ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 140-2 ไม้ตาย

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

เพล้ง! เล่มรายงานกระเด็นกระดอนลงมา พอดีกับหน้าผากของเขา และไม่นาน ก็มีเลือดไหลตามออกมามากมาย  

 

 

แล้วท่าป๋าหั่นหลินก็พูดด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “พวกเจ้ากำลังบีบข้าอยู่ชัดๆ!”  

 

 

พูดจบ อัครเสนาบดีก็รีบพูดว่า “พวกกระหม่อมแค่ทำตามราชโองการของฮ่องเต้องค์ก่อนเท่านั้น บ้านเมืองกับหญิงงาม อะไรสำคัญกว่ากัน ขอฝ่าบาทพิจารณาด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินไม่พูดอะไรอีกต่อไป มองพวกเขาด้วยสายตาที่โกรธเกรี้ยว  

 

 

ทั้งสามคนเหงื่อไหลท่วมตัว กลัวท่าป๋าหั่นหลินจะโกรธจนฆ่าพวกเขาทิ้งเสีย แต่คิดไปคิดมา ที่แม่ทัพใหญ่ยังมีตราประทับกรมทหารเอาไว้โยกย้ายทหารทั้งรัฐได้อยู่ หากท่าป๋าหั่นหลินอยากนั่งบัลลังก์ตัวนี้ต่อล่ะก็ ต้องไม่ฆ่าพวกเขาเป็นแน่ ใจที่กำลังกลัวก็สงบลง  

 

 

เพราะเป็นคนรัฐอู่ แต่ได้รับความรักความเอ็นดูจากฮ่องเต้องค์ก่อนอยู่เสมอ ดังนั้น ท่าป๋าหั่นหลินจึงโดนพี่น้องคนอื่นๆ กลั่นแกล้งอยู่เสมอ มีเพียงแต่พี่คนโตเท่านั้นที่ดีกับเขา ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจจะเป็นกำลังสำคัญให้กับพี่ใหญ่ของเขา แต่ใครจะไปรู้ว่าพี่ใหญ่จะมาตาย แล้วตำแหน่งฮ่องเต้จะตกเป็นของเขา หากเป็นเพราะเรื่องนี้ ทำให้เขาลงจากตำแหน่งฮ่องเต้ได้ เพราะฉะนั้นเขาต้องไม่ได้แก่ตายแน่ เมื่อเห็นว่าทั้งสามคนนี้บีบบังคับให้เขาทำ หลังจากที่คิดว่าไม่มีตำแหน่งฮ่องเต้ตรงนี้แล้ว ตนจะเป็นเช่นไร ใจของท่าป๋าหั่นหลินก็ตุ้มๆ ต่อมๆ คิดหนัก สุดท้ายก็ต้องยึดตำแหน่งฮ่องเต้เป็นหลักอยู่ดี  

 

 

สูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามข่มให้เสียงตัวเองนิ่งลงมา “พวกเจ้าสามคน กลับไปก่อนเถอะ ถัดจากนี้สามวัน ข้าจะให้คำตอบกับพวกเจ้าอย่างแน่นอน” 

 

 

นี่ก็หมายความว่าตอบรับและอนุญาตแล้ว ทั้งสามคนเลยไม่ได้พูดอีก ลากลับออกจากห้องทรงพระอักษรไป  

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินมองจ้องไปที่เล่มรายงานเปื้อนเลือดที่พื้น นั่งอยู่ที่เดิมทั้งเช้า เมื่อมาถึงเวลากลางวัน ก็ออกคำสั่ง “จัดขบวนไปตำหนักหลวนเฟิ่ง” 

 

 

ผู้ดูแลฮูรู้สึกได้ถึงความผิดปกติในน้ำเสียงของเขา เลยรู้สึกใจไม่ดี  

 

 

ส่วนพวกขันทีเล็กๆ ทั้งหลายต่างก็ไม่รู้สึกผิดปกติอะไร ยกเกี้ยวพระที่นั่งมาด้วยความเบิกบานใจ พอท่าป๋าหั่นหลินขึ้นนั่ง ก็รีบยกไปที่ตำหนักหลวนเฟิ่งโดยทันที  

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์พาพวกหมิงเย่ว์ มารอรับที่หน้าประตูตำหนักตั้งนานแล้ว พอเห็นเ**้ยวพระที่นั่งเข้ามา ก็แสดงใบหน้ายิ้มแย้ม รอให้ท่าป๋าหั่นหลินลงจากเกี้ยวแล้ว ก็เข้าไปรับ แล้วพูดด้วยความดีใจว่า “หม่อมฉันยังคิดว่าวันนี้ฝ่าบาทจะยุ่งงานราชการจนไม่มีเวลามาหาหม่อมฉันแล้วเสียอีกเพคะ” 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินไม่ได้จูงมือนางเหมือนกับแต่ก่อน ได้แต่มองหน้านางแต่ก็ไม่พูดอะไร  

