ภาค 7 ความผันผวนในใต้หล้าเป็นยุคของข้า บทที่ 663 ผลักคลื่น

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ค่ายกลอัคคีสวรรค์อัสนีวิบัติเกิดปัญหา ฝ่ายต่อต้านต้าเสวียนกับราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องคอยจับตามอง

ครั้งนี้พลันมีข่าวแพร่หลายออกมาว่า คนที่ลงมือทำลายแผนการใหญ่ของราชวงศ์ต้าเวียนอ๋อง แต่กลับเป็นคุณูปการใหญ่หลวงต่อกองทัพต่อต้านต้าเสวียนที่อยู่ในข่ายกระบี่บนเกาะโม๋หลูนั้น คือผู้อาวุโสสำนักแสงสว่าง ยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งยุคกลาง ‘ราชาแสงดารา’ หนงอวี่ซวน

ข่าวนี้ค่อยๆ ได้รับการยอมรับจากคนจำนวนไม่น้อย

ขุมกำลังต่อต้านต้าเสวียน เช่น หอกระบี่ทะเลเหนือ ค่อนข้างกริ่งเกรงค่ายกลอัคคีสวรรค์อัสนีวิบัติของราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋อง ยามปกติก็จะศึกษาเพื่อให้รู้เขารู้เรา รวมทั้งหาวิธีแก้ไข

หนงอวี่ซวนมีชื่อเสียงโด่งดัง เพราะเป็นผู้โดดเด่นที่เชี่ยวชาญค่ายกลอัคคีสวรรค์อัสนีวิบัตินอกจากราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋อง

ถึงแม้ไม่อาจวางค่ายกลเช่นนี้ได้ แต่ว่าความเข้าใจที่มีต่อค่ายกลของเขา ยอดฝีมือของราวชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องจำนวนมากยังสู้เขาไม่ได้

กล่าวได้ว่า นอกจากยอดฝีมือของราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องบนทะเลหวงเจียแล้ว ถ้าหากมีคนทำลายค่ายกลนี้ได้ คนที่ผู้คนจะคิดถึงเป็นคนแรก มากกว่าครึ่งคือหนงอวี่ซวน

ข่าวสารส่งไปถึงราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋อง คังฮูหยิน หนึ่งในเก้ากระบี่ผู้วิเศษ นางเรียกคังเม่าเซิงเข้ามาก่อน

“เม่าเซิง เจ้าแน่ใจนะว่าไม่ใช่ฝีมือของหนงอวี่ซวนนั่น” คังฮูหยินถาม

คังเม่าเซิงตอบอย่างใจเย็น “ในตอนนั้นหนงอวี่ซวนนั้นปรากฏตัวเพียงพริบตาเดียว มาช้ากว่าข้าเสียอีก แต่ก่อนที่ข้าจะไปถึงน่านน้ำทางเหนือของเกาะเฉวียนหลิง หนงอวี่ซวนได้โผล่มาหรือไม่ ข้าไม่กล้ายืนยัน”

คังฮูหยินพยักหน้า “ต้องถามจิ่นหยวนแล้ว”

คนทั้งสองมาถึงห้องที่คังจิ่นหยวนพักผ่อน ตอนนี้คังจิ่นหยวนน่าจะฟื้นแล้ว

เมื่อเห็นคังฮูหยิน คังจิ่นหยวนพลันร้องขึ้นอย่างยินดี “ท่านแม่!”

แต่เมื่อเห็นคังเม่าเซิงมาด้วย สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นซับซ้อนเล็กน้อย

รู้ใจบุตรไม่มีใครเกินมารดา คังฮูหยินเห็นดังนั้นก็ถอนใจเงียบๆ

คังจิ่นหยวนกัดริมฝีปาก หันไปอีกทาง ไม่มองพี่ชายต่างมารดาของตนอีก

เขายินยอมติดบุญคุณใครก็ได้ คนเดียวที่ไม่ยอมคือคังเม่าเซิง

ตั้งแต่เล็กจนโต บิดามารดาให้ความสำคัญกับคังเม่าเซิงยิ่งกว่า ชมเชยตลอดเวลา แต่กลับตำหนิตน อีกทั้งยังเปรียบเทียนตนกับคังเม่าเซิง

บิดายังพอว่า ตนต่างหากที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของมารดา!

ตนจะต้องแกร่งกว่าเขาให้ได้!

