้าใจไหม”

ลั่วเฉินพูด “นายลองดูได้ พี่เยี่ยจะเชื่อนายหรือว่าเชื่อฉัน”

กงซวี่นิ่งค้าง ในตอนที่ระลึกได้ว่าวีรกรรมตัวเองมีมากมาย ความน่าเชื่อถือต่ำเตี้ยเกินไป พี่เยี่ยค่อนข้างเชื่อใจลั่วเฉินมากกว่าจริงๆ เขาก็โกรธจนแทบบ้าแล้ว “กะ…แกๆๆๆ…เชี่ย! ลั่วเฉิน! มาไม้นี้อีกแล้ว! แกเจ้าคนชั่วช้าสกปรกหน้าไม่อายนี่!”

สุดท้าย กงซวี่ก็ได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันตามไปด้วยกัน

ในขณะเดียวกัน

เยี่ยหวันหวั่นยังคงคุยเรื่องของซิงเฉินกับผู้อาวุโสใหญ่และผู้อาวุโสสาม

“ไหนๆ ผู้นำก็มาถึงที่นี่แล้ว ไม่สู้ไปสำรวจซิงเฉินหน่อยดีไหมครับ” ผู้อาวุโสสามเอ่ยปากแนะนำ

เยี่ยหวันหวั่นลูบคางพึมพำกับตัวเอง ไปสำรวจซิงเฉิน?

ตามความรู้ความเข้าใจของเยี่ยหวันหวั่นแล้ว ซิงเฉินเอนเตอร์เทนเมนต์ก็เป็นเจ้าแห่งวงการในอุตสาหกรรมชัดๆ เป็นหนทางที่ศิลปินทุกคนเฝ้าแสวงหา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงทั้งซิงเฉินกรุ๊ป

ถึงแม้เป็นยุครุ่งเรืองถึงขีดสุดของจูเสินสือไต้ แต่กับซิงเฉินเอนเตอร์เทนเมนต์ก็ได้แต่มองไม่อาจเอื้อมถึง…

แต่แล้วตอนนี้กลับให้เธอไปซิงเฉิน…เพื่อสำรวจ…

ผู้อาวุโสใหญ่ก็พูดด้วยน้ำเสียงสมเหตุสมผล “ในเมื่อซิงเฉินเป็นสาขาย่อยของเราในประเทศจีน ก็ย่อมควรต้อนรับผู้นำสักหน่อย เมื่อกี้ผู้อาวุโสรองก็พูดในมือถือว่าเตรียมการต้อนรับไว้แล้ว ขอเชิญผู้นำให้เกียรติไปเยี่ยมเยียนให้ได้”

เยี่ยหวันหวั่นรักษาอารมณ์บนใบหน้าให้สงบนิ่ง กระแอมหนึ่งทีก่อนเอ่ยอย่างใจเย็น “ได้สิ งั้นก็ไปสักรอบเถอะ”

ถ้ามีความสัมพันธ์ของฝั่งซิงเฉิน งั้นการดำเนินการของเธอก็จะสะดวกขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว

เฮ้อ ต้องเปิดโหมดเก๊กท่าอีกแล้ว…

———————————————————————–

บทที่ 1770 มีเงินเกินไปแล้ว

“ซิงเฉินเอนเตอร์เทนเมนต์…”

เยี่ยหวันหวั่นพึมพำในลำคอ ไม่ว่ายังไงก็นึกไม่ถึงว่าบริษัทบันเทิงนานาชาติที่ชื่อเสียงโด่งดังกลับเป็นทรัพย์สินภายใต้แบรนด์ของผู้อาวุโสรองพันธมิตรอู๋เว่ย…

ถ้าเป็นแบบนี้ บริษัทซิงเฉินเป็นทรัพย์สินของผู้อาวุโสรอง ก็เท่ากับว่าเป็นส่วนหนึ่งของพันธมิตรอู๋เว่ยด้วย…

ตั้งแต่ที่มาถึงประเทศจีน ผู้อาวุโสใหญ่ก็เข้าใจแล้วว่าผู้นำไม่อยากสร้างเรื่องยุ่งยากมากในประเทศจีน ไม่ใช้กองกำลังได้จึงจะดีที่สุด

หลังเยี่ยหวันหวั่นครุ่นคิดอยู่นาน สุดท้ายก็ตัดสินใจไปดูซิงเฉินเอนเตอร์เทนเมนต์สักรอบ

ซิงเฉินเอนเตอร์เทนเมนต์แต่ไหนแต่ไรอยู่อย่างสงบเงียบมากในประเทศจีน แต่อิทธิพลกลับน่ากลัวอย่างยิ่งยวด

บริษัทบันเทิงเจ้าไหนก็ตามของประเทศจีนไม่สามารถเทียบเคียงกับซิงเฉินเอนเตอร์เทนเมนต์ได้ กระทั่งอย่างหวงเทียนเอนเตอร์เทนเมนต์บริษัทบันเทิงชั้นยอดอย่างนี้ เมื่อเจือกับซิงเฉินเอนเตอร์เทนเมนต์ก็ยังต้องเคารพนอบน้อม กลัวว่าจะสร้างความไม่พอใจให้ซิงเฉินเอนเตอร์เทนเมนต์

สาขาของซิงเฉินเอนเตอร์เทนเมนต์มีมากมาย ที่เมืองหลวงก็มีสาขาที่ค่อนข้างใหญ่อยู่หลายแห่ง

