แท้จริงแล้ว ขันทีรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อยเช่นกัน ไม่รู้ว่าภายในกล่องจะมีกลไกลึกลับอันใดอีก หรือมีอาวุธลับซ่อนอยู่ หากด้านในมีอาวุธลับ เขาต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
ขันทีเปิดกล่องด้วยมือที่สั่นเทาเล็กน้อย หน้าผากเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ทว่าโชคดีที่ด้านในไม่มีอาวุธซ่อนอยู่ เขาจึงปลอดภัย
เมื่อหลู่หยางอ๋องเห็นตราประทับราชลัญจกรฮ่องเต้สีทองอร่าม ทันใดนั้น เขาก็ไม่สามารถปกปิดสีหน้าชื่นมื่นได้อีกต่อไป เขากอดตราประทับราชลัญจกรฮ่องเต้และยกมันขึ้นสูง
ตงหลิงหวงกล่าวสรรเสริญอยู่ด้านข้างอย่างรู้งาน “ยินดีกับฝ่าบาท ยินดีกับฝ่าบาท”
หลู่หยางอ๋องมีความสุขจนลืมสิ้น เปลวเพลิงแห่งความตื่นเต้นในดวงตาลุกโชน ผ่านไปครู่ใหญ่กว่าอารมณ์จะสงบลง
“ครั้งนี้ พระชายาที่รักหาตราประทับราชลัญจกรฮ่องเต้เจอ เจ้าคือสุดยอดวีรสตรี บอกมาว่าต้องการให้เจิ้น [1] ตกรางวัลเจ้าอย่างไร? ”
ชั่วพริบตา เพียงพบตราประทับราชลัญจกรฮ่องเต้เท่านั้น หลู่หยางอ๋องก็แทนตัวเองว่า ‘เจิ้น’ เสียแล้ว
ตงหลิงหวงขมวดคิ้ว “หม่อมฉันหาได้ต้องการสิ่งใดเพคะ”
แท้จริงแล้ว ตงหลิงหวงต้องการพูดว่า ‘สิ่งที่ข้าต้องการคือศีรษะของเจ้า’
บุรุษค่อนข้างโปรดปรานสตรีที่ว่านอนสอนง่าย น่ารัก เฉลียวฉลาด และไม่โต้เถียง เขาจึงโปรดปรานพระสนมน่าหลานมากกว่าเดิม
หลู่หยางอ๋องตกรางวัลให้พระสนมน่าหลาน “รับบัญชา! ตกรางวัลให้พระสนมน่าหลานเป็นทองคำร้อยตำลึง ผ้าไหมห้าสิบพับ ไข่มุกและโมราสองหีบ เจ็ดวันหลังจากนี้ ข้าจะขึ้นครองราชย์อย่างเป็นทางการ พระราชทานบรรดาศักดิ์ให้นางเป็นซูเฟย”
ซูเฟยเป็นตำแหน่งรองจากกุ้ยเฟย แววตาของขันทีและบ่าวรับใช้ที่อยู่ในวังพลันทอประกาย พวกเขารีบพูดว่า “ยินดีกับซูเฟย ยินดีกับฝ่าบาท พ่ะย่ะค่ะ”
หลู่หยางอ๋องจะขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้ในอีกเจ็ดวัน นอกจากนั้นยังแต่งตั้งพระสนมน่าหลานเป็นซูเฟย?
