บทที่ 1176 ศึกร่างเทพสุริยะ

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า 大主宰

บทที่ 1176 ศึกร่างเทพสุริยะ

บนจัตุรัสสีทอง

ร่างขนาดใหญ่สองร่างพร้อมกับความผันผวนของคลื่นหลิงน่าเกรงขามกวนตัว ทำให้มิติสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น

สำหรับการต่อสู้ยกตัดสินชะตามู่เฉินและจาโหลหลัวเลือกใช้ร่างเทพสุริยะแล้ว

พวกเขามีลางสังหรณ์ว่าหากต้องการเอาชนะอีกฝ่าย พวกเขาก็ต้องใช้ร่างเทพสุริยะเท่านั้น

จาโหลหลัวยืนอยู่บนไหล่ของร่างเทพสุริยะสีดำทะมึนพร้อมภาพร่างเงาสีทองสะท้อนในดวงตาพูดว่า “มู่เฉิน ถ้าแกยอมทำลายร่างเทพสุริยะตอนนี้ ข้าจะปล่อยแกไป”

ทว่ามู่เฉินเพิกเฉยต่อคำพูดของจาโหลหลัวเป็นการตอบสนอง

จาโหลหลัวไม่ได้แปลกใจกับปฏิกิริยานั่น ทว่าไอสังหารกลับยิ่งเข้มข้นในดวงตา “ในเมื่อแกเรียกร้องหาความตาย ข้าก็จะสนองความปรารถนานั่นให้เอง”

พูดจบเขาก็กระทืบฝ่าเท้า ดวงตะวันสีดำลุกโชนขึ้นจากร่างเทพสุริยะก่อนจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ

ฟู่ ฟู่!

กระแสสีดำพัดออกมาจากร่างเทพสุริยะก่อนที่จะรวมตัวกันใต้ฝ่ามือของมัน

ช่างดูเหมือนอสรพิษที่เปล่งพลังการกลืนกินที่น่ากลัวอย่างคลุมเครือ ราวกับว่าพวกมันสามารถกลืนกินกระทั่งแสงที่ส่องลงมา

“ทักษะเทห์สวรรค์ เปิดแปดตะวัน อสรพิษปีศาจ!”

จาโหลหลัวคำราม อสรพิษก็กระโจนออกมา การเคลื่อนไหวช่างผิดแผกมาก พวกมันสามารถรวมเข้ากับมิติได้

ดังนั้นเพียงอึดใจเดียวมู่เฉินก็รู้สึกได้ว่าความมืดปกคลุมไปในพื้นที่แห่งนี้ ซึ่งทำให้เขาสัมผัสถึงการคุกคาม หากการโจมตีซัดมาแม้แต่คลื่นหลิงของเขาก็จะถูกกลืนกิน

“นี่คือทักษะเทห์สวรรค์ที่เขาสร้างจากกการเปิดแปดตะวันเรอะ?”

มู่เฉินพึมพำในใจ ร่างเทพสุริยะสามารถเปิดได้ถึงเก้าตะวัน แต่จะใช้และสร้างทักษะอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับผู้ฝึกแต่ละคน เห็นได้ชัดว่าทักษะของจาโหลหลัวที่เผยออกมาแตกต่างกับเขาอย่างสิ้นเชิง

ทว่ามู่เฉินก็ยังคงฉายสีหน้าสงบนิ่งขณะที่วาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว ทันใดนั้นแสงสีทองไร้ขอบเขตก็ผลิบานออกมาจากร่างเทพสุริยะ ดวงตะวันเคลื่อนขึ้นมาจากร่างยิ่งใหญ่

“เปิดแปดตะวัน กงล้อแสงสวรรค์!”

นิ้วมู่เฉินแตะอากาศ แสงสีทองก็ควบแน่นเป็นกงล้อรอบร่างเทพสุริยะก่อนที่จะหมุนคว้างไปอย่างช้าๆ

ฮึ่ม!

เมื่อกงล้อถูกสร้างขึ้น อสรพิษดำทะมึนก็พุ่งลงมา ฉีกมิติออกจากกันในเส้นทางที่ผ่าน การโจมตีสามารถกลืนกินจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มได้ในทันที

แต่ในขณะที่มันสัมผัสกับกงล้อ ทันใดนั้นกงล้อก็หมุนทวนเข็มนาฬิกา อสรพิษปีศาจก็กระเด็นกลับไปกระแทกกับอสรพิษตัวอื่นที่พุ่งเข้ามา

ชี่ ชี่!