คังฮูหยินจนปัญญาเล็กน้อย ภรรยาเก่าของสามีเสียชีวิตเร็ว เหลือคังเม่าเซิงที่เป็นบุตรคนโตไว้ ในตอนที่นางแต่งเข้ามา คังเม่าเซิงยังอายุน้อย ความจริงแล้วนางก็เป็นผู้ที่เลี้ยงเขาจนเติบใหญ่

ต่างเป็นบุตรของสามีเหมือนกัน นางไม่อยากทำตัวใจดำกับคังเม่าเซิง ถึงขั้นดูแลเป็นพิเศษด้วยซ้ำ

คังเม่าเซิงเคารพยกย่องนางมากเช่นกัน หลายปีมานี้เรียกว่า ‘ท่านแม่’ เหมือนกับคังจิ่นหยวน

แม่ลูกสองคนมีความสัมพันธ์ค่อนข้างดี เหมือนลูกในในไส้ไม่มากก็น้อย

แน่นอนว่าหากต้องเปรียบเทียบกันจริงๆ คนที่นางรักใคร่ที่สุดยังเป็นบุตรคนเล็กคังจิ่นหยวน ซึ่งเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของนาง

เพียงแต่เมื่อเทียบนิสัยระหว่างคังจิ่นหยวนกับคังเม่าเซิงผู้เป็นพี่ชายแล้ว เขาหุนหันพลันแล่นและทะนงตนกว่ามาก

ถึงแม้ปัจจุบันพี่น้องทั้งสองจะมีระดับพลังฝึกปรือเท่ากัน แต่สำหรับคังฮูหยินแล้ว สิ่งที่บุตรคนเล็กขาดแคลนมีมากมายนัก

แม้คิดจะสั่งสอนอย่างจริงจัง แต่ในเวลาสำคัญกับทำใจไม่ลง ทำให้นางเป็นกังวลใจยิ่ง

ต่อหน้ามารดา คังจิ่นหยวนยังทำตัวดี เมื่อเห็นมารดาคล้ายมีปัญหา ก็ถามว่า “ท่านแม่มีปัญหาอะไรหรือ?”

คังฮูหยินพยักหน้า “จิ่นหยวน ข้าจำได้ว่าหลังจากเจ้าฟื้นขึ้นมาก็พูดว่า คนที่ทำลายค่ายกลอัคคีสวรรค์อัสนีวิบัติ ก็คือเยี่ยนจ้าวเกอที่ทำร้ายเจ้าใช่หรือไม่?”

คังจิ่นหยวนพลันกัดฟัน “เป็นตัวบัดซบนั่น!”

ผู้เป็นมารดามองเขาอย่างจริงจัง “จิ่นหยวน เจ้าแน่ใจหรือไม่?”

บุตรชายคนเล็กอ้าปากคิดกล่าวอะไร ครั้นเห็นมารดามีสีหน้าจริงจังถึงเพียงนี้ เขาก็ต้องใคร่ครวญอย่างละเอียดอีกครั้งค่อยตอบว่า “ข้าไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเองว่าเขาทำได้อย่างไร กระนั้นเขาเคยพูดว่า ต้องอาศัยค่ายกลอัคคีสวรรค์อัสนีวิบัติทำลายเกราะฟ้าดินที่ท่านมอบให้ข้า”

“เป็นเขารู้ว่าค่ายกลอัคคีสวรรค์อัสนีวิบัติเกิดปัญหา จึงพาข้าไปที่นั้น หลังจากเขาพาข้าไปแล้ว เขาก็ลงมือกับค่ายกลเอง ข้าไม่แน่ใจนัก ข้าในตอนนั้นถูกเขาขังไว้ในวังที่เต็มไปด้วยปราณมังกร หลังจากออกมาด้านนอก ค่ายกลก็เกิดปัญหาแล้ว”

เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ คังฮูหยินก็พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็เอ่ยว่า “ต่อเสวียนมู่อ๋องและคนอีกไม่กี่คน เจ้าสามารถบอกเล่าเรื่องราวตามความจริงได้ แต่ว่าสำหรับคนอื่น โดยเฉพาะคนในขุมกำลังต่อต้านต้าเสวียน เจ้าจะต้องบอกว่าหนงอวี่ซวนแห่งสำนักแสงสว่างทำลายค่ายกลอัคคีสวรรค์อัสนีวิบัติ”

คังจิ่นหยวนงงงัน คังฮูหยินพูดต่อ “ใจเย็นก่อน สภาพการณ์อย่างละเอียดจะบอกเล่าให้เจ้าฟังเอง”

ขณะพูด สีหน้าของนางสั่นไหว หมุนกายไปมอง

ด้านนอกประตูมีเสียงของคนผู้หนึ่งลอยมา “หนงอวี่ซวนแห่งสำนักแสงสว่างน่าจะไม่มีความสามารถนี้ เป็นคนอื่นทำ ตอนนี้สำนักแสงสว่างสวมรอยรับความดีความชอบ พวกเราจะช่วยสุมไฟให้ ปล่อยให้พวกเขาเป็นสุนัขกัดกันเอง”

คังฮูหยินประหลาดใจเล็กน้อย “ศิษย์พี่ฉี ไฉนท่านมาที่ทะเลเหนือแล้ว?”

คังเม่าเซิงกับคังจิ่นหยวนรู้สึกเหนือความคาดหมายเช่นกัน รีบร้อนคารวะ “อาจารย์ลุงฉี”

บุรุษวัยกลางคนร่างสูงผู้หนึ่งเดินเข้ามา แก้มเหลืองตอบ สายตาเย็นชา

เขาแค่นเสียง ส่งกระแสเสียงตอบ “ศิษย์น้องเลี่ยวหายตัวไป เครื่องหอมบรรจุฟ้า และผลึกปอดแดนทะเล วัตถุดิบที่เขาต้องเป็นคนส่งมาก็หายไปเช่นกัน ข้าได้แต่มาดูว่าแท้ที่จริงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”

คังฮูหยินงงงวย “ใครทำกัน?”

