ตอนที่ 776 การประมูลอย่างดุเดือด

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

เมื่อฉินอวี้โม่เอ่ยถามเกี่ยวกับ ‘บุรุษใบ้’ ซึ่งเป็นหนึ่งในรายการประมูลครานี้ แน่นอนว่าหลานเผิงก็มีข้อมูลเพิ่มเติมอยู่

“เขาถูกส่งมาที่โรงประมูลของเราโดยขุมกำลังใหญ่แห่งหนึ่ง เดิมทีเราสงสัยกันว่าเขาน่าจะเป็นอสูรมายา ทว่าข้อสันนิษฐานนั้นก็ถูกปัดทิ้งไป อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่เรามั่นใจได้ก็คือเขามิใช่มนุษย์ธรรมดา”

บุรุษใบ้ถูกส่งมาที่ศูนย์การค้าจ้าวสมุทรโดยขุมกำลังใหญ่แห่งหนึ่ง ในตอนแรกเขาไม่ได้อยู่ในสาขาของเมืองเทียนหยวนแห่งนี้ทว่าถูกส่งตัวมาในภายหลัง

กล่าวได้ว่าบุรุษใบ้ผู้นั้นลึกลับอย่างที่สุดและในร่างกายของเขาก็มีพลังที่ยิ่งใหญ่บางอย่างซึ่งถูกปิดผนึกไว้ แม้แต่หลานเผิงเองก็ยังต้องรู้สึกหวั่นใจเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา

อย่างไรก็ตาม ราวกับว่า ‘เขา’ ยินดีที่จะถูกประมูล เขาไม่เคยเอ่ยปากกล่าวสิ่งใดและไม่เคยลืมตาด้วยซ้ำ เขาเพียงอยู่เงียบ ๆ ในห้องตลอดเวลาและไม่สร้างปัญหาหรือก่อให้เกิดความวุ่นวายใดในโรงประมูลแม้แต่ครั้งเดียว

“น่าแปลกพิกล…”

เมื่อได้ฟังข้อมูลจากหลานเผิง ฉินอวี้โม่ก็สงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับบุรุษใบ้มากยิ่งขึ้น เขาถูกส่งมาจากขุมกำลังใหญ่และมีพลังที่น่าสะพรึงกลัวซึ่งถูกปิดผนึกอยู่ในร่างกาย…เขาเป็นใครกันแน่?

จากนั้นทั้งสองก็พูดคุยกันอย่างสบาย ๆ พักหนึ่งก่อนที่งานประมูลจะเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ

ในช่วงแรกของงานประมูล ฉินอวี้โม่ไม่สนใจเท่าใดนัก เนื่องจากไม่มีสิ่งใดที่เข้าตานาง นางจึงเพียงนั่งชมการประมูลโดยที่ไม่เข้าร่วมการเสนอราคาแม้แต่ครั้งเดียว

อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านั้นก็เป็นสมบัติที่ล้ำค่าและน่าสนใจสำหรับจอมยุทธ์ทั่วไป ตราบใดที่ได้มาเพียงชิ้นเดียว มันก็สามารถพัฒนาความแข็งแกร่งของพวกเขาได้มาก เพราะเหตุนั้นพวกมันจึงกอบโกยผลกำไรให้กับโรงประมูลได้สูง ไม่ว่าจะเป็นทักษะยุทธ์ ทักษะการต่อสู้หรืออาวุธอุปกรณ์ ทุกอย่างล้วนปิดประมูลในราคาที่สูงกว่าราคาตลาดมากกว่าสองเท่าตัว

“แม่นางอวี้โม่ ห้องรอบ ๆ เราคือตัวแทนจากสี่ตระกูลใหญ่ นอกจากตระกูลโจวที่ท่านเคยพบแล้ว ยังมีอีกสามตระกูลที่ท่านไม่เคยพบหน้ามาก่อน”

