แววตาเปล่งประกายของตงหลิงหวง ทำให้ผู้อื่นไม่อาจคาดเดาได้ว่าภายในใจของนางกำลังครุ่นคิดอันใด
นางมองฮั่วอวี้เจียวราวกับผู้มีอำนาจควบคุมทุกสิ่งกำลังมองดูตัวตลก
แท้จริงแล้ว ฮั่วอวี้เจียวที่ยืนอยู่ตรงหน้าในตอนนี้ เป็นดั่งตัวตลกที่ไม่รู้จักคำว่าตายจริงๆ
เหตุผลที่นางไม่ใช้พัดสังหารฮั่วอวี้เจียวในเวลานี้ เป็นเพราะนางยังต้องการใช้งานพ่อลูกสกุลฮั่ว
ตงหลิงหวงมองอยู่ครู่หนึ่งและเฝ้ารอเป็นเวลานาน
ทันใดนั้น นางก็ลุกขึ้นยืนและกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา “ไปให้พ้น ข้าอาจเปลี่ยนใจได้”
ใบหน้าของฮั่วอวี้เจียวเต็มไปด้วยความประหลาดใจ นางพูดความรู้สึกภายในใจของนาง ทว่าตงหลิงหวงไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย
“ตงหลิงหวง เจ้าหมายความว่าอย่างไร? เจ้ากับซูจิ่นซีมีความบาดหมางกันไม่ใช่หรือ? ซูจิ่นซีเป็นศัตรูของเจ้าไม่ใช่หรือ? นางต้องการแย่งแคว้นตงเฉินของเจ้าไม่ใช่หรือ?
อย่าลืมเล่า ไม่ว่าในฐานะพระชายาโยวอ๋องแคว้นจงหนิง หรือฉางอันกงจู่แห่งแคว้นหนานหลี ชั่วชีวิตนี้ พวกเจ้าทั้งสองไม่มีทางเป็นสหายกันได้ ”
น้ำเสียงของตงหลิงหวงเย็นชาสุดขั้ว “เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร คู่ควรให้เจรจาเงื่อนไขกับข้าหรือ? ”
เมื่อเห็นว่าตงหลิงหวงกำลังจะโกรธ ฮั่วจีจึงไม่ต้องการให้บุตรสาวที่ไร้สมองของเขาสร้างปัญหาอีก
อย่างไรเสีย สิ่งที่ตงหลิงหวงพูดนั้นถูกต้อง ความอดทนของนางมีจำกัด ทั้งเรื่องที่ตงหลิงหวงเห็นคุณค่าของสกุลฮั่วก็มีขีดจำกัดเช่นกัน เขาจึงรีบส่งสายตาให้ฮั่วซืออวี่
ฮั่วซืออวี่เข้าใจในทันที และรีบลากตัวฮั่วอวี้เจียวออกไปข้างนอก
“อวี้เจียว ท่านพ่อและองค์รัชทายาทมีเรื่องต้องหารือกันอีก ดังนั้นเจ้าอย่าอยู่รบกวนพวกเขาเลย กลับไปพักผ่อนที่ห้องของเจ้าเถิด มันดึกมากแล้ว”
ฮั่วซืออวี่ไม่กล้ามอบฮั่วอวี้เจียวให้บ่าวรับใช้ของนาง จึงตั้งใจลากนางไปที่ห้องของนางด้วยตนเอง
แต่ฮั่วอวี้เจียวจะยอมแพ้ง่ายๆ ได้อย่างไร? นางจับขอบประตูแน่น และตะโกนพูดกับตงหลิงหวงสุดเสียงว่า
“ตงหลิงหวง เจ้าหมายความว่าอย่างไร? เจ้าหมายความว่าอย่างไรกันแน่? เห็นได้ชัดว่าเจ้ากับซูจิ่นซีอยู่คนละฝั่งกัน ทั้งข้ากับซูจิ่นซียังมีความแค้นต่อกัน เพราะเหตุใดจึงร่วมมือกันไม่ได้? เจ้าดูถูกข้าหรือ? เจ้าดูถูกข้าได้อย่างไร? ”
ตงหลิงหวงไม่ชายตามองฮั่วอวี้เจียวแม้แต่น้อย นางทำท่าทีราวกับกำลังชื่นชมพัดเหล็กในมือซึ่งเป็นงานฝีมือที่งดงามอย่างยิ่ง
“เจ้าน่ะหรือ คู่ควรเป็นศัตรูกับซูจิ่นซี? ”
คำพูดนั้นช่างราบเรียบ ทว่าเมื่อตงหลิงหวงกล่าวออกไป คำพูดที่ไม่ได้ใช้พลังเสียงมากนักกลับบาดลึกเข้าไปภายในหัวใจของฮั่วอวี้เจียวราวกับถูกมีดกรีด
ฮั่วอวี้เจียวมองไปที่ตงหลิงหวงอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “เจ้า… เจ้าพูดว่าอันใด? ”
ไม่คิดว่าตงหลิงหวงจะพูดว่านางไม่คู่ควรเป็นศัตรูกับซูจิ่นซีด้วยซ้ำ
นี่มันหมายความว่าอันใด?