เยี่ยหวันหวั่นกับพวกผู้อาวุโสใหญ่และผู้อาวุโสสามขับรถไปยังสาขาที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงของซิงเฉินเอนเตอร์เทนเมนต์

“ทำไมพวกแกสองคนตามมาด้วยล่ะ”

เวลานั้นผู้อาวุโสสามมองชีซิงกับเป่ยโต่วที่ขึ้นรถท้ายที่สุด หัวคิ้วก็ขมวดน้อยๆ

“ทำไมล่ะ ทำไมพวกเราจะไปด้วยกันกับพี่เฟิงไม่ได้”

เป่ยโต่วมองผู้อาวุโสสามด้วยสีหน้างุนงงสงสัย

“ไม่ต้องดูเลี่ยวเจียฉีแล้วเหรอ” ผู้อาวุโสสามเอ่ยปาก

ได้ยินคำพูดนี้ของผู้อาวุโสสาม เป่ยโต่วก็หัวเราะคิก “ผู้อาวุโสสามนี่ก็ระวังตัวเกินไป เลี่ยวเจียฉีเจ้าเด็กนั้นไหนเลยยังต้องดู ตอนนี้ต่อให้ผู้อาวุโสสามใช้ไม้ตะบองไล่เขาก็ไล่ไม่ไปหรอก อีกอย่างนะ ไม่ใช่ว่ามีสมาชิกหัวกะทิของพันธมิตรอู๋เว่ยดูอยู่เหรอ เรื่องขี้ปะติ๋วอย่างนี้ไม่ต้องใช้ผมกับชีซิงหรอก ฆ่าวัวทำไมต้องใช้มีดฆ่าหมูเล่า”

เป่ยโต่วพูดจบก็หันมองเยี่ยหวันหวั่นทันที “พี่เฟิงผมพูดถูกหรือเปล่า”

เยี่ยหวันหวั่นหมดคำจะกล่าว ไม่อยากเสวนาด้วยจริงๆ…รบกวนคนข้างหน้าขับรถไปเร็วๆ หน่อย…

ผ่านไปสักพัก ผู้อาวุโสใหญ่ก็จอดรถที่ข้างถนน

ด้านหน้าก็คือตึกระฟ้าสูงใหญ่ ที่ด้านบนสุดแขวนตัวอักษร ‘ซิงเฉินเอนเตอร์เทนเมนต์’ ตัวเบ้อเริ่ม

ซิงเฉินเอนเตอร์เทนเมนต์ แดนศักดิ์สิทธิ์ของวงการบันเทิงนานาชาติ

“เชี่ย…เงยหน้ามองไม่เห็นชั้นบนสุดเลย…” เป่ยโต่วมองไปที่ซิงเฉินเอนเตอร์เทนเมนต์ ในปากพึมพำไม่หยุด

“เฮ้อ ผู้อาวุโสมีเงินจริงๆ…”

แม้แต่ผู้อาวุโสใหญ่ก็อดทอดถอนใจไม่ได้

ผู้อาวุโสสามเอ่ยปาก “มีเงินแล้วทำไม มีเงินเจ๋งมากรึไง”

ได้ยินดังนั้น ชีซิงหันมองผู้อาวุโสสามเกือบจะหลุดปากพูดออกไปว่า ‘มีเงินก็เจ๋งจริงๆ’

ในพันธมิตรอู๋เว่ย เบื้องบนที่ร่ำรวยที่สุดก็คือผู้อาวุโสรอง จุดนี้ทุกคนรู้ดี

แต่เงินทุนดำเนินการของผู้อาวุโสรองก็เอามาจากพันธมิตรอู๋เว่ย พูดให้ชัดเจนคือ บริษัทซิงเฉินไม่ถือว่าเป็นทรัพย์สินส่วนตัวในด้านความหมายที่แท้จริง แต่เป็นทรัพย์สมบัติส่วนหนึ่งของพันธมิตรอู๋เว่ย

แน่นอนว่าเยี่ยหวันหวั่นไม่คิดจุกจิกกับของพวกนี้ เป็นทรัพย์สมบัติของพันธมิตรอู๋เว่ยก็ดี ทรัพย์สินส่วนตัวของผู้อาวุโสรองก็ดี ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกัน อีกอย่าง ผู้อาวุโสรองก็เป็นคนของพันธมิตรอู๋เว่ยไม่ใช่เหรอ

“เฮ้อ ผู้อาวุโสรองด้อยกว่าผู้อาวุโสใหญ่แล้วก็ผู้อาวุโสสามแฮะ” จู่ๆ เป่ยโต่วก็จ้องตึกระฟ้าตรงหน้าพลางส่ายหน้าด้วยสีหน้าดูถูก

สิ้นเสียงของเป่ยโต่ว เยี่ยหวันหวั่นพลันมองผู้อาวุโสใหญ่กับผู้อาวุโสสามอย่างดวงตาเปล่งแสง

ความหมายของคำพูดนี้ของเป่ยโต่วคือ…ผู้อาวุโสใหญ่กับผู้อาวุโสสามยังรวยกว่าผู้อาวุโสรองอีกเหรอ

เยี่ยหวันหวั่นนึกมาตลอดว่า พันธมิตรอู๋เว่ยพวกเธอแท้จริงเป็นกองกำลังที่ยากจนข้นแค้นมาก ไม่อย่างนั้นทำไมต้องไปขโมย…