วงจรระเบิดสีดำไม่มีที่สิ้นสุดเกิดขึ้นขณะที่พวกมันกลืนกินซึ่งกันและกัน

แม้ว่ากงล้อแสงสวรรค์ของมู่เฉินจะไม่มีความสามารถในการโจมตีใดๆ แต่ก็ส่งคืนการโจมตีกลับไปยังเจ้าของได้ทั้งหมด

ใบหน้าของจาโหลหลัวเปลี่ยนเป็นมืดครึ้มเมื่อมองไปที่กงล้อสีทอง อสรพิษปีศาจของเขากลืนกินคลื่นหลิงของฝ่ายตรงข้ามจำนวนมากได้โดยไม่เคยล้มเหลว แต่ในขณะนี้การป้องกันที่สมบูรณ์แบบของมู่เฉินกลับทำให้ไร้ประโยชน์

แต่จาโหลหลัวก็ไม่ได้แปลกใจ เพราะเขารู้อยู่แล้วว่ามู่เฉินเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งตั้งแต่เริ่มต้น ชายคนนี้อาจเทียบได้กับจู้เยี่ยน ดังนั้นหากเขาสามารถกำจัดมู่เฉินได้อย่างรวดเร็วก็น่าสงสัยเกินไป

จาโหลหลัวหลุบตาลง ในเมื่อเปิดแปดตะวันไม่มีผลใดๆ งั้นก็เพิ่มระดับขึ้นกันอีกเถอะ!

จาโหลหลัวยื่นมือออก สร้างตราประทับผิดแผกก่อนที่เขาจะนั่งลงบนศีรษะของร่างเทพสุริยะดำทะมึน

ดวงตะวันสีดำแปดดวงผุดขึ้นมาจากร่างยิ่งใหญ่อีกครั้ง โดยแต่ละดวงมีพลังทำลายล้างที่น่าสะพรึงกลัว

แต่เมื่อดวงตะวันดวงที่แปดปรากฏขึ้น เมล็ดสีดำก็งอกออกมาจากหัวใจของร่างเทพสุริยะดำทะมึน ขยายตัวไปกลายเป็นดวงตะวันสีดำดวงที่เก้าอย่างรวดเร็ว

ตอนนี้ดวงตาของจาโหลหลัวเปลี่ยนเป็นสีดำมืดอย่างน่ากลัว

ดวงตะวันดวงที่เก้าเป็นขีดจำกัดของทักษะเทห์สวรรค์ของร่างเทพสุริยะแล้ว!

เมื่อมู่เฉินเห็นฉากนี้สายตาก็เคร่งเครียดขีดสุด แต่เขาก็ไม่แปลกใจ ด้วยพรสวรรค์และความแข็งแกร่งของจาโหลหลัวก็สมเหตุสมผลอย่างยิ่งที่จะสามารถเปิดดวงตะวันดวงที่เก้าได้

ฮา

มู่เฉินหายใจเข้าลึกปล่อยกงล้อแสงสวรรค์ เนื่องจากมันไม่มีประโยชน์ในการปะทะกับการโจมตีต่อไปของจาโหลหลัวแล้ว

มีเพียงพลังที่อยู่ในระดับเดียวกันเท่านั้นที่สามารถเผชิญหน้ากันได้

มู่เฉินหลับตาสร้างตราประทับที่ลึกซึ้งพร้อมกับดวงตะวันสีทองเคลื่อนออกมาจากร่างเทพสุริยะ

พริบตาดวงตะวันดวงที่แปดก็ปรากฏขึ้น

แต่มู่เฉินก็ไม่ได้หยุด จุดจื้อจุนไห่ที่อยู่ข้างหลังเทพลังงานเข้าไปในร่างยิ่งใหญ่อย่างบ้าคลั่ง

เกลียวแสงแวววาวสีทองปรากฏขึ้นที่หัวใจร่างยิ่งใหญ่ ก่อนที่จะกระจายออกไปอย่างรวดเร็วกลายเป็นดวงตะวันสีทอง

ดวงตะวันดวงที่เก้า!

มู่เฉินลืมตามองไปที่จาโหลหลัวพร้อมกับเจตนาฆ่าพวยพุ่งออกมาจากทั้งคู่ ช่วงเวลาต่อมาตราประทับของพวกเขาก็เปลี่ยนไปพร้อมกัน

“เปิดเก้าตะวัน หลุมปีศาจ!”

“เปิดเก้าตะวัน ธงเทพ!”

ทั้งสองคำรามลั่น คลื่นแสงสีดำพุ่งออกมาจากจาโหลหลัวกลายเป็นหลุมดำปีศาจไร้ก้น ซึ่งดูเหมือนว่าสามารถกลืนกินได้แม้กระทั่งสวรรค์และโลก

น่ากลัวจนทำให้เกิดรอยแตกแผ่กระจายราวกับใยแมงมุมบนพื้นดินเบื้องล่าง

ทางด้านมู่เฉินแสงสีทองเชี่ยวกรากก่อตัวขึ้นเป็นธงสีทองพร้อมกับดวงตะวันเก้าดวง เปล่งความผันผวนของสวรรค์ แม้แต่หลุมดำปีศาจก็ไม่สามารถสั่นคลอนได้

จากมุมหนึ่งการโจมตีของพวกเขาครั้งนี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าวิทยายุทธระดับเสินทงที่พวกเขาใช้มาก่อนหน้าเสียอีก

ทักษะของร่างเทพสุริยะทรงพลังอย่างแท้จริง!

“จงกลายเป็นเถ้าถ่านในหลุมดำปีศาจของข้า!”