คิดว่านางด้อยกว่าซูจิ่นซีมากนักหรือ?
คำพูดเช่นนี้ ช่างแทงใจดำยิ่งนัก
ฮั่วอวี้เจียวตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง มือของนางที่จับขอบประตูผ่อนแรงลงเล็กน้อย ทำให้ฮั่วซืออวี่ลากนางออกไปได้ในทันที
คนถูกลากไปไกลแล้ว น้ำเสียงไม่เต็มใจของฮั่วอวี้เจียวดังขึ้นราวกับเสียงแมลงวันบิน
“ตงหลิงหวง เจ้าหมายความว่าอย่างไรกันแน่? อธิบายให้ชัดเจน หมายความว่าอย่างไร? ท่านพี่อย่าลากข้าไป ข้าต้องการพูดกับนางให้เข้าใจ นางหมายความว่าอย่างไรกันแน่? หมายความว่าอย่างไรกันแน่? ”
ฮั่วจีมีท่าทางอับจนหนทางและละอายใจ เขาแสดงท่าทีขอโทษตงหลิงหวงด้วยความเคารพ “องค์รัชทายาท กระหม่อมต้องขอประทานอภัย กระหม่อมเลี้ยงบุตรสาวอย่างตามใจจนนางเสียคน องค์รัชทายาทโปรดยกโทษให้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมต้องขอประทานอภัยแทนบุตรสาวด้วยความจริงใจพ่ะย่ะค่ะ! ”
ตงหลิงหวงเหลือบมองฮั่วจี ไม่รู้ว่านางกำลังคิดอันใดอยู่ นางไม่ได้แสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ และเปลี่ยนประเด็นไปเรื่องอื่น “พิธีบรมราชาภิเษกจะลงมืออย่างไร รอฟังคำสั่งจากข้า! ”
หลังจากพูดจบก็ไม่รอให้ฮั่วจีพูดตอบ นางรีบเดินออกไปทันที
ตงหลิงหวงเดินทางมาอย่างไร้ร่องรอย ขากลับก็รวดเร็วปานสายลมและหายไปในเงามืดเพียงพริบตา ฮั่วจีหันไปมองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดมิด เหงื่อไหลออกมาอย่างอธิบายไม่ถูก
เขาแสดงคำพูดออกไปอย่างจริงใจ หากตงหลิงหวงพูดอันใดออกมาบ้างคงจะดีกว่านี้ แม้จะหยาบคายก็ตาม ทว่าสิ่งที่เขากลัวที่สุดคือสถานการณ์ที่นิ่งเงียบและไม่พูดอันใด ทำให้คนไม่สามารถเข้าใจสิ่งใดได้
มันช่างกดดัน น่ากังวล และน่ากลัวมากจริงๆ
ตงหลิงหวงกลับมาที่เรือนของพระสนมน่าหลานตามเส้นทางลับ ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของนาง แม้แต่คนที่หลู่หยางอ๋องแอบส่งมาจับตาดูก็เช่นกัน
ขณะที่ตงหลิงหวงกลับมาภายในเรือน ก็เจอกับองครักษ์เงาที่แปลงโฉมเป็นพระสนมน่าหลานแทนนาง
“เกิดอันใดขึ้นหรือไม่? ”
“หลังจากที่พระองค์เสด็จออกไป สายตาด้านนอกก็จับจ้องที่นี่ตลอดเวลา คงไม่ทันสังเกตเห็นเรื่องผิดปกติ กระหม่อมก็อยู่ภายในห้อง ไม่ได้ออกไปที่ใดเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม ดีมาก! ” ตงหลิงหวงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะเดินไปเปิดเส้นทางลับให้องครักษ์เงาออกไป
หลังจากนั้นตงหลิงหวงก็เข้านอน วันนี้ดึกมากแล้ว สองสามวันที่ผ่านมานางยุ่งอย่างมาก และเหนื่อยล้ายิ่งนัก เมื่อล้มตัวนอนบนเตียง นางก็ผล็อยหลับไปทันที
ทว่าขณะที่หลับใหล นางรู้สึกว่าพลังลมปราณภายในร่างกายมีการเคลื่อนไหว เส้นลมปราณทั้งแปดในร่างกายของนางราวกับหมุนวนจนร่างกายร้อนผ่าว เมื่อนางตื่นขึ้นมา นางก็พบว่าตนเองไม่ได้ฝันไป ร่างกายของนางเกิดความผิดปกติจริงๆ
เกิดอันใดขึ้นกันแน่?