ต่อมา สีหน้าของนางก็เคร่งขรึมลง เห็นได้ชัดว่าคิดออกแล้ว วัตถุดิบและทรัพยากรที่ต้องส่งในครั้งนี้หายไป ในเวลาสั้นๆ เกรงว่าจะเก็บรวบรวมได้ยากยิ่ง ไม่แน่ว่าจะเสียการใหญ่

บุรุษวัยกลางคนกล่าวเสียงขรึม “อาจจะเป็นเด็กน้อยแซ่เยี่ยนที่เจ้าพูดถึงก่อนหน้า ศิษย์น้องเลี่ยวเหมือนจะเจอเขาเข้า จึงทิ้งเครื่องหมายไว้จำนวนหนึ่ง อีกทั้งยังเรียกจอมยุทธ์ราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องที่อยู่ใกล้ๆ ให้ตามไป แต่รอจนพวกเขาไปถึงที่นั่น ศิษย์น้องเลี่ยวก็ไม่รู้ไปอยู่ที่ใด ไม่มีข่าวคราวอีก”

คังฮูหยินเงียบงันลงครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวโทษตัวเองว่า “หลายวันมานี้ข้าเอาแต่ดูแลจิ่นหยวนกับเม่าเซิง เป็นข้าเลินเล่อไป”

บุรุษวัยกลางคนส่ายหน้า “ไม่ใช่เวลาพูดเรื่องเหล่านั้น สมมติศิษย์น้องเลี่ยวถูกเด็กน้อยผู้นั้นฆ่าจริงๆ พวกเราตอนนี้ต้องหาวิธีลากตัวเขาออกมา”

“เรื่องที่คนของสำนักแสงสว่างสวมรอยรับความดีความชอบข้าเองก็ได้ยินมาแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะมีประโยชน์ที่อยู่เหนือความคาดหมาย พวกเรายินดีผลักคลื่นให้สูงขึ้น”

สายตาของเขาเย็นเยียบ “สำนักแสงสว่างกับเด็กผู้นี้มีความแค้นกัน สามารถให้พวกเขาช่วยพวกเราตามหาคนได้ เมื่อเจอตัวเด็กน้อยผู้นั้นแล้ว ค่อยช่วยศิษย์น้องเลี่ยวออกมา ไม่ก็แก้แค้นให้เขา ขณะเดียวกันก็ชิงวัตถุดิบที่ศิษย์น้องเลี่ยวรับหน้าที่ส่งในตอนนั้นกลับมาด้วย”

“ถึงเวลานั้นข้าจะนำของกลับไปทันที น่าจะไม่ผิดพลาด กลัวก็แต่ว่าวัตถุดิบหายไป ดังนั้นข้าจึงต้องมาเอง เกิดมีปัญหาขึ้น จะได้ปรับเปลี่ยนแก้ไขทันที ให้เสวียนมู่อ๋องช่วยรวบรวม”

คังฮูหยินพยักหน้า “ความสามารถด้านค่ายกลของศิษย์พี่ฉีท่าน ทุกคนต่างรู้มาแต่ไหนแต่ไร”

ฉีเหว่ย บุรุษวัยกลางคนผู้นี้ แม้ว่าขณะนี้จะไม่ได้มีชื่อเสียง แต่กลับพูดได้ว่าเป็นหมายเลขหนึ่งในความสามารถด้านค่ายกลของราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋อง และเป็นปรมาจารย์ด้านค่ายกลอันดับหนึ่งในปัจจุบันของทะเลหวงเจีย

เขาเป็นยอดฝีมือที่อยู่ในระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นห้าเหมือนคังฮูหยิน แต่คังฮูหยินรู้ดีว่าหากให้ฉีเหว่ยมีเวลาวางค่ายกลมากพอ เขาคนเดียวสามารถวางหลุมพรางสังหารยอดฝีมือในระดับเดียวกันได้เป็นจำนวนมาก

ฉีเหว่ยไม่ใช่ผู้สืบทอดของผู้วิเศษเซิง แต่เป็นผู้สืบทอดของของนักพรตสือ ปรมาจารย์ค่ายกล ยอดฝีมือที่มาสร้างแผ่นดินพร้อมกับเสวียนเหวินอ๋อง รวมถึงผู้วิเศษเซิง ทั้งสามมาจากที่เดียวกัน ดังนั้นจึงเรียกเป็นศิษย์ร่วมสำนักได้

ค่ายกลบูชาฟ้าในยามปกติฉีเหว่ยเป็นผู้ควบคุม ครั้งนี้ออกสำนักด้วยตัวเอง แสดงให้เห็นว่าถูกกดดันจนร้อนใจแล้ว