 

 

รอยยิ้มบนใบหน้าของหวงฝู่เย่าเย่ว์หายไป ลูบไปที่หน้าของตนเอง แล้วถามด้วยความสงสัยว่า “หม่อมฉันมีอะไรผิดปกติหรือไม่เพคะ” 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินหลบสายตา แล้วเดินเข้าห้องไป  

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ถึงได้รู้สึกถึงความผิดปกติ จึงขมวดคิ้ว แล้วเดินตามเข้าไป  

 

 

เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ท่าป๋าหั่นหลินก็ออกคำสั่ง “คนที่เหลือให้ไปรอที่ด้านนอกตำหนัก ข้ามีเรื่องจะคุยกับฮองเฮา” 

 

 

ตอบรับเป็นเสียงเดียวกันเสร็จ คนในตำหนักหลวนเฟิ่งก็ออกไปกันหมด รวมไปถึงพวกหมิงเย่ว์เองก็เช่นกัน  

 

 

ทั้งสองคนเดินตามกันเข้าไปด้านใน  

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินนั่งลงที่เก้าอี้อย่างคร่ำเครียด  

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์เดินไปที่ด้านข้างโต๊ะ เทน้ำชาหนึ่งแก้ววางไว้ตรงหน้าเขา แล้วถามหยั่งเชิงว่า “ฝ่าบาท วันนี้เกิดเรื่องใหญ่ในราชสำนักหรือเพคะ” 

 

 

“เอาเด็กออกเสีย!”  

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินมองไปที่ดวงตาของนาง แล้วพูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ  

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ได้ยินชัดเจน ร่างกายก็โซเซ ใช้มือลงไปจับที่ท้องน้อย แล้วถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “เหตุ เหตุใดกันเพคะ นี่เป็นลูกของพวกเรานะเพคะ” 

 

 

“ลูกของพวกเรางั้นรึ” 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินพูดพึมพำ ไม่ได้ตอบคำถามของนาง แต่ถามกลับไปว่า “รู้เจตนาที่ข้าไปสู่ขอเจ้ามาหรือไม่” 

 

 

“เหตุใดหรือเพคะ” หวงฝู่เย่าเย่ว์มองไปที่เขา ใจที่หนักอึ้งของนางทำให้นางถามออกมาอย่างไม่รู้ตัว  

 

 

“เป็นเพราะข้าต้องการแก้แค้นเจ้า ทรมานเจ้า ให้เจ้าเจ็บปวด ให้เจ้าอยู่อย่างทุกข์ทรมานอย่างไรเล่า!” 

 

 

เหมือนหวงฝู่เย่าเย่ว์จะรับไม่ได้ ขาอ่อนแรงล้มนั่งลงไปกับพื้น  

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินยื่นมือออกไปตามสัญชาตญาณ อยากจะพยุงนางขึ้นมา ก็นึกถึงสถานการณ์ตอนนี้ ก็เก็บมือกลับไปแล้วกำแน่น 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์เงยหน้าขึ้นมามองเขา แล้วพูดด้วยความไร้สติ “ทำไมท่านถึงทำเช่นนี้ ข้าถามหน่อยว่า ก่อนที่จะเจอท่านที่เจียงหนาน ข้าไม่เคยเจอท่าน และยิ่งไม่เคยทำอะไรให้ท่านมาก่อนเลย” 

 

 

“เพราะเจ้า พี่ใหญ่ของข้าถึงได้โดนพ่อของเจ้าฆ่าตาย เสด็จพ่อของข้ารับไม่ได้ เขาเลยตามพี่ชายของข้าไปด้วย นับตั้งแต่นั้น ในใจของข้ามีเพียงเป้าหมายเดียว ก็คือไปสู่ขอเจ้ามา ทรมานเจ้า เพื่อแก้แค้นให้กับพวกเขา” 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์เบิกตาโพลง น้ำตาไหลนองหน้า “เพราะฉะนั้น ท่านปู่กับท่านพ่อท่านแม่ของข้ารู้เจตนาของเจ้ามาตั้งแต่แรก เลยอยากห้ามข้าไม่ให้แต่งงานกับเจ้างั้นสิ” 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินยิ้มเยาะออกมา ในเสียงหัวเราะเต็มไปด้วยความเหน็บแนม “ใช่สิ ทั้งครอบครัวของเจ้าต่างก็ดูออกว่าข้าไม่ชอบมาพากล มีก็แต่เจ้า ที่โง่มาเชื่อข้า ข้าน่ะปรารถนาอยากได้เจ้ามา ไม่สนใจว่าพวกเขาจะต่อต้านอย่างไร ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องแต่งงานกับข้า” 