เมื่อเห็นว่าฉินอวี้โม่ไม่มีท่าทีสนใจของประมูลตรงหน้าเท่าใดนัก หลานเผิงจึงชวนนางพูดคุยเกี่ยวกับตระกูลใหญ่ของเมืองเทียนหยวนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“นอกจากตระกูลโจว อีกสามตระกูลที่เหลือมิใช่ตระกูลที่เผด็จการและไร้เหตุผล ยิ่งไปกว่านั้น ท่านเป็นผู้ครอบครองป้ายจ้าวสมุทร พวกเขาไม่กล้าหาเรื่องท่านแน่”

โดยรวมแล้วเมืองเทียนหยวนยังถือเป็นเมืองที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แม้ความสัมพันธ์ระหว่างสี่ตระกูลใหญ่จะไม่ถึงขั้นสนิทสนมรักใคร่กันมากนัก พวกเขาก็ไม่ได้มีความขัดแย้งถึงขั้นลงไม้ลงมือ เว้นเพียงแต่ตระกูลโจวและตระกูลเฝิงที่พยายามหาทางสร้างปัญหาความวุ่นวายเป็นประจำ ตระกูลอื่นถือว่าเข้ากันได้ดีทีเดียว

แม้ว่าโจวปิ่งฮุยจะเป็นบุคคลที่เจ้าเล่ห์และเชื่อใจไม่ได้ ทว่าเขาก็เป็นคนที่ตระหนักถึงสถานการณ์ความเป็นไปรอบตัวอยู่เสมอ สำหรับเมืองเทียนหยวนในตอนนี้ ฉินอวี้โม่เพียงต้องจับตาดูคนตระกูลเฝิงเท่านั้นและตระกูลอื่นจะไม่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับนาง

“การคัดเลือกของเมืองเทียนหยวนมิใช่เรื่องที่ต้องคำนึงถึง ข้าเชื่อว่าด้วยความแข็งแกร่งท่าน ท่านจะผ่านไปได้อย่างสบาย ๆ สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือการคัดเลือกในรอบต่อไป เมื่อถึงตอนนั้นจอมยุทธ์ฝีมือดีจากทั้งดินแดนจะรวมตัวกัน แม้ท่านจะมีพลังความแข็งแกร่งที่ยอดเยี่ยม ท่านก็ไม่สามารถมั่นใจเต็มร้อยได้”

เขายิ้มและกล่าวต่อโดยแสดงถึงความมั่นใจในตัวของฉินอวี้โม่

“ข้าเองก็จะเข้าร่วมการคัดเลือกในรอบสุดท้ายเช่นกัน หากโชคดี ข้าก็อาจได้เข้าร่วมนิกายเดียวกับแม่นางอวี้โม่ก็เป็นได้”

ในฐานะนายน้อยของตระกูลหลาน หลานเผิงไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมเป็นศิษย์ของสามสำนักและเก้านิกายเพื่อฝึกวิชาด้วยซ้ำ ด้วยพื้นเพที่มั่นคงและยิ่งใหญ่ของตระกูลหลาน เขาจะเป็นผู้มีอิทธิพลอันดับต้น ๆ ของดินแดนได้ไม่ยาก เพียงแต่เขาไม่ต้องการอาศัยอิทธิพลของตระกูลมากจนเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น หลานเผิงก็ต้องการพัฒนาความแข็งแกร่งและยืนหยัดด้วยตนเองเพื่อช่วยให้รากฐานของตระกูลหลานแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น เพราะเหตุนั้นเขาจึงตั้งใจที่จะเข้าร่วมการคัดเลือกในรอบสุดท้าย

และในฐานะคนจากตระกูลใหญ่ของดินแดนเช่นตระกูลหลาน เขาสามารถเข้าร่วมการคัดเลือกในรอบสุดท้ายได้โดยตรง

“ของประมูลชิ้นต่อไปคือหญ้าลืมทุกข์ซึ่งเติบโตขึ้นมาในทะเลไร้ทุกข์ ตราบใดที่กินมัน ท่านจะสามารถลืมเลือนความกังวลหรือความทุกข์ใจทั้งหมดที่มีได้ทันที ราคาประมูลเริ่มต้นอยู่ที่หนึ่งแสนแก่นหินวิญญาณ”