น่าเสียดายที่พระสนมน่าหลานตัวจริงไม่สามารถรับบรรดาศักดิ์นี้ได้แล้ว
แววตาของตงหลิงหวงทอประกายครู่หนึ่ง นางไม่ได้พูดอันใดอีก จากนั้นจึงทูลลากลับไปยังจวนหลู่หยางอ๋อง
คล้อยหลังตงหลิงหวง องครักษ์ที่ถูกส่งให้ไปจับตาดูนางอย่างลับๆ ก็กลับมา
ท่าทางยินดีของหลู่หยางอ๋องที่มีให้ตงหลิงหวง แปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าเคร่งขรึม “เจ้าเห็นอันใดบ้าง? ”
องครักษ์ก้าวไปข้างหน้าและกระซิบบางอย่างข้างหูของหลู่หยางอ๋อง ทันใดนั้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป
“เรื่องจริงหรือ? ”
“กระหม่อมไม่กล้าพูดปด ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่กระหม่อมเห็นในตำหนักช่างหยวน ดูผิวเผิน แม้พระสนมน่าหลานจะจัดการเรื่องราวแทนท่านอ๋อง ทว่านางสนิทสนมกับฮองเฮาอย่างมาก ในตอนนั้น กระหม่อมเกรงว่าจะถูกนางพบเข้า จึงไม่ได้ใช้หูทิพย์ฟัง ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าตอนนั้นพวกนางทั้งสองกำลังพูดเรื่องอันใดกัน
อย่างไรก็ตาม กระหม่อมมั่นใจว่าระหว่างพระสนมน่าหลานและฮองเฮาต้องมีบางอย่างไม่ธรรมดาเป็นแน่”
“ไปรับรางวัล! ”
“ขอบพระทัยท่านอ๋อง! ”
หลังจากองครักษ์ออกไป ดวงตาของหลู่หยางอ๋องพลันเปล่งประกายเย็นเยือกดั่งปลายมีด หากตงหลิงหวงอยู่ข้างกายเขา นางจะต้องถูกลงโทษด้วยการแล่เนื้อพันมีดแน่นอน
แม้แต่ขันทีที่รออยู่ด้านข้างก็รู้สึกได้ถึงความแปลกประหลาดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน พวกเขาต่างพากันตกใจ
ผ่านไปครู่ใหญ่ ขันทีก็ทนไม่ไหว เขาก้าวไปข้างหน้าเพื่อเกลี้ยกล่อม “ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะ! เรื่องนี้ต้องมีการเข้าใจผิดเป็นแน่”
หลู่หยางอ๋องเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เข้าใจผิดอันใด? หากข้าเดาไม่ผิด พระสนมน่าหลานตัวจริงคงถูกพวกเขาฆ่าตายไปแล้ว”
ขันทีตกใจจนขาทั้งสองข้างอ่อนแรงและทรุดลงกับพื้น
“ท่านอ๋อง กระหม่อมขี้ขลาด พระองค์อย่าทำให้กระหม่อมตกใจกลัว พระสนมน่าหลานยังอยู่สบายดี เมื่อครู่พระสนมเพิ่งเดินออกไปจากตำหนักว่าราชการอยู่เลย จะถูกคนฆ่าตายได้อย่างไร? ”
หลู่หยางอ๋องกวาดสายตามองไปบนร่างขันทีด้วยแววตาชั่วร้ายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“อีกไม่กี่วันข้างหน้า ส่งคนคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของพระสนมน่าหลานอย่างใกล้ชิด หากมีการเคลื่อนไหว ให้มารายงานข้าทันที”
“พ่ะย่ะค่ะ! ”
ขันทีรับคำสั่งและรีบไปจัดการ ทว่าตอนที่เดินถึงประตู จู่ๆ เขาก็หันกลับมา “ฝ่าบาท หากพระสนมน่าหลานตัวจริงตายไปแล้ว เช่นนั้น เมื่อครู่ คนผู้นั้นก็คือ… ”
“คือตงหลิงหวง”
“รัชทายาทตง… ตง… ตงหลิงหวง? ”
ขันทีตกใจจนเข่าแทบทรุด เมื่อหันหลังกลับมาก็รู้สึกเหมือนลำคอถูกฉาบด้วยน้ำแข็งที่เย็นยะเยือกอย่างมาก ราวกับศีรษะตนเองไม่ได้ตั้งอยู่บนบ่าแล้ว
ตงหลิงหวงเป็นคนอย่างไร?
นางเป็นเทพสงครามที่มีชีวิตในแคว้นตงเฉิน ไม่ ไม่ใช่เทพสงคราม นางคือเทพสังหารตัวจริง เป็นกระบี่ล้ำค่าของฮ่องเต้ตงเฉินอย่างตงหลิงไท่
ตอนนี้นางกลับมาแล้วจริงๆ …
หรือว่า…
ขันทียืนเหม่ออยู่กับที่ครู่หนึ่ง สติอารมณ์ของเขาได้ล่องลอยไปบนท้องฟ้าแล้ว เห็นได้ชัดว่าหลู่หยางอ๋องไม่พอใจเล็กน้อย “เป็นอันใด? ยืนเหม่อทำอันใด คิดอันใดอยู่? ”
