“แสดงมันออกมา!” เย่ชางคงตะคอกขึ้นด้วยความเดือดดาลปนสงสัย
เมื่อพูดจบ เย่ชางคงเหลือบมองไปที่หยูหงเว่ยด้วยสายตาจับผิด และเริ่มที่จะระวังตัวต่อทุกคนของตระกูลหยู เนื่องจากกู่ตงฉิงคือผู้เชี่ยวชาญที่ตระกูลหยูเชิญมาให้เข้าร่วมกับพวกเขา
ในทางกลับกัน ทางด้านของหยูหงเว่ยเองก็แสดงสีหน้ามืดหม่น เนื่องจากเขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่ากู่ตงฉิงมีเหตุผลอะไรถึงได้กล้าทำอะไรอุกอาจแบบนี้
ต้องรู้ว่าแม้แต่ตัวของหยูหงเว่ยเองก็ไม่กล้าที่จะฆ่าหลิงตู้ฉิงด้วยซ้ำ เพราะเขากลัวว่าเมื่อไหร่ที่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์กลับมา และรู้ว่าหลิงตู้ฉิงตายไปแล้ว หายนะจะต้องบังเกิดขึ้นกับตระกูลของเขาแน่นอน
ภายใต้การจับจ้องของเหล่าผู้คน กู่ตงฉิงค่อย ๆ หยิบเหรียญตราเหรียญหนึ่งขึ้นมาแสดงให้กับทุกคนได้เห็น
มันเป็นเหรียญตราที่มีขนาดเท่าฝ่ามือและมีสีดำสนิท แถมยังเต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหารและที่ด้านหน้าของเหรียญมีตัวอักษรที่แกะสลักไว้คำว่า ‘ฆ่า!’
“ตำหนักดับเซียน!?” เย่ชางคงตะโกนเสียงหลง “นี่เจ้าเป็นคนของตำหนักดับเซียนงั้นเหรอ?”
เมื่อพูดจบ เย่ชางคงหันขวับไปจ้องเขม็งที่หยูหงเว่ยทันที
หยูหงเว่ยแสดงสีหน้าตื่นตะลึง จากนั้นเขารีบตอบกลับทันที “ข้าไม่รู้ ข้าไม่รู้ว่าเขาเป็นคนของตำหนักดับเซียน!”
ถึงแม้ว่าตัวตนของสมาชิกตำหนักดับเซียนจะเป็นที่น่าเกรงขาม แต่ไม่ว่าผู้ใดที่มีความสัมพันธ์กับตัวตนเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่มีจุดจบที่ไม่ดีทั้งนั้น ดังนั้นหยูหงเว่ยจึงตัดขาดความสัมพันธ์กับกู่ตงฉิงทันที
ในเวลาเดียวกัน จู่ ๆ กู่ตงฉิงก็พูดขึ้นว่า “เป้าหมายของข้ามีเพียงอย่างเดียวคือฆ่าเขาเท่านั้น ข้าไม่ได้มีขัดแย้งอะไรกับพวกเจ้าสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์! หากพวกเจ้าคิดจะฆ่าข้าก็จงไตร่ตรองกันให้ดี ๆ พวกเจ้าควรจะรู้ว่าเมื่อไหร่ที่ข้าตายด้วยน้ำมือพวกเจ้า พวกเจ้าจะต้องเผชิญกับการแก้แค้นของของตำหนักดับเซียนแน่นอน!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เย่ชางคงและคนอื่น ๆ ต่างก็รู้สึกเดือดดาล และขัดแย้งในเวลาเดียวกัน
ตำหนักดับเซียนเป็นเหมือนเห็บหมัดที่คอยสร้างความรำคาญให้กับทุกสำนักมาโดยตลอด ซึ่งถ้าเป็นไปได้มันก็ไม่มีใครอยากจะขัดแย้งกับองค์กรสังหารนี้ที่ไม่มีใครรู้ว่าพวกมันมีสมาชิกกี่คน และที่ตั้งองค์กรของพวกมันอยู่ที่ไหน
ด้วยระดับการบ่มเพาะที่ไม่ธรรมดาของสมาชิกตำหนักดับเซียน แถมพวกมันยังเก่งในการลอบสังหาร ดังนั้นหากสำนักไหนเป็นศัตรูกับพวกมัน สำนักเหล่านั้นก็จะต้องคอยระวังตัวอยู่ตลอดเวลาไม่เป็นอันได้อยู่อย่างสงบสุข โดยเฉพาะตัวตนระดับสูงของตำหนักดับเซียนที่ถูกเรียกว่า ‘เทพแห่งความตาย’ ซึ่งมีถึง 10 คน และแต่ละคนยังเป็นตัวตนที่อยู่ในขอบเขตมหาจักรพรรดิทุกคน
เอาแค่การรับมือกับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิแบบซึ่ง ๆ หน้าก็ลำบากอยู่แล้ว แต่นี่กลับต้องเป็นการรับมือกับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตมหาจักรพรรดิที่คอยแต่จ้องจะลอบสังหารแต่ในที่ลับอย่างเดียว มันจึงยิ่งเป็นเรื่องที่ไม่มีสำนักไหนอยากจะเผชิญสักเท่าไหร่หากไม่ถึงที่สุดจริง ๆ
แต่ตอนนี้สถานการณ์ของพวกเขาถึงที่สุดแล้วรึยัง? พวกเขาควรจะสำเร็จโทษที่กู่ตงฉิงกล้าสังหารคนกลางสำนักของพวกเขาแบบนี้เลยดีไหม?
