บทที่ 2941 เทวาดับสูญ
ในสมองคล้ายการฉายภาพยนตร์ ฉากแล้วฉากเล่าแวบเข้ามาในสมอง
นางกล่าวว่า ‘เหตุใดจะต้องเพิกถอนให้ได้เลย? ข้ารับประกันว่าจะไม่แพร่งพรายต่อภายนอก และจะไม่ควบคุมเจ้าด้วย…’
นางกล่าวว่า ‘การเพิกถอนสัมพันธ์นี้จะถูกสวรรค์ลงทัณฑ์ ต้องรับทัณฑ์อัสนี ข้าอาจจะไม่รอดก็ได้…’
นางกล่าวว่า ‘ตี้ฝูอี บังเอิญเหลือเกิน พวกเราพบกันอีกแล้ว ไม่รู้ว่าข้าจะขอดื่ม..’
นางกล่าวว่า ‘มิสู้มาร่วมดื่มด้วยกันสักหน?’
นางกล่าวว่า ‘เจ้าพกสุรามาหรือไม่? ข้ารู้สึกว่าพวกเราสมควรจะดื่มสุราส่งท้ายกัน…’
นางกล่าวว่า ‘หากว่าข้าถูกฟ้าผ่าตายล่ะ?! เช่นนั้นมิใช่ว่าอยากดื่มก็ดื่มไม่ได้แล้วหรอกหรือ?’
นางกล่าวว่า…
ในสมองเขาเกิดเสียงดังหึ่งๆ ในสมองเต็มไปด้วยวาจาที่นางเคยกล่าว ไม่ลืมเลือนไปเลยสักประโยค ตอนนี้ยิ่งแจ่มชัดเสียจนน่ากลัว!
เขานึกถึงถ้อยคำที่ข้ารับใช้ที่ถูกส่งตัวออกไปสืบหาเบาะแสของนางกลับมารายงานขึ้นมาอีกครั้ง ‘นายท่าน ในช่วงหลายวันมานี้พระองค์เจ้าเตร็ดเตร่ไปตามหกภพภูมิอยู่ตลอด เข้าไปในเหลาสุรา หอน้ำชาสารพัดแห่ง ทุกครั้งล้วนสั่งอาหารพิเศษขึ้นชื่อมาโต๊ะใหญ่ ชิมไปอย่างละไม่กี่คำ…’
ตี้ฝูอีแทบจะทะยานออกไปแล้ว! ยามที่ก้าวพ้นประตู ก็สะดุดธรณีประตูเข้า เกือบจะล้มคว่ำแล้ว
เขาซวนเซอยู่ครู่หนึ่งถึงได้ยืนมั่น จากนั้นก็เหาะทะยานออกไปด้านนอก ความหวาดหวั่นในใจท่วมฟ้าท้นดิน แทบจะท่วมทับเขาแล้ว
อาจิ่ว! รอข้านะ เจ้าห้ามเป็นอะไรนะ…
….
“สวรรค์ เกิดอะไรขึ้น? ตอนนี้เป็นเดือนหกนะ ทำไมใบไม้ทั้งหมดกลายเป็นสีเหลืองไปแล้วล่ะ?! ร่วงแล้ว! ใบไม้ทั้งหมดร่วงแล้ว!”
“พวกเจ้าดูสิ…ดูทะเลสาบแห่งนี้สิ! สวรรค์ แห้งขอดแล้ว! น้ำล่ะ? น้ำไปไหนแล้ว? นี่คือทะเลสาบหมื่นปีไม่แห้งเหือดนะ!”
“ลมแรงเหลือเกิน! วิ่งเร็ว! รีบวิ่ง! นี่คือความพิโรธของเทพยดาใช่ไหม?!”
“ฝนตก! ฝนตกแล้ว! โอ้องค์เทพ เหตุใดเป็นฝนโลหิตเล่า?!”
