บทที่ 2937 เพิกถอนสัมพันธ์อาจารย์ศิษย์ 3
เธออยากดื่มสุราอีกแล้ว!
เธอรู้สึกอยู่เสมอว่าในปากยังขาดรสชาติอยู่บ้าง อยากได้สุราเลิศรสมากระตุ้นความสดชื่น
เธอนึกถึงสุราของตี้ฝูอีขึ้นมาอีกครั้ง นึกถึงวันคืนเหล่านั้นที่สวมบทบาทเป็นสามีภรรยากับตี้ฝูอีที่ภพมาร
ตอนนั้นตี้ฝูอีมักจะอยู่ข้างกายเธอเสมอ กินอาหารรสเลิศเป็นเพื่อนเธอ เดินเที่ยวเป็นเพื่อนเธอ
ตอนนั้นเห็นเป็นเพียงเรื่องปกติธรรมดา ตอนนี้พอมาคิดๆ ดูแล้ว วันคืนเหล่านั้นคล้ายจะเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตเธอแล้ว…
….
ไม่ว่าจะหวาดกลัวหรือว่าตั้งตารอ ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง
จุดนัดพบของกู้ซีจิ่วและตี้ฝูอีคือท่ามกลางทะเลทรายรกร้างไร้ผู้คนแห่งหนึ่งของภพเซียน
จะใกล้หรือไกลล้วนมีเพียงเนินทรายเวิ้งว้างไร้ขอบเขต แม้แต่หญ้าเขียวขจีก็มองไม่เห็น
ตอนตี้ฝูอีไปถึงที่นั่น ได้เห็นนางนั่งอยู่บนเนินทรายผืนหนึ่งเงยหน้ามองดวงตะวันร้อนแรงที่ส่องแสงเจิดจ้าอยู่ ไม่เกรงกลัวว่าแสงตะวันจะทำร้ายดวงตาของนางเลย
เงาร่างนั้นดูอ้างว้างอยู่บ้าง
ในใจเขากระตุกวูบขึ้นมาอย่างที่คุ้นเคย แต่ก็โล่งอกเช่นกัน ค่อยยังชั่ว ครั้งนี้นางไม่ได้ผิดนัด
“พระองค์เจ้า” เขาร่อนลงตรงหน้านาง
นางลุกขึ้นมา นวดดวงตาแล้วมองเขา ดวงตาดำขลับดุจนิลวงนั้นราวกับแช่มอยู่ในวารี นางขยี้อีกเล็กน้อย เอ่ยถามเขา “เจ้าพกสุรามาหรือไม่? ข้ารู้สึกว่าพวกเราสมควรจะดื่มสุราส่งท้ายกัน…”
ตี้ฝูอีพูดไม่ออกเลย…
คงมิใช่ว่านางคิดจะเล่นลูกไม้ใหม่ๆ อันใดกระมัง?
“ไม่มี” น้ำเสียงตี้ฝูอีแข็งกร้าวนิดๆ
ความผิดหวังพาดผ่านนัยน์ตากู้ซีจิ่วแวบหนึ่ง แต่ยังคงยิ้มแวบหนึ่ง ล้วงน้ำเต้าสุราลูกหนึ่งออกมาจากร่าง “ข้ามี พวกเรามาดื่มกันสักหน่อยก่อนไหม?”
ในจิตใต้สำนึกของเธออยากให้เขาดื่มสุราเป็นเพื่อนอีกสักหน่อยมากจริงๆ ดื้อรั้นหัวชนฝายิ่ง
เนื่องจากเธอรู้ว่า ถ้าไม่ดื่มอีกก็จะไม่มีโอกาสแล้วจริงๆ
ตี้ฝูอีกลับนึกว่านางคิดจะเล่นแง่จริงๆ ถึงอย่างไรนางก็คออ่อนมากจริงๆ ไม่แน่ว่าอาจจะอาศัยความเมามาถ่วงเวลาไปอีกสองสามวันก็ได้
เขามองนาง น้ำเสียงเย็นยะเยือก “พระองค์เจ้า เรื่องนี้จำเป็นต้องทำอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ เร็วขึ้นหนึ่งเค่อช้าไปหนึ่งเค่อก็ไม่ต่างกัน ถ้าท่านอยากดื่มสุราจริงๆ รออีกสองสามวันให้อาการบาดเจ็บของพวกเราต่างหายดี ข้าจะดื่มเป็นเพื่อนท่านหลายๆ ยกเลย ตอนนี้ไม่ได้เด็ดขาด!”
“หากว่าข้าถูกฟ้าผ่าตายล่ะ?! เช่นนั้นมิใช่ว่าอยากดื่มก็ดื่มไม่ได้แล้วหรอกหรือ?” กู้ซีจิ่วเอ่ยทีเล่นทีจริง คล้ายจะล้อเล่นแต่ก็คล้ายจะจริงจัง
ตี้ฝูอีพิศมองสีหน้าของนางอย่างละเอียด สีหน้านางดูดียิ่ง อมชมพูสุขภาพดี
ตอนนี้นางอยู่ในสภาพที่ยอดเยี่ยมมาก พลังยุทธ์ก็แข็งแกร่งยิ่ง สูงส่งกว่าตัวเขาในตอนนี้เล็กน้อยด้วยซ้ำ
นางในสภาวะเช่นนี้จะถูกฟ้าผ่าตายได้รึ? ถึงเขาถูกผ่าตาย นางก็ไม่ตายแน่นอน!