ขันทีพลันกลับมาได้สติ และรีบเดินออกไปด้านนอก “ไม่ ไม่มีอันใดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะรีบไปจัดการ”
“ตงหลิงหวง… ”
หลู่หยางอ๋องบีบแท่นหมึกที่วางอยู่ด้านข้าง
หลังจากตงหลิงหวงกลับมาถึงจวนหลู่หยางอ๋อง นางก็เรียกองครักษ์เงาที่มีวรยุทธ์และมีความสามารถในการอำพรางตัวขั้นสูงเข้ามา และมอบตราประทับราชลัญจกรฮ่องเต้ของจริงให้เขา ทั้งยังเขียนจดหมายหนึ่งฉบับให้คนนำไปส่งที่เมืองหลานโจว เพื่อมอบมันให้เสด็จพ่อของนาง
องครักษ์เงารับตราประทับราชลัญจกรฮ่องเต้และจดหมายมาเก็บไว้อย่างเหมาะสม
“องค์รัชทายาท มีอีกเรื่องที่กระหม่อมต้องรายงานพระองค์”
“พูด! ”
“ก่อนหน้านี้ ตอนที่รัชทายาทกับฮองเฮาสนทนากันที่ตำหนักช่างหยวน กระหม่อมเห็นว่ามีคนสะกดรอยตามพระองค์”
“เห็นชัดหรือไม่ว่าเป็นผู้ใด? ”
“เป็นองครักษ์เงา ต่อมากระหม่อมได้แอบตามไปจนถึงตำหนักว่าราชการ ดังนั้น กระหม่อมสงสัยว่าเขาต้องเป็นคนของหลู่หยางอ๋องแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
“ดีมาก ไปได้! ”
ดูแล้ว หลู่หยางอ๋องคงสงสัยนางมานาน ไม่รู้ว่าตอนนั้นองครักษ์เงาเห็นสิ่งใดบ้างหรือไม่ ที่แน่ใจคือหากไม่ใช้หูทิพย์ เขาไม่มีทางได้ยินบทสนทนาของนางกับเสด็จแม่อย่างแน่นอน และหากองครักษ์เงาผู้นั้นใช้วิชาหูทิพย์ นางต้องทราบเป็นแน่
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคนของหลู่หยางอ๋องจะสังเกตเห็นหรือไม่ บางเรื่องควรตัดไฟเสียแต่ต้นลม นอกจากนั้นยังต้องเตรียมการเรื่องทั้งหมดให้ดี
หากหลู่หยางอ๋องสังเกตบางอย่างได้จริงๆ ทว่าไม่ได้เปิดเผย เท่ากับว่าเขายอมเพิกเฉย ปล่อยให้เรื่องบานปลายโดยไม่ยอมจับเหยื่อไว้ เช่นนี้คงยากรับมือ
ดังนั้นในช่วงหัวค่ำ ตงหลิงหวงจึงปลอมตัวเป็นบ่าวรับใช้ และเข้าไปในจวนฮั่วอีกครั้ง
จากประสบการณ์ที่ตำหนักช่างหยวนก่อนหน้านี้ ทำให้การเข้าจวนฮั่วครั้งนี้ ตงหลิงหวงต้องระมัดระวังอย่างมาก นางสั่งให้องครักษ์เงาปลอมตัวเป็นตนเองอยู่ในจวน โดยใช้รูปลักษณ์ของพระสนมน่าหลาน หลังจากนั้นจึงออกไปทางเส้นทางลับ เปลี่ยนทางเดินบนถนนหลายเส้นด้านนอกเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีผู้ใดสะกดรอยตามมา จากนั้นจึงเข้าไปในจวนฮั่ว
เวลานี้ คนในจวนฮั่วเข้านอนกันหมดแล้ว ตงหลิงหวงแอบเข้าไปในห้องของแม่ทัพใหญ่ฮั่วโดยตรง
แม่ทัพใหญ่ฮั่วสมกับเป็นแม่ทัพเฒ่าที่กรำศึกมานาน เมื่อได้ยินการเคลื่อนไหว เขาก็ลืมตาขึ้นทันที
“ผู้ใด? ”
“ข้าเอง! ”
ตงหลิงหวงถอดหน้ากากหนังมนุษย์ออก
“องค์รัชทายาท? ”
ไม่คิดว่าหลังจากได้รับข่าวหลู่หยางอ๋องจะขึ้นครองราชย์ในอีกเจ็ดวัน รัชทายาทตงหลิงหวงจะมาทันที ดูเหมือนข่าวของรัชทายาทตงหลิงหวงจะเชื่อถือได้
ฮั่วจีรีบสวมเสื้อผ้า “รัชทายาทมาเยือนดึกดื่น มีแผนการอันใดหรือ? ”
ตงหลิงหวงเอ่ยตามตรง “อีกเจ็ดวัน โจรเฒ่าจะขึ้นครองราชย์ พวกเราจะลงมือในวันงานพระราชพิธี ข้ามาที่นี่ในคืนนี้เพื่อหารือกับพวกเจ้าสองพ่อลูกเกี่ยวกับแผนปฏิบัติการ เรียกบุตรชายของเจ้ามาที่นี่ด้วย”
……
เชิงอรรถ
[1] เจิ้น เป็นคำเรียกแทนตนเองของฮ่องเต้ ตั้งแต่ยุคราชวงศ์จิ๋นซีฮ่องเต้ ราชวงศ์ฮั่น เป็นต้นมา แต่มีบางยุคสมัยที่การเรียกตนเองของฮ่องเต้มีเปลี่ยนไป อาทิ ราชวงศ์ซ่ง จะเรียกตนเองว่า ‘กว่านเจีย’ เป็นต้น