ทันใดนั้น บุปผาพลันร่วงโรยเป็นโคลนเลน ใบไม้ร่วงหล่นเป็นทิวแถว
ลมพายุดุจคมมีด ดังหวีดหวิวดุจภูตผีร่ำไห้
ห้วยหนองคลองบึงพลันแห้งเหือดในชั่วพริบตา เผยให้เห็นก้นทะเลสาบที่แตกระแหง
จากนั้นก็มีเมฆามืดทึบบดบังนภา สายพิรุณโปรยปรายดุจสาดเท สีพิรุณแดงฉาน ราวกับโลหิตสด เสมือนท้องนภาก็ร่ำไห้อยู่เช่นกัน ร่ำไห้จนน้ำตาเป็นสายโลหิต
ตี้ฝูอีเพิ่งจะออกมาจากแดนน้ำแข็ง พลันมีภาพปรากฏขึ้นมาในห้วงนิมิต
ผู้คนที่หนีก็หนี ที่กรีดร้องก็กรีดร้อง ที่หลบก็หลบ แต่ละคนแตกตื่นหวาดผวา ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ทุกคนต่างตื่นตระหนกยิ่งนักซ้ำยังมีความรู้สึกอยากจะร่ำไห้ขึ้นมาวูบหนึ่งด้วย ความโศกเศร้าอย่างมหันต์ซัดตลบอยู่ในทรวงอก ผู้คนมากมายหลั่งน้ำตาอาบหน้าอย่างหาสาเหตุไม่ได้
‘นายท่าน แย่แล้วขอรับ! ยอดเขาเชิดนภาของภพเซียนจู่ๆ ก็ถล่มลงมาขอรับ!’
‘นายท่าน ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด ที่ภพมารเกิดฝนอุกกาบาตขึ้น บาดเจ็บล้มตายกันนับไม่ถ้วนเลยขอรับ!’
‘นายท่าน เกิดเรื่องเลวร้ายครั้งใหญ่ขึ้นแล้ว ภพมารเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ขึ้น สายนทีไหลย้อน แผ่นดินแตกระแหงขอรับ!’
‘นายท่าน จู่ๆ เหล่าสัตว์ร้ายในภพอสูรก็ร้องไห้โหยหวนขึ้นมาพร้อมกัน สะท้านฟ้าสะเทือนดิน…’
‘นายท่าน ภพมนุษย์…’
ตี้ฝูอีได้รับการรายงานจากลูกน้องนับไม่ถ้วนที่กระจายตัวอยู่ทั่วทุกแห่งหน หกภพภูมิล้วนปรากฏนิมิตที่ทำให้ผู้คนหวาดผวา จิตใจคนระส่ำระส่าย
ยามที่ลูกน้องเหล่านี้รายงานต่อเขา เขาจะสงบนิ่งอยู่ตลอด ทว่าน้ำเสียงกลับทุ้มพร่า เสมือนฝืนสะกดกลั้นความรู้สึกอยากจะร่ำไห้เอาไว้
โศกศัลย์ บรรยากาศอันโศกศัลย์กดทับลงมาอย่างหนัก แพร่กระจายไปตามฟ้าดิน
ฟ้าดินเปลี่ยนสี บรรพต นทีโศกหมอง
ราวกับโลกมาถึงกาลอวสานแล้ว
เบื้องหน้าตี้ฝูอีมืดมัวลงเป็นพักๆ เท้าก็เสมือนย่ำอยู่บนปุยนุ่น
สายฝนบนนภาโปรยปรายดุจสาดเท บนท้องถนนไร้ซึ่งผู้คน ล้วนหลบอยู่ในอาคารบ้านเรือน เขาเดินย่ำอยู่กลางสายฝน ไม่หลบไม่เลี่ยงเสมือนโง่งมไปแล้ว เพียงพุ่งทะยานฝ่าสายฝนไปประหนึ่งบ้าคลั่ง…
ไม่มีผู้ใดทราบเบาะแสของเทพผู้สร้างโลกเลย เขาไม่รู้เลยว่าควรจะไปตามหานางที่ไหน…
————————————————————————————-
บทที่ 2942 เทวาดับสูญ 2
สิ่งที่เขาใช้ติดต่อสื่อสารกับนางมีเพียงยันต์ถ่ายทอดเสียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยันต์ถ่ายทอดเสียงแผ่นนั้นถูกเขาทำลายทิ้งด้วยมือตนแล้ว!