นางไปเรียนรู้การทำตัวกระเง้ากระงอดเช่นนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่? เสมือนเด็กน้อยเจ้าเล่ห์ หาข้ออ้างสารพัดมาถ่วงรั้ง…
“วางใจเถิด มีข้าอยู่ ท่านสามารถต้านรับทัณฑ์อัสนีได้แน่นอน ท่านจะไม่เป็นไร ข้าก็จะไม่เป็นไรเช่นกัน” เขาได้เตรียมการเอาไว้นานมากแล้ว เพื่อให้แน่ใจว่าเขาและนางจะไม่มีทางพลาดท่าทั้งคู่…
กู้ซีจิ่วช้อนตาขึ้นนิดๆ มองสีหน้าของเขาที่เห็นได้ชัดว่าเหลืออดแล้ว ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าสุรานี้ดื่มไม่ได้แล้วจริงๆ
ช่างเถิด บังคับผู้อื่นไปก็ไม่มีประโยชน์
บางทีวาสนาของเขากับเธออาจสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้
ตี้ฝูอีเงยหน้ามองท้องฟ้า เวลาพอสมควรแล้ว ตอนนี้เป็นเวลาที่ดีที่สุด
ด้วยเหตุนี้เขาจึงเอ่ยเร่งอีกครั้ง “พระองค์เจ้า พวกเราเริ่มกันเลยไหม? ข้ายังมีธุระต้องกลับไปจัดการต่อ ไม่มีเวลามาโอ้เอ้อยู่ที่นี่มากนัก”
กู้ซีจิ่วสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง “ได้!”
ในที่สุดนางก็ตอบตกลงอย่างราบรื่นแล้ว!
ตี้ฝูอีถอนหายใจด้วยความโล่งอก กล่าวว่า “ขอเวลาให้ข้าครึ่งก้านธูป”
จากนั้นก็ล้วงวัตถุอาคมบางอย่างออกมา ติดตั้งเขตแดนไว้สี่ทิศ นอกเขตแดนติดตั้งเข็มโลหะเอาไว้มากมายยิ่ง…
กู้ซีจิ่วนั่งลงบนเนินทรายอีกครั้ง มองเขายุ่งง่วน
————————————————————————————-
บทที่ 2938 เพิกถอนสัมพันธ์อาจารย์ศิษย์ 4
ผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดตี้ฝูอีก็ติดตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้ว พลันหันไป เห็นนางนั่งกอดเข่าอยู่ตรงนั้น เบิกดวงตาดำขลับมองเขาอยู่
แววตานั้นมีความหม่นเลือนลางอยู่บ้าง ราวกับเด็กน้อยคนหนึ่งที่กำลังจะถูกทอดทิ้ง…
หัวใจเขากระตุกวูบอีกครั้ง!
แต่ก็หลุดยิ้มออกมาอีกครั้งในทันใด นางคือเทพผู้สูงศักดิ์ที่สุดบนโลกใบนี้เชียวนะ จะเหมือนเด็กน้อยได้อย่างไรกัน?
พอเป็นเรื่องของนางแล้วตนมักจะคิดมากไปอยู่เสมอ…
เขาส่ายหน้า สลัดอารมณ์ยุ่งเหยิงที่ไม่สมควรจะปรากฏขึ้นออกไป “เริ่มเลยเถอะ!”
เขาทำมุทราท่าหนึ่งที่เคยใช้ต้านรับอัสนีด่านเคราะห์
กู้ซีจิ่วพริ้มตาลงนิดๆ “ได้!”
เธอยืนแยกเท้าตั้งท่า สูดหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง เอ่ยเสียงก้อง “นับแต่วันนี้ไป ข้ากู้ซีจิ่วเทพผู้สร้างโลกจะเพิกถอนพันธะอาจารย์ศิษย์กับตี้ฝูอี ไม่ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้น นับจากนี้ไป ข้ากับเขาต่างคนต่างอยู่ ไม่เกี่ยวข้องอันใดกันอีกต่อไป!”
ไม่เกี่ยวข้องอันใดกันอีกต่อไปหรือ?
หัวใจตี้ฝูอีพลันดิ่งวูบ คล้ายมีบางอย่างกำลังแตกสลายอยู่ในหัวใจ…
บนฟ้าเริ่มมีเมฆาสีม่วงเคลื่อนมารวมตัวกันอย่างบ้าคลั่งยังตำแหน่งนี้ของเขากับนางแล้ว ท้องนภามืดสลัวลง อาภรณ์นางปลิวสะบัดอยู่ท่ามกลางสายลมพัดกรรโชก “ฝูอี ตาเจ้าแล้ว”
ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด มีความหวาดหวั่นอันหนักอึ้งกำลังผุดขึ้นมาในหัวใจของตี้ฝูอี แต่เรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่มีที่ว่างให้เขาได้เสียใจภายหลัง
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง เอ่ยไปเช่นกัน “นับแต่วันนี้ไป ข้าตี้ฝูอีมิใช่ศิษย์ของพระองค์เจ้ากู้ซีจิ่วอีกต่อไป!”