 

 

พูดจบ ก็ส่ายหน้า กระแอมออกมา แล้วบอกว่า “ข้าน่ะคิดไม่ถึงเลย ว่าจวนอ๋องฉีผู้ทรงสง่าจะเลี้ยงเจ้าออกมาได้ไม่มีสมองขนาดนี้” 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ยังไม่เชื่อ ถามต่อว่า “แล้วตอนที่อยู่เจียงหนาน ตอนที่ข้าจะจมกองเพลิงไปแล้วตอนนั้น ทำไมเจ้าต้องช่วยข้าด้วย ในเมื่อเจ้าโกรธแค้นข้าถึงเพียงนี้ ให้ข้าตาย เจ้าไม่มีความสุขกว่าหรือ” 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินส่ายหน้า “ไม่ แบบนั้นข้าไม่มีความสุข ข้าจะทรมานเจ้าด้วยตนเอง เห็นเจ้าทรมาน ให้เจ้าเจ็บปวดรวดร้าว ข้าถึงจะมีความสุข” 

 

 

“เพราะฉะนั้น หลายเดือนที่ผ่านมา ที่เจ้าทำดีกับข้า ล้วนเป็นการเสแสร้งทั้งนั้น เพื่อรอวันนี้ งั้นหรือ” 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินกำหมัดแน่น คำๆ เดียวที่จะพูดออกจากปากนั้น วนไปวนมาอยู่ตั้งหลายรอบ จนสุดท้ายต้องกัดฟันพูดออกมาว่า “ใช่!” 

 

 

แล้วน้ำตาหยดสุดท้ายของหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็หยดลงที่พื้น สีหน้าของนางแปรเปลี่ยนเป็นเข้มแข็ง ท่าทางดูเด็ดเดี่ยว  

 

 

ในขณะที่ท่าป๋าหั่นหลินกำลังมองอยู่นั้น หวงฝู่เย่าเย่ว์ยืนขึ้น เดินไปที่เก้าอี้แล้วนั่งลง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบผิดปกติ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ขอฝ่าบาทโปรดประทานยาขับเลือดให้หม่อมฉันเถิดเพคะ” 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินเกือบจะลุกยืนขึ้นมา เดินพุ่งไปหานาง จับเสื้อของนาง แล้วถามว่า ทำไมเจ้าถึงใจร้ายใจดำขนาดนี้ ไร้ซึ่งความรู้สึก อยากเอาออกก็เอาออก 

 

 

แต่เขาไม่ได้ทำเช่นนั้น ได้แต่มองหวงฝู่เย่าเย่ว์ด้วยสายตาเคียดแค้น เป็นเพราะนางไม่ขอร้อง ไม่อ้อนวอน หากเป็นหญิงอื่นล่ะก็ ขอร้องอ้อนวอนเขาอย่างสุดกำลัง ไม่แน่เขาอาจจะใจอ่อน ไม่ให้นางเอาเด็กออกก็ได้ 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินมองนาง แล้วคิด แล้วก็เกลียด แต่เขารู้ ไม่ว่าหวงฝู่เย่าเย่ว์จะเป็นเช่นไร เขาก็ไม่อาจเปลี่ยนใจได้ เรื่องบ้านเมืองกับลูกอะไรสำคัญกว่ากัน เขาได้ตัดสินใจไว้แล้ว 

 

 

จึงตะโกนเรียกบ่าวเข้ามา “ผู้ดูแล!”  

 

 

“ไปต้มยาขับเลือดมา” หัวหน้าขันทีฮูนึกว่าตนเองฟังผิด จึงเงยหน้าขึ้นมาอย่างไม่สนใจกฎระเบียบ มองท่าป๋าหั่นหลินอย่างไม่เชื่อ ปากสั่น เหมือนอยากจะพูดอะไร  

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินไม่มองท่าทางของเขาแม้แต่น้อย ออกคำสั่งต่อว่า “แล้วก็​ คนในตำหนักเฟิ่งหลวนทั้งหลาย ไม่ต้องให้พวกนางไปรายงานที่ตำหนักหย่งเหอ หากไม่ทำตามนนี้ ตำแหน่งหัวหน้าผู้ดูแลฝ่ายในของเจ้าก็อย่าหวังว่าจะได้ทำต่อ” 