แต่ในระหว่างที่ทุกคนกำลังครุ่นคิดว่าจะเอายังไงดี หยูปิงก็ตะโกนขึ้นด้วยสีหน้าหวาดกลัว “ปล่อยเขาไป! ข้าไม่อยากจะคอยระวังหลังของข้าไปตลอดชีวิตนะ!”
“ปล่อยมันไปงั้นเหรอ?” หลิงตู้ฉิงจ้องเขม็งไปที่หยูปิง “ไม่ว่าจะยังไงวันนี้มันจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น มันจะต้องถูกข้าผู้นี้สังหารเพียงอย่างเดียว!”
ไม่ต้องพูดถึงว่ากู่ตงฉิงในตอนนี้เป็นคนของตำหนักดับเซียน ต่อให้กู่ตงฉิงจะเป็นคนของสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์วันนี้ หลิงตู้ฉิงก็จะต้องฆ่าให้ได้อยู่ดี
เรื่องที่กู่ตงฉิงเป็นคนของตำหนักดับเซียนนั้น หลิงตู้ฉิงมั่นใจได้เต็ม 10 ส่วนว่ากู่ตงฉิงเป็นคนของตำหนักดับเซียนแบบที่กล่าวอ้างแน่นอน เพราะหลิงตู้ฉิงคุ้นเคยกับกลิ่นอายของมือสังหารจากตำหนักดับเซียนเป็นอย่างดี
แต่มันยังมีสิ่งหนึ่งที่เขายังคงสงสัยอยู่บ้างก็คือ เมื่อตอนที่เขาเจอกับกู่ตงฉิงที่อาณาเขตนภา ในเวลานั้นกู่ตงฉิงยังไม่มีกลิ่นอายของตำหนักดับเซียนเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นมันก็อธิบายได้ว่ากู่ตงฉิงเพิ่งจะได้เข้าร่วมกับตำหนักดับเซียนเมื่อเร็ว ๆ นี้ ฉะนั้นเขาจึงมีความสงสัยว่าเป็นใครกันที่เป็นคนรับสมัครกู่ตงฉิงเข้าไปร่วมกับตำหนักดับเซียน?
ด้วยความสงสัย หลิงตู้ฉิงจึงวางแผนว่าเขาจะต้องสืบรู้ความลับนี้ให้ได้เพื่อที่เขาจะได้คิดบัญชีสำหรับหนี้แค้นเก่าที่เขาเคยมีไว้กับตำหนักดับเซียน
ทางด้านของหยูปิง เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงตู้ฉิงแบบนั้น เขาก็ตะคอกขึ้นด้วยความเดือดดาลทันที “ที่นี่คือสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์! เจ้ามีสิทธิ์อะไรถึงกล้าตัดสินใจว่าใครจะอยู่ใครจะตาย? ท่านเจ้าสำนัก โปรดคำนึงถึงผลดีและผลเสียต่อสำนักของเราด้วย หากเราฆ่าคนของตำหนักดับเซียน ในอนาคตทุกคนในสำนักของเราจะต้องอยู่กันอย่างไม่เป็นสุขแน่นอน!”
หยูหงเว่ยพูดกับหลิงตู้ฉิงด้วยสีหน้ามืดหม่น “ที่นี่คือสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ หากเจ้าจะคิดบัญชีไม่ว่าจะกับใครก็ตามเจ้าก็จงไปจัดการที่ข้างนอก ซึ่งข้าจะไม่เข้าไปแทรกแซงด้วยแน่นอน แต่ถ้าหากเจ้าต้องการที่จะสะสางเรื่องของเจ้ากับคนของตำหนักดับเซียนในสำนักของข้า ข้าคงต้องบอกว่าข้าไม่อนุญาตให้เจ้าทำ!”