วาจาท่อนหลังเขาไม่ได้กล่าวออกมาอีก เนื่องจากเขาไม่เคยมีความคิดจะต่างคนต่างอยู่กับนางเลย
เขาให้เวลาตัวเองสิบปี อีกสิบปีให้หลังเมื่อเขามีกำลังเพียงพอแล้ว เขาจะไล่ตามนางอีกครั้ง จะใช้ฐานะใหม่เข้าไปอยู่ข้างกายนางอย่างสมบูรณ์ จะไม่ปล่อยให้นางหลบหนีไปได้อีก…
ทันทีที่เขาเปล่งวาจานี้ออกมา บนข้อมือของเขาพลันเกิดเสียงดังเพล้ง กำไลคู่บุพเพที่สวมอยู่บนข้อมือของเขามาโดยตลอดจะถอดอย่างไรก็ถอดไม่ออกพลันแตกร้าว ร่วงลงพื้นหายวับไป
เขาทึ่มทื่อไปทันที เงยหน้ามองนางตามสัญชาตญาณ มองเห็นพอดีว่ากำไลบนข้อมือของนางก็แตกร้าวร่วงลงพื้นเช่นกัน
ไม่ถูกสิ!
เขาต้องการจะเพิกถอนสัมพันธ์อาจารย์ศิษย์ ไม่ได้คิดจะถอดถอนกำไลบุพเพ…
เขาลุกขึ้นมาทันที “นี่…”
วาจาท่อนหลังยังไม่ทันได้เอ่ยออกมา กระแสไฟฟ้าสีม่วงอมแดงเส้นมหึมาที่ราวกับเคียวของยมทูต เจือกลิ่นอายแห่งความวินาศที่ทำลายล้างโลกาได้ ก็ฟาดลงมาทันที!
ทัณฑ์อัสนีเช่นนี้เขายังไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลยจริงๆ!
เขาคิดจะร่ายอาคมป้องปัดตามสัญชาตญาณ กู้ซีจิ่วที่อยู่ตรงกันข้ามพลันโบกแขนเสื้อคราหนึ่ง ลำแสงสีรุ้งสายหนึ่งเข้าครอบคลุมเขาไว้
สายฟ้าฟาดใส่โดมแสงสีรุ้งนั้น เกิดเสียงดังแกรกแล้วพังทลายในทันใด จากนั้นก็ผ่าลงบนร่างเขา
เลือดลมในร่างคล้ายกำลังจะลุกไหม้ เจ็บปวดปานจะแหลกเป็นเสี่ยงๆ สีหน้าเขาพลันขาวเผือด
สายฟ้าอีกเส้นผ่าลงมา ครั้งนี้ผ่าใส่กู้ซีจิ่ว นางตวัดแขนเสื้อขึ้น โดมแสงสีรุ้งกำบังรอบกาย สายฟ้าผ่าลงบนยอดศีรษะนาง ฟาดโดมแสงนั้นจนแตก ใบหน้าเฉิดฉันของนางก็ซีดเผือดแล้วเช่นกัน
ทัณฑ์อัสนีพอเริ่มแล้วก็จะเนืองแน่นไม่ขาดสาย ไม่ให้เวลาผู้อื่นได้พักหายใจเลย ตามติดกันมาสายแล้วสายเล่า แถมยังยุติธรรมไม่ลำเอียง ฟาดลงบนร่างเขาและนางคนละสาย
และอัสนีทุกสายที่ผ่าใส่เขา ล้วนถูกนางสร้างโดมแสงกางกั้นไว้ ถึงแม้จะต้านทานไม่อยู่ แต่ดีร้ายอย่างไรก็ลดทอนอานุภาพไปได้ส่วนหนึ่ง…
หลังผ่านไปชั่วระยะหนึ่งถ้วยชา ในที่สุดเมฆาสีม่วงบนท้องนภาก็สลายไปแล้ว เผยดวงตะวันอันร้อนแรงออกมาอีกครั้ง
จะว่าไปแล้วก็แปลก เมื่อครู่ตอนที่ถูกฟ้าผ่า ทุกอณูในร่างกายของตี้ฝูอีต่างกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ปรารถนาจะตายลงเดี๋ยวนั้นเลย
แต่หลังจากทัณฑ์อัสนีสลายไปแล้ว ความเจ็บปวดบนร่างกายก็เลือนหายไปด้วย เพียงรู้สึกอ่อนล้ายิ่งนัก อ่อนล้าจนอยากจะหาสถานที่นอนหลับสักตื่น
เขาฝืนคุมสติไว้ มองไปที่กู้ซีจิ่วเป็นอันดับแรก
————————————————————————————-