ภายในพริบตา รายการสินค้าของงานประมูลก็ดำเนินมาถึงลำดับที่สิบเก้าแล้ว

ของประมูลทั้งสิบแปดชิ้นก่อนหน้านี้ล้วนปิดประมูลในราคาที่สูงซึ่งมากกว่าท้องตลาดถึงสองเท่าตัว ถึงกระนั้น มันก็ยังดึงดูดความสนใจผู้คนมากมายไม่หยุดหย่อน ยิ่งไปกว่านั้น ตั้งแต่ของประมูลชิ้นที่สิบเก้าขึ้นไปนี้ก็จะถือเป็นของหายากอย่างที่สุด สามารถจินตนาการได้เลยว่าราคาประมูลของมันจะเป็นไปในทิศทางใด

“แม่เจ้า ! หญ้าลืมทุกข์ มีสิ่งที่วิเศษเช่นนี้อยู่จริง ๆ !”

ผู้คนในห้องโถงไม่ได้รับรายการของประมูลล่วงหน้าและพวกเขาไม่ทราบเลยว่าจะมีของประมูลชิ้นใดที่น่าสนใจ ต่อให้ได้ยินข่าวลือมาบ้างก็ไม่มีทางที่จะพิสูจน์ได้แน่ชัด เพราะเหตุนั้น หลายคนจึงอดอุทานออกมาด้วยความตกใจไม่ได้เมื่อได้ยินว่าของชิ้นนี้คือหญ้าลืมทุกข์

ในเมื่อพวกเขาไม่เคยเห็นมันด้วยตาตัวเอง แน่นอนว่ายากที่พวกเขาจะเชื่อได้ว่ามีสิ่งที่วิเศษอย่างหญ้าลืมทุกข์อยู่ในดินแดนนี้จริง

“น่าเสียดายที่ราคาของหญ้าลืมทุกข์จะต้องพุ่งสูงแน่ เกรงว่าเราคงไม่มีทางได้มันมาครอบครอง…”

คนอื่น ๆ เริ่มถอนหายใจด้วยความเสียดาย สุดท้ายแล้วหญ้าลืมทุกข์นี้คงจะตกไปอยู่ในกระเป๋าของขุมกำลังใหญ่สักแห่งและบุคคลที่ต่ำต้อยอย่างพวกเขาไม่มีทางได้มีโอกาสครอบครองมัน

“แม้หญ้าลืมทุกข์จะล้ำค่ามาก มันก็อาจขายได้ในราคาที่ไม่สูงเท่าใดนัก ถึงอย่างไรก็ยังมีหลายวิธีที่จะทำให้ผู้คนลืมความทรงจำของตนได้ ใช่ว่าจะมีแต่หญ้าลืมทุกข์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น”

ภายในห้องพิเศษ แม้ว่าจะมีหลานเผิงอยู่ข้าง ๆ ฉินอวี้โม่ก็ไม่สนใจแม้แต่น้อยขณะกล่าวออกไปตามความคิดและถอนหายใจเบา ๆ

“ถูกต้องแล้วล่ะ ข้าไม่ได้คิดที่จะขายมันในราคาสูงหรอก มันเป็นเพียงสิ่งประดับเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ช่วยเพิ่มหน้าเพิ่มตาให้กับโรงประมูล”

หลานเผิงก็มีความคิดเช่นเดียวกันและตอบกลับพร้อมรอยยิ้มขี้เล่น

หญ้าลืมทุกข์เป็นเพียงสิ่งประดับอย่างหนึ่งที่ช่วยดึงดูดความสนใจของผู้คนและช่วยให้ทราบว่าโรงประมูลของพวกเขาเพียบพร้อมไปด้วยสมบัติหลากหลายชนิดและไม่ได้คิดที่จะตั้งราคาสูงเกินไป สิ่งสำคัญที่แท้จริงคือของประมูลห้ารายการสุดท้ายที่จะดึงดูดความสนใจจนผู้คนต้องส่งเสียงฮือฮา