อาจิ่ว เจ้าอยู่ที่ไหน?
เจ้าไปอยู่ที่ไหนกันแน่…
จู่ๆ เขาก็นึกถึงสถานที่แห่งหนึ่งขึ้นมา! พลันสาวเท้า พุ่งทะยานออกไป
….
แดนต้องห้ามของทวยเทพ ไม่ได้อยู่ในสถานที่ใดของหกภพภูมิเลย
ที่นี่คือท้องนภาสีครามเข้มที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว
มีตำหนักแบบโบราณหลายหลังแขวนลอยอยู่ภายใต้ท้องนภาดาษหมู่ดาว และเมื่อเงยหน้ามองขึ้นเหนือตำหนักแล้ว ดูราวกับจะเอื้อมมือไปเด็ดดวงดาวลงมาได้
เมฆหมอกล่องลอยอยู่ใต้ฝ่าเท้า ก้อนหยกเย็นยะเยือกเล็กน้อย สถานที่แห่งนี้สำหรับกู้ซีจิ่วแล้ว เป็นสถานที่ที่มีทิวทัศน์งดงามยิ่ง และเป็นสถานที่ถือกำเนิดที่อยู่ในห้วงความทรงจำของเธอด้วย
ปีนั้นเธอก็ฟื้นขึ้นมาที่นี่ จากนั้นก็ก้าวออกไป
สถานที่แห่งนี้ถึงแม้จะงดงามมาก แต่เธอไม่ยินดีจะมาเลย
สาเหตุไม่ใช่อื่นใด ที่นี่สงบเงียบสนิท ไม่มีความเอะอะวุ่นวายของโลกา ถึงขั้นที่ไม่มีแม้แต่สายลมด้วยซ้ำ ราวกับห้วงเวลาของที่นี่ถูกหยุดเอาไว้ เงียบสงัดจนทำให้คนหวาดกลัว รกร้างเสมือนมาถึงจุดสิ้นสุดของโลกแล้ว
แต่เธอชอบความครึกครื้น ชอบเสียงเอะอะวุ่นวายของโลกโลกีย์ ไม่ชมชอบสถานที่ที่ไร้ซึ่งกลิ่นอายของมนุษย์เช่นนี้ หากว่าเป็นไปได้ เธอก็ไม่อยากกลับมาที่นี่เลยสักนิด
แต่ตอนนี้เธอหวนกลับมาอีกครั้ง ฝืนประคองลมหายใจเฮือกสุดท้ายเพื่อกลับมา
เธอจะต้องขึ้นไปถึงยอดตำหนักให้ได้ก่อนที่จะดับขันธ์ เข้าสู่ค่ายอาคมวงนั้นที่จัดเรียงไว้นานแล้ว ใช้พลังเทพเฮือกสุดท้ายของเธอควบคุมทุกอย่างในหกภพภูมิ
ค่ายอาคมก็เป็นค่ายกลดาราเช่นกัน เธอเดินโซซัดโซเซมาถึงริมขอบค่ายกลดารา จ้องมองดวงดาวที่อยู่ใจกลางสุดดวงนั้น ถอนหายใจออกมาเบาๆ
สรรพสิ่งในหกภพภูมิเห็นเพียงว่าเธอเตร็ดเตร่ล่องลอยไปมาในแดนธุลีแดง ไม่สนใจเรื่องราวในใต้หล้าเลย
กลับไม่ทราบเลยว่าเป็นเพราะการคงอยู่ของเธอ พลังชีวิตของหกภพภูมิถึงยังคงอยู่ สรรพสิ่งในหกภพภูมิถึงสามารถเติบใหญ่รุ่งเรือง สืบสานไม่สิ้นสุดได้
และทันทีที่เธอดับขันธ์ พลังชีวิตของหกภพภูมิจะเสียหายอย่างใหญ่หลวง บรรพตถล่มปฐพีแตกร้าวเป็นเรื่องเล็ก ที่เลวร้ายคือทั้งหกภพภูมิอาจจะย่อยยับตามไปด้วย
