แม่ทัพใหญ่ฮั่วเดินไปข้างโต๊ะเพื่อจุดตะเกียง เขาดึงไส้ตะเกียงออกมา ทันใดนั้นก็มีเสียงกระดิ่งดังขึ้น ไม่นานนัก ฮั่วซืออวี่ก็เดินเข้ามา
ฮั่วซืออวี่ประหลาดใจอย่างมากที่ได้พบตงหลิงหวง ทว่าไม่นานก็รู้สึกว่า การที่ตงหลิงหวงอยู่ที่นี่สมเหตุสมผลแล้ว
“องค์รัชทายาททรงเตรียมการอย่างไร? ”
“เฒ่ากบฏหลู่หยางอ๋อง ตอนนี้ส่งคนมาจับตาข้าแล้ว”
“อันใดนะ? ”
สีหน้าของฮั่วจีและฮั่วซืออวี่เปลี่ยนไปทันที “จับตาดูพระองค์อยู่หรือ? เช่นนั้นพระองค์ก็ตกอยู่ในอันตรายอย่างมากไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ? ”
“อย่างไรก็ตาม ตอนนี้คงไม่มีอันตรายอันใดมากนัก หลู่หยางอ๋องอาจต้องการลงมือกับข้าโดยไม่ให้ข้ารู้ตัว จึงไม่ทำอันใดข้าในตอนนี้”
“ทว่าช้าเร็วก็ต้องลงมือ! อย่างไรเสีย หลู่หยางอ๋องก็เป็นคนที่มีความคิดละเอียดรอบคอบ และไม่มีวันทิ้งปัญหาไว้ แม้ตอนนี้จะยังไม่ลงมือ ทว่าจะต้องลงมือช่วงพระราชพิธีราชาภิเษกแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ” ฮั่วจีกล่าว
ตงหลิงหวงพยักหน้าเห็นด้วย ทว่าทันใดนั้น นางราวกับนึกอันใดขึ้นมาได้ จึงมองไปที่ฮั่วจี “ท่านแม่ทัพใหญ่ฮั่ว ตอนนี้เจ้ากับข้าเป็นตั๊กแตนที่อยู่บนเรือลำเดียวกันแล้ว เจ้าคงไม่คิดจะหลบหนีและทรยศข้ากระมัง? ”
สีหน้าของฮั่วจีเปลี่ยนไปครู่หนึ่ง เคราของเขากระตุกเล็กน้อย
“หึ พระองค์ทรงคิดว่าแม่ทัพอย่างข้าเป็นคนเช่นไร? ในเมื่อสัญญาว่าจะช่วยเหลือองค์รัชทายาทแล้ว ก็จะต้องติดตามพระองค์ไปจนถึงที่สุด จะทรยศกลางคันได้อย่างไร”
“เช่นนั้นก็ดี! ”
ตงหลิงหวงเพียงส่งสัญญาณเตือนฮั่วจี ไม่ได้ต้องการทำสิ่งใดจริงๆ อย่างไรเสีย ฮั่วจีก็เป็นขุนนางสองสมัยแล้ว เมื่อได้ยินว่าหลู่หยางอ๋องสงสัยในตนเอง ไม่แน่ว่าเขาอาจเปลี่ยนความคิดหรือหักหลังก็เป็นได้
“องค์รัชทายาททรงเตรียมการอันใดไว้บ้าง? ” ฮั่วซืออวี่ถาม
ตงหลิงหวงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ตอนนี้ข้าประทับอยู่ที่ตำหนักหลู่หยางอ๋องในฐานะพระสนมน่าหลาน เมื่อใกล้ถึงพิธีบรมราชาภิเษก ข้าจะจากไป และเมื่อถึงเวลานั้น หลู่หยางอ๋องจะตื่นตัวและเสริมกำลังสนับสนุนในเมืองหลวง”
“ถึงเวลานั้นพวกเราจะทำอันใด มันจะยุ่งยากมากขึ้นไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ? ” ฮั่วจีกล่าว
“โชคดีมาจากความโชคร้าย สิ่งเลวร้ายนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดี! ” ตงหลิงหวงกล่าว “นับว่าเป็นเรื่องร้าย ทว่าไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไป! ”
“องค์รัชทายาทตรัสเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ? ”