และเป็นจริงดังที่คิดไว้ เมื่อพิธีกรประกาศเปิดการประมูล ผู้คนก็ตกอยู่ท่ามกลางความเงียบ

“หญ้าลืมทุกข์เป็นสิ่งที่วิเศษมากจริงๆ แต่มีคนเพียงน้อยนิดที่จะต้องการมัน ยิ่งไปกว่านั้น มันก็มีสิ่งทดแทนมากจนเกินไปและทำให้คุณสมบัติโดดเด่นเดิมของมันด้อยค่าลงมาก”

น้ำเสียงเรียบเฉยเสียงหนึ่งดังมาจากห้องพิเศษซึ่งบ่งบอกถึงความคิดของคนส่วนใหญ่ได้เป็นอย่างดี

“เป็นจริงอย่างที่ว่า แม้ว่าหญ้าลืมทุกข์นี้จะเป็นสิ่งที่วิเศษอย่างแท้จริง ทว่าเราก็ไม่ต้องการมัน”

เสียงจากอีกห้องหนึ่งกล่าวเสริมและแสดงความหมายอย่างชัดเจนเช่นกัน นั่นคือหากผู้ใดในฝูงชนต้องการมันก็สามารถเสนอราคาประมูลกันเองโดยที่พวกเขาจะไม่ยุ่งเกี่ยว

เมื่อตระกูลใหญ่ๆในห้องพิเศษ ณ ชั้นสองกล่าวชัดเจนว่าไม่มีความสนใจใด ๆ ผู้คนในห้องโถงก็หันมองหน้ากันเล็กน้อยก่อนเริ่มเสนอราคา

อย่างไรก็ตาม ราคาของมันก็เพิ่มขึ้นอย่างเชื่องช้าซึ่งพิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าหญ้าลืมทุกข์ไม่ได้เป็นที่นิยมมากนัก

“นายหญิง ซื้อมันมาเถอะ”

ทันใดนั้น เสียงของเสี่ยวม่านก็ดังขึ้นในหูของฉินอวี้โม่เพื่อขอให้นางประมูลซื้อหญ้าลืมทุกข์

“เมื่อครู่เสี่ยวโพธิ์บอกกับข้าว่าหญ้าลืมทุกข์มีประโยชน์ต่อมันมากและต้องการให้นายหญิงประมูลมันมาให้ได้”

เสี่ยวม่านอธิบายต่อว่ามันเป็นความต้องการของเสี่ยวโพธิ์ผู้ซึ่งหลับใหลมาเป็นเวลานาน

หลังจากการต่อสู้ในดินแดนเทพมายา เสี่ยวโพธิ์ก็เก็บตัวหลับใหลมาตลอดและยังไม่ตื่นขึ้นมา เดิมทีฉินอวี้โม่ก็ต้องการสำรวจดูสถานการณ์ของมัน ทว่าน่าเสียดายที่นางไม่มีหนทางที่จะทำได้

ต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์และฉินอวี้โม่ไม่ได้ทำพันธสัญญาต่อกัน ทว่ามันอาศัยอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวเพียงเท่านั้น เมื่อมันเข้าสู่สภาวะหลับใหลไป ฉินอวี้โม่จึงไม่มีวิธีที่จะสื่อสารกับมันได้

อย่างไรก็ตาม ครานี้เสี่ยวโพธิ์กลับรับรู้ได้ถึงหญ้าลืมทุกข์และกล่าวออกมาเป็นครั้งแรก

“เข้าใจแล้ว”

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะตอบตกลงทันทีก่อนเริ่มขานราคาออกไป

“สามแสน”