ตงหลิงหวงนั่งลงบนเตียงและทำสมาธิ จากนั้นจึงรวบรวมพลังลมปราณภายในร่างกาย นางพบว่าพลังภายในและพลังฝึกตนไม่มีปัญหา เช่นนั้น สิ่งเดียวที่น่าสงสัยก็คือแหวนเก้ามังกรวงนี้
ครั้งก่อนที่นางอยู่ในวังหลวง นางเพียงเข้าไปสำรวจในแหวนเก้ามังกรอย่างคร่าวๆ เท่านั้น ไม่ได้สังเกตอย่างละเอียดยามนี้ได้เวลาประจวบเหมาะ นางจึงใช้โอกาสนี้เข้าไปตรวจสอบภายใน
จากนั้นตงหลิงหวงจึงรวบรวมกระแสจิตของนาง และเข้าไปภายในแหวนเก้ามังกร
เวลานี้ สถานการณ์แตกต่างจากตอนที่นางเข้ามาเมื่อครั้งก่อน ภายในแหวนเก้ามังกรมีหมอกหนาทึบ พื้นที่ในระยะไกลกลายเป็นสีขาวทั้งหมด มองไม่เห็นสิ่งใดแม้แต่น้อย
พื้นดินใต้ฝ่าเท้ามีหมอกปกคลุมเช่นกัน หากเดินไม่ระวังคงไม่รู้เลยว่าเป็นพื้นจริงหรือพื้นที่ว่างเปล่า
นอกจากนั้น นางยังพบว่าภายในแหวนเก้ามังกรมีพื้นที่ภายในที่ใหญ่กว่าครั้งก่อนที่นางเข้ามา
เสด็จแม่ไม่ได้บอกนางว่าพื้นที่ภายในแหวนเก้ามังกรจะเพิ่มขึ้นเพราะการฝึกตน เสด็จแม่ของนางคงไม่ทราบเช่นกัน
เช่นนั้น พื้นที่เพิ่มขึ้นได้อย่างไร?
เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ทางสายเลือดระหว่างนางกับเสด็จแม่หรือไม่?
อย่างไรก็ตาม พื้นที่ภายในแหวนเก้ามังกรเพิ่มขึ้นจากก่อนหน้านี้ถึงสองเท่า หมายความว่าพลังของแหวนเก้ามังกรเพิ่มขึ้นจากก่อนหน้านี้เป็นเท่าตัวหรือ?
แม้ไม่รู้ว่าแหวนเก้ามังกรทรงพลังมากเพียงใด ทั้งตอนที่เสร็จแม่มอบแหวนเก้ามังกรวงนี้ให้นาง พระองค์ก็ไม่ได้อธิบายอันใดให้ชัดเจน เสด็จแม่บอกนางเพียงว่า พลังของแหวนเก้ามังกรไม่มีที่สิ้นสุด นางต้องค้นพบด้วยตนเองเท่านั้น
ทว่าสิ่งที่นางมั่นใจได้ก็คือ คำพูดของเสด็จแม่ไม่ผิดแน่นอน พลังของแหวนเก้ามังกรนั้นหาที่เปรียบมิได้
เนื่องจากนางเคยได้ยินเสด็จแม่กล่าวถึงมันมาก่อน แหวนเก้ามังกรไม่ใช่สิ่งของในอาณาจักรเทียนเหอ ทว่าเป็นศาสตราเทพของเผ่าเทพลั่ว เผ่าเทพในสมัยโบราณ
มีไว้เพื่อฝึกตนบำเพ็ญเพียรโดยเฉพาะ
ตงหลิงหวงค่อยๆ คลำหาทางเดินไปข้างหน้าทีละก้าว เมื่อเดินไปได้สองสามก้าว หมอกภายในรัศมีห้าก้าวพลันสลายหายไป เบื้องหน้าปรากฏถ้ำที่สร้างด้วยหินซ้อนทับกัน บริเวณโดยรอบประดับด้วยดอกไม้และต้นไม้งดงามนานาพรรณ ข้างปากถ้ำมีแผ่นศิลาจารึก บนแผ่นศิลาเขียนว่า “จวนจิ่วหลงเทียน”