หลิงตู้ฉิงหัวเราะและตอบกลับ “เจ้าคิดว่าข้าจำเป็นต้องสนใจด้วยงั้นเหรอว่าเจ้าจะอนุญาตหรือไม่อนุญาต ไม่รู้ล่ะต่อให้ใครจะออกมาปกป้องมันก็ตาม ไม่ว่าจะยังไงวันนี้ข้าจะฆ่ากู่ตงฉิงที่นี่ให้ได้!”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงตู้ฉิง สีหน้าของผู้คนสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ก็กลายเป็นมืดหม่นในทันที
“ถ้าเจ้ากล้าก็ลองดู!” หยูหงเว่ยตะคอกกลับ จากนั้นเขาหันไปหาเย่ชางคง และพูดว่า “เจ้าสำนัก ข้าคิดว่าท่านควรจะดูแลลูกเขยของท่านให้ดีสักหน่อย อย่าปล่อยให้เขาลากสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ของเราไปเกี่ยวข้องกับเรื่องความแค้นส่วนตัวของเขาแบบนี้ สำนักของเราไม่ควรจะต้องมามีส่วนแบ่งแบกรับผลจากการกระทำของเขา!”
ในใจของเย่ชางคงตอนนี้ก็ยังคงสองจิตสองใจ ใจหนึ่งเขาก็ไม่อยากที่จะมีปัญหากับตำหนักดับเซียน แต่อีกใจหนึ่งในฐานะที่สำนักของเขาก็เป็นสำนักมหาอำนาจ หากเขาปล่อยให้คนของตำหนักดับเซียนมาสังหารคนในสำนักของเขาแบบนี้โดยที่เขาไม่ทำอะไรเลยเขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?
ทางด้านของหลิงตู้ฉิงก็ได้แต่ทอดถอนใจกับความขี้ขลาดของคนสำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่แสดงท่าทีหวั่นเกรงกับตำหนักดับเซียน
เห็นได้ชัดว่ากู่ตงฉิงเป็นเพียงแค่สมาชิกระดับล่างของตำหนักดับเซียนแท้ ๆ แต่กับอีแค่คำพูดขู่นิด ๆ หน่อย ๆ คนเหล่านี้ที่เป็นถึงคนของสำนักมหาอำนาจกลับกลัวกันจนหงอละทิ้งศักดิ์ศรีของตัวเองกันไปจนหมด
คนพวกนี้ลืมกันไปหมดแล้วงั้นเหรอว่ากว่าที่สำนักของพวกเขาจะมายืนอยู่ ณ ตรงจุดนี้ได้บรรพบุรุษของพวกเขาต้องผ่านร้อนผ่านหนาวผ่านเลือด และความตายมามากมายขนาดไหน?
คนพวกนี้มันช่างไม่ต่างอะไรกับคนของภูเขาฟีนิกซ์ที่เขาเพิ่งจัดระเบียบไป ซึ่งชินชากับความสุขสงบจนรักตัวกลัวตายไม่กล้าที่จะเผชิญกับอันตราย
ในขณะที่เย่ชางคงกำลังไม่แน่ใจว่าจะเอายังไงดี มู่หลงหยานก็โทรจิตไปหาเขาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “สามี ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น พวกเราต้องอยู่ฝั่งเดียวกับลูกเขยของเราเท่านั้น!”
“หลงหยาน แต่ว่าเขาเป็นแค่ลูกเขยเราเท่านั้น!” เย่ชางคงตอบกลับ “ถ้าหากข้าสนับสนุนเขา สถานการณ์ในสำนักจะต้องแย่ลงอย่างแน่นอน และอีกอย่างต่อให้ข้าสนับสนุนเขา คนอื่น ๆ ของสำนักก็คงไม่คล้อยตามด้วยหรอก”
“ช่างหัวคนอื่น ๆ ให้หมด! ไม่ว่าใครจะพูดอะไรว่ายังไงท่านไม่จำเป็นต้องสนใจทั้งนั้น ท่านแค่สนับสนุนเขาเท่านั้นก็พอ!” มู่หลงหยานตอบกลับด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ในเวลานี้ท่านจำเป็นต้องเชื่อข้า ข้าเข้าใจว่าท่านไม่อยากจะเชื่อข้าสักเท่าไหร่เพราะว่าท่านไม่เคยเห็นอีกด้านหนึ่งของเขามาก่อน แต่ท่านต้องรู้ไว้ว่าข้าคือคนที่เคยเห็นอีกด้านของเขามาแล้ว และเขาไม่ใช่คนธรรมดาที่ใครจะสามารถต่อกรด้วยได้!”