ในการประมูลก่อนหน้านี้ ผู้ประมูลคนล่าสุดขานราคาเพียงสองแสนแก่นหินวิญญาณเท่านั้น ทว่าฉินอวี้โม่กลับขานราคาทบเพิ่มมากถึงหนึ่งแสนแก่นหินวิญญาณในคราวเดียว คาดว่าคงไม่มีใครเพิ่มราคาต่อจากนางเป็นแน่

และก็เป็นจริงดังที่คิดไว้ ทันทีที่สิ้นเสียงของนาง ทั้งห้องโถงก็เงียบลงอีกครั้ง

ผู้คนในห้องโถงต่างก็หวาดหวั่นต่อสถานะของฉินอวี้โม่และไม่ต้องการทำให้นางขุ่นเคืองใจ อีกทั้งราคาในปัจจุบันก็สูงเกินไปจนพวกเขาไม่ต้องการเสนอราคาอีก เรียกได้ว่าหญ้าลืมทุกข์ไม่ได้คุ้มค่ากับราคาที่สูงเช่นนี้

ในมุมหนึ่งของห้องโถง เมื่อจูโหย่วจ้วงได้ยินเสียงของฉินอวี้โม่อย่างชัดเจน ใบหน้าของเขาก็เหยเกไปทันที

“สามแสนหนึ่งหมื่น !”

สีหน้าของจูปี้บูดบึ้งเช่นกัน และหลังจากพิจารณาครู่หนึ่ง เขาก็ขานราคาสู้อย่างรวดเร็ว

ถึงอย่างไรพวกเขาก็มีเรื่องบาดหมางใจกับฉินอวี้โม่มาแล้วจึงไม่กังวลที่จะกวนใจนางเพิ่มเติม ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่ฉินอวี้โม่ต้องการ พวกเขาไม่มีทางปล่อยให้นางได้มันไปง่าย ๆ แน่

“สี่แสน”

ฉินอวี้โม่ขานราคาต่อไปและเพิ่มราคาสูงขึ้นมาก นางเองก็อยากเห็นนักว่าตระกูลจูจะมีความสามารถเพียงใด

“สี่แสนหนึ่งหมื่น !”

จูปี้ลังเลเล็กน้อยทว่ายังขานราคาต่อไป

ความคิดของเขาเรียบง่ายและไม่ซับซ้อน ตราบใดที่ทำให้ฉินอวี้โม่เผชิญกับความหดหู่และเสียเงินมากขึ้นสักหน่อย มันก็ถือว่าคุ้มค่าสำหรับเขาแล้ว

“ห้าแสน”

ฉินอวี้โม่ขานราคาประมูลเพิ่มขึ้นเกือบหนึ่งแสนแก่นหินวิญญาณด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยและไม่มีความปั่นป่วนใด ๆ

“แม่เจ้า จอมยุทธ์ฉินอวี้โม่ร่ำรวยจริง ๆ !”

ใครคนหนึ่งอดกล่าวด้วยความตกตะลึงไม่ได้ การขานราคาเพิ่มสูงขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยไม่สะทกสะท้านแสดงให้เห็นว่านางร่ำรวยอย่างแท้จริง

“นางจะเป็นสตรีธรรมดา ๆ ได้อย่างไร ในเมื่อได้รับการยอมรับจากตระกูลหลานและถึงขั้นได้ครอบครองป้ายจ้าวสมุทรไป อีกทั้งก็ยังเป็นมิตรสนิทสนมกับนายน้อยหลานเผิง ข้าคิดว่าภูมิหลังตระกูลของนางคงไม่ด้อยไปกว่าสี่ตระกูลใหญ่แน่”

สีหน้าของอีกคนไม่แสดงถึงความตื่นเต้นเท่าใดนัก ถึงอย่างไรมันก็เป็นสิ่งที่เขาคาดการณ์ไว้แล้วและไม่คิดว่าเป็นเรื่องที่น่าตกใจอะไร

“ก็จริงอย่างที่ว่า ก่อนหน้านี้ข้าก็ได้ยินมาว่าจอมยุทธ์ฉินอวี้โม่เป็นช่างหลอมที่เก่งกาจทรงพลัง แต่ไม่รู้เลยว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่”