 

 

เมื่อได้ยินชัดเจน ก็เข้าใจแล้ว มือไม้สั่นเครือเป็นอย่างมาก จะยกขาขึ้นก็ยกไม่ขึ้น  

 

 

“ทำไม เดี๋ยวนี้กล้าขัดคำสั่งข้างั้นรึ” 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินถาม ด้วยน้ำเสียงดุดัน ราวกับจะฆ่าเขาให้ตายอย่างใดอย่างนั้น  

 

 

ผู้ดูแลก็ขนลุกซู่ เหงื่อไหลท่วมตัวไปหมด ขาแข้งก็อ่อนแรง “ขอฝ่าบาทโปรดอภัย บ่าวจะรีบไปด้วยตัวเองเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

พูดจบ ก็วิ่งออกไปทันที  

 

 

ม่านมุกที่ประตูสั่นไหวจนมีเสียงดังออกมา จนทำให้ท่าป๋าหั่นหลินหงุดหงิด 

 

 

แต่หวงฝู่เย่าเย่ว์กลับปกติ ก้มมองต่ำไปที่พื้น ไม่มีความโกรธ ไม่มีความเสียใจ ไม่มีความอาวรณ์ 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินเห็นแล้วขัดใจ จึงโกรธมากกว่าเดิม เอ่ยปากแซะว่า “เหมือนว่าฮองเฮาก็ไม่อยากได้เด็กคนนี้เหมือนกันสินะ มิเช่นนั้นแล้วคงไม่เป็นเช่นนี้หรอก” 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ทำเป็นไม่ได้ยิน นั่งเงียบๆ ไม่สนใจเขา  

 

 

เหมือนกำหมัดต่อยลงไปที่สำลีอย่างใดอย่างนั้น ตอกกลับมาอย่างนิ่มๆ ทำให้ท่าป๋าหั่นหลินยิ่งโกรธเข้าไปอีก จึงพูดคำพูดแทงใจออกมาไม่ขาดปาก 

 

 

ในที่สุดหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็เงยหน้าขึ้น ถามเขาอย่างใจเย็นว่า “เอาเด็กออก เป็นพระประสงค์ของฝ่าบาท กระหม่อมแค่ทำตามเท่านั้น เหตุใดฝ่าบาทถึงต้องโกรธเช่นนี้ด้วยเพคะ” 

 

 

ท่าป๋าหั่นหลินชะงักไป ไม่พูดอะไรอีก  

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์กลับไปก้มหน้าตามเดิม  

 

 

หัวหน้าขันทีฮูเดินออกไป ก็ถูกขันทีปั๋วกวักมือเรียก พอกระซิบกระซาบกันเรียบร้อย ก็พูดกับขันทีปั๋วที่กำลังอึ้งอยู่ว่า “วันนี้ฝ่าบาทอารมณ์ไม่ดี เจ้าดูคนพวกนี้ไว้ให้ดี หากผิดพลาด อย่าหาว่าข้าไม่เตือน” 

 

 

แม้ขันทีปั๋วจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็พยักหน้าเอาไว้ก่อน  

 

 

ผู้ดูแลฮูวิ่งออกไปได้ราวหนึ่งชั่วยาม ก็ยกยาขับเลือดกลับมาด้วยตนเอง 

 

 

ตอนที่พวกหมิงเย่ว์อยู่จวนอ๋องนั้น ได้ร่ำเรียนวิชาแยกแยะสมุนไพรกับท่านหญิงน้อย ก็ต้องรู้เรื่องยาอยู่แล้ว พอได้กลิ่นก็รู้สึกแปลกๆ อยากจะเข้าไปถาม แต่ก็โดนขันทีปั๋วห้ามเอาไว้ “นี่เป็นยาที่ฝ่าบาทสั่งให้ต้ม พวกเจ้าอย่าบุ่มบ่ามเป็นอันขาด” 

 

 

เมื่อได้ยินว่าเป็นคำสั่งของฝ่าบาท ทุกคนจึงโล่งอก แต่ก็ยังกังวลอยู่  

 

 

ผู้ดูแลฮูยกยาเข้าไปด้านในห้อง แล้ววางไว้บนโต๊ะอย่างนอบน้อม  

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์เงยหน้าขึ้นมอง แล้วเก็บสายตาเข้าไป ถามขึ้นมาอีกครั้งว่า “ฝ่าบาทเพคะ อยากให้หม่อมฉันดื่มจริงๆ ใช่หรือไม่”