“ถึงตอนนั้น หลู่หยางอ๋องต้องเสริมกำลังป้องกันในเมืองหลวงและเขตวังหลวงอย่างแน่นหนา และต้องย้ายกองทหารทั้งหมดไปยังสถานที่ทั้งสองแห่งนี้แน่นอน ทั้งยังเสริมกำลังทหารองครักษ์บนถนนในเมืองหลวง ยิ่งไปกว่านั้น เขาจะต้องปิดประตูเมือง โดยเฉพาะประตูตงหัว เนื่องจากประตูตงหัวเป็นจุดที่ใกล้กับเมืองหลวงมากที่สุด หากเดินทางมาจากเมืองหลานโจว”
ตอนนี้ฮ่องเต้ตงเฉินประจำการอยู่นอกประตูตงหัว หากต้องการเข้าเมืองหลวง พระองค์ต้องผ่านเข้ามาทางประตูตงหัว
“ทว่าประตูซีหัวฝั่งตรงข้ามที่อยู่ค่อนข้างไกลนั้น ไม่ได้มีการคุ้มกันแน่นหนา ถึงเวลานั้นพวกเราจะเริ่มจากประตูซีหัว”
“องค์รัชทายาทต้องการให้ฝ่าบาทยกทัพอ้อมไปทางประตูซีหัวใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ? ”
ตงหลิงหวงส่ายศีรษะ “หากกองทัพอ้อมจากเมืองหลานโจวไปทางประตูซีหัวจะไกลเกินไป ทั้งยังมีคนจำนวนมากขนาดนั้น จึงยากจะเข้าไปทางประตูตงหัว หากอ้อมไปทางประตูซีหัว เกรงว่ายังไม่ทันไปถึง ก็อาจถูกหลู่หยางอ๋องกวาดล้างไปหมดกระมัง”
“องค์รัชทายาททรงประสงค์จะ… ”
“เมื่อถึงเวลานั้น พวกเราจะใช้กลยุทธ์สร้างความสับสน และส่งทหารจำนวนหนึ่งไปยังประตูซีหัว แม่ทัพรักษาการณ์เมืองหลวงคงคิดว่ากองทัพอ้อมเมืองไปเข้าประตูซีหัว เพราะต้องการจะเข้าเมืองหลวงทางประตูซีหัว ดังนั้นกองกำลังจำนวนมากจะย้ายไปยังประตูซีหัว เมื่อถึงตอนนั้น แม่ทัพใหญ่ฮั่วจะนำกองทัพบุกโจมตีจากภายในทางด้านประตูตงหัว และเปิดประตูเมืองต้อนรับฝ่าบาท”
“นี่เป็นแผนการที่ดี! ” ฮั่วจีพูด “ทว่า หากฝ่าบาทนำกองทัพบุกเข้าประตูตงหัวแล้ว ทหารที่ปกป้องเมืองจะไม่สงสัยว่าประตูซีหัวเป็นเพียงแผนลวงหรือ? ”
“ฝ่าบาทไม่ได้นำกองทัพบุกเข้าไปจริงๆ กองทัพจริงจะนำทัพโดยแม่ทัพใหญ่ทั้งสาม ได้แก่ แม่ทัพใหญ่ซืออวิ๋น แม่ทัพฮัว และแม่ทัพหลิง ตลอดทางจากเมืองหลานโจวจนบุกโจมตีเข้ามาเมืองหลวงเป็นเพียงกลลวง ก่อนมาถึงด้านนอกประตูตงหัว ฝ่าบาทจะปลอมตัวเข้ามาโดยมีองครักษ์เงาเป็นผู้คุ้มกัน”
ความจริง ตงหลิงหวงได้วางแผนทุกอย่างไว้อย่างดีแล้ว เห็นได้ชัดว่าแม้แต่เรื่องเล็ก ๆ นางยังวางแผนไว้เป็นอย่างดี
ทันใดนั้น ฮั่วจีก็มองตงหลิวหวงด้วยแววตาเปล่งประกายแปลกประหลาด เผยให้เห็นถึงการชื่นชมของผู้ใต้บังคับบัญชา อีกทั้งยังมี… ความชื่นชมในฐานะวีรบุรุษ และความริษยาต่อผู้มีปัญญา
เขานำทัพต่อสู้ในสงครามมากว่าครึ่งชีวิต ทว่าในยามวิกฤติ เขาคงไม่มีทางคิดวางแผนได้ละเอียดรอบคอบเช่นนี้กระมัง?
หากเขามีปัญญาและความคิดเช่นนี้ เกรงว่าบรรพบุรุษสกุลฮั่วคงภาคภูมิใจในตัวเขาไปนานแล้ว และพวกเขาคงไม่ตกต่ำจนถึงจุดนี้กระมัง?