อีกคนกล่าวเสียงเบาราวกับกำลังซุบซิบและทำสีหน้าท่าทางที่ดูลึกลับ

“หากนางเป็นช่างหลอมที่ทรงพลังจริงก็ถือว่าสมเหตุสมผล ช่างหลอมเป็นอาชีพที่มีรายได้สูงที่สุดในดินแดนนี้แล้ว หากจอมยุทธ์อวี้โม่เป็นช่างหลอมฝีมือดีจริง เกรงว่าแม้แต่สี่ตระกูลใหญ่ก็คงเทียบไม่ได้”

หลายคนคล้อยตามวาจาของคนผู้นั้น ถึงอย่างไรแล้วฉินอวี้โม่ผู้นี้ก็ลึกลับซ่อนเงื่อนมาก หากกล่าวว่านางเป็นช่างหลอมฝีมือดี มันก็มิใช่เรื่องแปลกเกินกว่าที่พวกเขาจะเชื่อได้

ในฐานะผู้ที่ได้ครอบครองแผ่นป้ายจ้าวสมุทรของศูนย์การค้าจ้าวสมุทร นางถือเป็นแขกคนสำคัญของตระกูลหลาน แล้วฉินอวี้โม่จะเป็นเพียงสตรีธรรมดา ๆ ได้อย่างไร ?

“ห้าแสนหนึ่งหมื่น !”

จูปี้ลังเลครู่หนึ่งและใบหน้าบิดเบี้ยวมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อได้ยินเสียงกระซิบกระซาบของหลายคนรอบตัว อย่างไรก็ตาม เขายังคงขานราคาต่อไปเพื่อต้องการให้ฉินอวี้โม่สูญเสียเงินมากขึ้น

“หนึ่งล้าน”

ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปาก นางจะฉกฉวยโอกาสนี้ในการตอกหน้าตระกูลจูและทำให้พวกเขาตระหนักถึงช่องว่างความแตกต่างระหว่างพวกเขาและนาง

“หุบปาก!”

จูปี้ยังต้องการขานราคาเพิ่ม ทว่าจูยงเอ่ยปรามไว้เพื่อมิให้เขาขานสู้ราคาต่อไป

ตระกูลจูของพวกเขาเป็นเพียงตระกูลเล็ก ๆ และแก่นหินวิญญาณหนึ่งล้านก้อนก็ถือเป็นจำนวนที่มหาศาล หากฉินอวี้โม่หยุดการเสนอราคาและพวกเขาต้องซื้อหญ้าลืมทุกข์นั้นเสียเอง ตระกูลจูก็คงกระอักเลือดออกมาอย่างแน่นอน

“หากไม่มีเงินก็อย่าเสแสร้งว่ามีเลย”

น้ำเสียงเย้ยหยันของฉินอวี้โม่ดังขึ้นและทุกคนก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้

วาจาของนางทำให้จูปี้ จูยงและจูโหย่วจ้วงอยากจะล่องหนหายตัวไปเสียตรงนั้น ทว่าพวกเขาทำได้เพียงอดทนกล้ำกลืนและไม่พอใจอย่างเงียบ ๆ เท่านั้น

“มีผู้ใดต้องการเสนอราคาอีกหรือไม่ขอรับ ?”

พิธีกรเอ่ยถามตามขั้นตอน ทว่าเมื่อไม่มีผู้ใดเสนอราคา เขาก็ประกาศอย่างเป็นทางการอีกครั้งว่าหญ้าลืมทุกข์ตกเป็นของฉินอวี้โม่แล้ว

“ของประมูลชิ้นต่อไป…ลำดับที่ยี่สิบ อสูรมายาระดับราชาเซียน”

เสียงพิธีกรของงานประมูลดังขึ้นและบรรยากาศในห้องโถงก็กลับมาตื่นเต้นขึ้นอีกครั้ง