ดังนั้นก่อนดับขันธ์เธอจะต้องเข้าสู่ค่ายอาคมนี้ ให้ค่ายอาคมนี้ดูดซับพลังเทพเฮือกสุดท้ายของเธอแล้วส่งคืนสู่หกภพภูมิ ให้หกภพภูมิกลับสู่สภาพปกติชั่วคราว ซื้อเวลาให้ก่อนที่เทพผู้สร้างโลกองค์ใหม่จะเข้ารับช่วงต่อ…
ดวงวิญญาณของเธอจะกระจัดกระจายไปสู่หกภพภูมิ มอบความชุ่มชื่นให้แก่ปวงประชา
และหลังจากดับขันธ์แล้ว จะไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีก
ศิลาดวงดาวข้างกายเปล่งแสงวิบวับ เท้าเปล่าเปลือยของเธอย่างเข้าไปทีละก้าวๆ ทุกก้าวราวกับเหยียบย่ำลงบนคมมีด และทุกจุดที่เธอย่างผ่าน จะมีบงกชสีโลหิตผลิบานแล้วพลันร่วงหล่นไปทันที…
กลางนภามีบงกชโลหิตผลิบานดอกแล้วดอกเล่า โยกไหวโอนเอน งดงามเป็นที่สุด แต่ก็เหน็บหนาวเป็นที่สุดเช่นกัน
ในที่สุด เธอก็เดินไปถึงจุดใจกลางแล้ว ตรงใจกลางมีศิลาที่ดูคล้ายแท่นบงกชอยู่ ส่องแสงเรืองๆ อยู่ตรงนั้น
เธอไล้นิ้วลงบนแท่นบงกชเบาๆ พริ้มตาลงเล็กน้อย สุดท้ายก็ยังคงดำเนินมาถึงจุดนี้อยู่ดี
ปวงชนรู้เพียงว่าเทพผู้สร้างโลกแข็งแกร่งไร้ใดเทียม เปี่ยมเมตตาต่อโลกหล้า ทว่าไม่รู้เลยว่าอันที่จริงแล้วเธอก็เป็นแค่เด็กสาวคนหนึ่งเท่านั้น
คนผู้หนึ่งมาอย่างเดียวดาย แล้วคนผู้หนึ่งก็จากไปอย่างเดียวดาย…
อันที่จริง เธอก็ค่อนข้างหวาดกลัวเช่นกัน…
ในช่วงเวลานี้อยากให้มีใครสักคนที่ไว้ใจได้มาอยู่เป็นเพื่อนเธอยิ่งนัก
แต่เธอถูกลิขิตให้โดดเดี่ยว ถูกลิขิตให้จบชีวิตนี้ลงอย่างเดียวดาย…
เธอเหลียวมองรอบข้าง เม้มริมฝีปากจิ้มลิ้มที่ซีดเซียวจนแทบไร้สีเลือดแล้ว จากนั้นก็เหม่อมองห้วงนภาอันไกลโพ้น สถานที่แห่งนี้ไม่มีลมเลยชัดๆ อุณหภูมิก็ไม่ต่ำ ทว่าเธอกลับรู้สึกเหน็บหนาวเข้าไปถึงในกระดูก…
ตอนนี้เธอไม่ต้องจับชีพจรก็รู้ว่าเลือดลมในร่างเธอยุ่งเหยิงวุ่นวาย และเมื่อพลังเทพสูญสลายไป เลือดลมเธอจะถูกแช่แข็งไปทีละชุ่นๆ…
หนาวจริงๆ…
ถ้ามีใครสักคนมากอดเธอไว้ในช่วงสุดท้ายได้อีกก็คงดี…
จู่ๆ เธอก็นึกถึงอ้อมกอดในดินแดนน้ำแข็งเมื่อตอนนั้นขึ้นมา อบอุ่นและมั่นคง แฝงกลิ่นหอมเย็นจางๆ ไว้ และในตอนนั้นเขามองเธอด้วยรอยยิ้ม แววตาเต็มไปด้วยความโอ๋เอ็นดูอันอบอุ่น ไม่มีความหงุดหงิดเลยสักนิด…
————————————————————————————-