แม้องค์รัชทายาทตงเฉินจะเป็นเพียงสตรี ทว่าสติปัญญาและสมองของนางไม่ด้อยไปกว่าบุรุษ นางเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่หาได้ยากในแผ่นดิน และเป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่
แม้สกุลฮั่วจะไม่มีความสามารถมากนัก ทว่าจิตใจของพวกเขานั้นหยิ่งทะนง ในใต้หล้านี้ นอกจากเยี่ยโยวเหยาและซูจิ่นซีแล้ว ฮั่วจีไม่เคยชื่นชมผู้ใดเลย ตงหลิงหวงนับเป็นอีกหนึ่งคน
“รัชทายาท หลังจากรับเสด็จฝ่าบาทเข้าเมืองแล้ว พวกเราจะเข้าไปในวังหลวงได้อย่างไร? ”
หากคิดจะเข้าไปในวังหลวงย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะวังหลวงมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา จากบทเรียนแผนลวงประตูตงหัวและประตูซีหัว หากใช้กลยุทธ์เดิมในการบุกเข้าวังหลวง คงจะใช้ไม่ได้ผลอย่างแน่นอน
แววตาของตงหลิงหวงปรากฏความลึกซึ้งซับซ้อน “ถึงเวลานั้น เรื่องวังหลวงมอบให้ข้าจัดการ หลังจากเจ้ารับเสด็จฝ่าบาทเข้ามาในเมืองหลวงแล้ว เจ้าต้องปกป้องพระองค์อย่างดี จำไว้ว่าในเวลานั้น การเคลื่อนไหวทั้งหมดต้องทำตามสัญญาณลับจากข้าเท่านั้น”
“พ่ะย่ะค่ะ! ”
ฮั่วซืออวี่ชื่นชมตงหลิงหวงอย่างมาก ตอนนี้ไม่ว่าตงหลิงหวงจะพูดอันใด พวกเขาสองพ่อลูกยอมทำตาม
ขณะที่ทั้งสามกำลังสนทนากัน สายตาของตงหลิงหวงพลันหยุดชะงัก และจ้องไปทางหน้าต่าง “ผู้ใด? ”
สีหน้าของฮั่วจีและฮั่วซืออวี่ก็เปลี่ยนไปเช่นกัน
แทบจะในทันที ฮั่วซืออวี่หยิบกระบี่ออกมาจากชั้นวางอาวุธและแทงไปทางหน้าต่าง
อย่างไรก็ตาม เมื่อกระบี่ในมือกำลังจะเจาะทะลุหน้าต่าง มันกลับเปลี่ยนทิศทางในทันที
“อ้าก! ”
ทันใดนั้น เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นด้านนอกประตู
สีหน้าของฮั่วซืออวี่และฮั่วจีเปลี่ยนไปพร้อมกัน
แววตาของตงหลิงหวงปรากฏความเย็นชาขึ้นเล็กน้อย นางสะบัดพัดเหล็กที่ไม่ได้ใช้งานมานานดัง ‘ชริ้ง’ ใบมีดรูปเพชรทุกใบบนพัดเหล็กพลันเปล่งประกายไอสังหารอันเลือดเย็น และโจมตีไปยังทิศทางของหน้าต่าง
“องค์รัชทายาทโปรดยั้งมือ! ”
“รัชทายาทาท โปรดไว้ชีวิตอวี้เจียวสักครั้งเถิด! ”
ทันใดนั้น ฮั่วซืออวี่ก็พุ่งไปหยุดตรงหน้าตงหลิงหวง ตงหลิงหวงหยุดชะงัก ทว่าเขายังได้รับบาดเจ็บจากพัดเหล็กในมือของตงหลิงหวง
ตงหลิงหวงหมุนตัวกลับพลางร่อนลงบนพื้นอย่างมั่นคง ใบหน้าปรากฏความเย็นชา
“ฮั่วซืออวี่ เจ้าอยากตายหรือ? ”
จนถึงเวลานี้ ยังไม่มีผู้ใดสามารถหนีรอดจากพัดเหล็กของนางได้ หากเมื่อครู่นางไม่ยั้งมือ ฮั่วซืออวี่คงตายไปแล้ว เขาอยากตายจริงๆ หรือ?
ทันใดนั้น ร่างของฮั่วซืออวี่ที่เต็มไปด้วยเลือดก็เอ่ยขอความเมตตาจากตงหลิงหวง “องค์รัชทายาทโปรดระงับโทสะ น้องเล็กของกระหม่อมไม่ได้ตั้งใจ ขอรัชทายาทโปรดละเว้นชีวิตน้องเล็กด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
สีหน้าของตงหลิงหวงพลันเคร่งขรึมขึ้นมาก นางส่งเสียงออกไปด้านนอกหน้าต่างด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ออกมา! ”
จากนั้นไม่นานก็มีเสียง ‘เอี๊ยด’ ดังขึ้น ประตูเปิดออกพร้อมกับใบหน้าซีดขาวของฮั่วอวี้เจียว ขาของนางอ่อนแรง ทั้งยังเดินด้วยตัวสั่นเทา