จาโหลหลัวคำรามพร้อมกับท่าทางน่ากลัว ขณะที่หลุมดำปีศาจบีบลงไปหามู่เฉิน

หากมู่เฉินตกลงไปในหลุมดำปีศาจก็จะถูกดูดกลืนคลื่นหลิงจนหมดไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม แม้แต่พลังกายก็จะหยุดชะงัก

ทว่าก็ไม่มีความกลัวใดๆ แม้จะมีสีหน้าเคร่งขรึมปรากฏขณะมู่เฉินมองไป เขาหายใจเข้าลึกธงสีทองโบกที่เบื้องหน้าหน้าหลุมดำปีศาจ

ฮึ่ม ฮึ่ม

ระลอกคลื่นสีทองที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากระจายออกไปพร้อมกับพลังงานลึกซึ้งราวกับว่าการโจมตีใดๆ จะลดลงจนไม่มีอะไรเหลือภายใต้ธงสีทองนี้

แม้แต่หลุมดำปีศาจที่น่ากลัวก็แสดงสัญญาณของการจางหายไปภายใต้คลื่น

ดวงตาของจาโหลหลัวหดลง ธงสีทองของมู่เฉินทำให้พลังงานของหลุมดำปีศาจของเขาจางลงได้ด้วยเรอะ?

“ข้าจะดูสิว่าแกจะโบกได้สักกี่ครั้ง!”

จาโหลหลัวกัดฟันแน่น หลุมดำปีศาจพุ่งออกมาพร้อมกับแสงสีดำมันวาห่อหุ้มเข้าหามู่เฉิน

วาบ! วาบ!

ธงสีทองโบกไปมาอีกครั้ง พลังงานทำให้หลุมดำปีศาจจางลงอย่างต่อเนื่อง จนสุดท้ายก็หยุดหลุมดำปีศาจไม่ให้ห่อหุ้มลงมาได้

แต่ขณะนี้ใบหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนไปเป็นเคร่งเครียด แม้ว่าธงเทพจะมีความสามารถพิเศษเอกลักษณ์ในการกระจายพลังงานใดๆ กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเก้าระยะเต็มธรรมดาก็ต้องหมดพลังอย่างสมบูรณ์จนถึงขั้นเป็นคนพิการ ทว่าการโจมตีของจาโหลหลัวก็ไม่ได้หายไป

ตู้ม ตู้ม!

คลื่นกระแทกน่าสะพรึงกลัวกระจายออกไปเมื่อธงเทพและหลุมปีศาจปะทะกัน แต่การต่อสู้ก็ตกลงสู่ทางตันอีกครั้ง

“ไอ้เวร!”

ใบหน้าของจาโหลหลัวเปลี่ยนเป็นขาวสลับดำพร้อมกับเม็ดเหงื่อผุดบนหน้าผาก

นั่นเป็นอาการอ่อนล้า

แน่นอนว่ามู่เฉินก็มีสถานการณ์คล้ายคลึงกันเนื่องจากการโจมตีในระดับนี้สร้างความเหนื่อยล้าให้ทั้งสองอย่างชัดเจน

แต่ถึงอย่างนั้นการต่อสู้ก็ยังไม่ได้ผลลัพธ์

หากยังดำเนินต่อไปทั้งสองคนจะหมดพลังงานแน่นอน

ทว่าสถานการณ์ไม่แน่นอนนั้นไม่ใช่สิ่งที่จาโหลหลัวต้องการจะเห็น

ดังนั้นสายตาของเขาวูบไหว ไม่นานก็กัดฟันเหมือนตัดสินใจอะไรบางอย่าง เขาเงยหน้าขึ้นมองมู่เฉินด้วยสายตามืดมน

รู้สึกถึงการจ้องมองหัวใจของมู่เฉินก็สั่นไหวและรู้สึกไม่สบายใจเบาบาง

“ไม่คิดว่าจะถูกแกบังคับให้มาถึงขั้นนี้”

เสียงต่ำพร่าของจาโหลหลัวดังขึ้น จากนั้นก็กำหมัดแน่น รูปปั้นแกะสลักสีฟ้าอมเขียวปรากฏขึ้นในมือ ดูเหมือนพระพุทธรูปที่มีดวงอาทิตย์สีฟ้าอมเขียวอยู่ด้านหลังศีรษะ

เมื่อมู่เฉินเห็นรูปปั้นนั้นหัวใจก็สั่นไหวด้วยความตกตะลึง

นั่นเพราะเขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนที่คุ้นเคยจากรูปปั้น… ซึ่งเป็นความผันผวนของร่างเทพสุริยะ

รูปปั้นสีฟ้าอมเขียวก็คือร่างเทพสิรุยะ!

แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่จาโหลหลัวฝึกมาเองอย่างแน่นอน เนื่องจากมันมีรัศมีแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง นั่นหมายความว่าเป็นของคนอื่น แต่ร่างเทพสุริยะนั่นล้มเหลวและถูกลดขนาดเป็นรูปปั้น

นอกจากนี้ยังตกอยู่ในมือของจาโหลหลัว!