บทที่ 2947 เทวาดับสูญ 7
แต่ดวงวิญญาณเขาไม่ดับสูญ ควบรวมและกลับชาติมาเกิดใหม่อีกครั้ง เข้าไปพัวพันกับนางอีกครั้ง
ครั้งก่อนเขาดับสูญแทนนาง
ส่วนครั้งนี้นางดับสูญก่อนเวลาอันควรเพราะเขา…
มีเหตุนำจึงตามด้วยผล เป็นสิ่งที่ถูกลิขิตไว้ล่วงหน้า
เขาเงยหน้ามองท้องนภาเวิ้งว้างกว้างไกล หลับตาใคร่ครวญดูครู่หนึ่ง เริ่มประกอบอาคม แสงรุ้งเริ่มควบรวมรอบกายเขา แขนเสื้อเขาตวัดม้วนโบยบิน พลิ้วไปตามการเคลื่อนไหวของเขา ดวงดาวบนฟากฟ้าขยับขึ้นลงดั่งตัวหมาก
และสายลมกลุ่มหนึ่งที่ถูกกักไว้ในแขนเสื้อของเขาก็ฉวยโอกาสหลบหนีออกมา ถูกแสงรุ้งสายหนึ่งโอบล้อมไว้ผสานกลมกลืนไปกับฟากฟ้านภาดาว ไม่รู้ว่าร่อนลงสู่ดาวเคราะห์ดวงไหนแล้ว
เห็นได้ชัดว่าอาคมชุดนี้สิ้นเปลืองพลังวิญญาณของเขายิ่ง สีหน้าเขาซีดเซียวจนน่ากลัว จ้องมองท้องนภา เอ่ยเสียงแผ่ว “อาจิ่ว การดับขันธ์ในปีนั้นข้าต้องใช้เวลาหลายหมื่นปีถึงควบรวมแล้วหวนกลับมาอีกครั้ง เจ้าก็ทำได้เช่นกัน! ข้าจะตามไปหาเจ้า แม้ว่าจะต้องเหยียบย่างเกลือกกลั้วลงสู่แดนธุลีแดงนับหมื่นนับพันนี้ก็ต้องหาเจ้าให้พบ! เพียงหวังว่าเมื่อถึงยามนั้นเจ้าและข้าจะได้เป็นคนใหม่อย่างสมบูรณ์ เจ้าไม่ใช่เทพผู้สร้างโลกอีกแล้ว ข้าก็ไม่ใช่เจ้าแห่งลิขิตอีกแล้วเช่นกัน ไม่ต้องแบกรับภาระมากมายปานนั้น…”
ท้องนภาแผ่ไพศาล จักรวาลไร้ขอบเขต แขนเสื้อเขาตวัดม้วนอีกครา คล้ายจะเก็บรวบรวมแสงดารานับไม่ถ้วน โบกสะบัดอีกครา แสงดารานับไม่ถ้วนนี้ส่งเสียงหวีดหวิวลอยออกไปสู่ด้านนอก…
….
แดนต้องห้ามของทวยเทพ เดิมเป็นสถานที่ลึกลับยิ่งแห่งหนึ่ง
ภายในหกภพภูมิมีคนที่รู้จักเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ต่อมาคนส่วนมากก็ได้รับรู้ เนื่องจากเมื่อหนึ่งปีก่อนตี้ฝูอีบังเอิญผ่านทางมาที่นี่ แล้วพบว่าชั้นเมฆของที่นี่มีความแปลกประหลาด
เขาเข้าไปดู ถึงได้พบว่าด้านในมีคูหาสวรรค์อยู่ ที่นั่นมีประตูหยกบานใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ บานประตูสลักอักษรขนาดใหญ่ไว้สี่ตัว…แดนต้องห้ามของทวยเทพ
ประตูหยกบานนั้นปิดสนิท ปากประตูยังมีปีศาจน้อยสองคนที่จำแลงมาจากนกเหอถงคอยเฝ้าอยู่ด้วย
จากการบอกเล่าของปีศาจน้อยตัวนั้นเขาจึงได้รู้ถึงภาพการณ์โดยรวมของสถานที่แห่งนี้เล็กน้อย ที่นี่คือสถานที่ถือกำเนิดของทวยเทพ อันตรายอย่างยิ่ง ผู้ใดก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปทั้งสิ้น ถ้าฝืนบุกรุกเข้าไปจะต้องประสบเคราะห์ร้าย
เขามีความรู้สึกต่อต้านสถานที่แห่งนี้ขึ้นมาตามสัญชาตญาณ จึงหันหลังจากไปเลย
ก่อนจากไปปีศาจน้อยสองตนนั้นยังคิดจะลบความทรงจำในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสถานที่แห่งนี้ของเขาด้วย บอกว่าเป็นกฎของที่นี่ เจ้าสองตัวนั้นจึงถูกเขาซัดจนกลับคืนร่างเดิมเลย!
เขาหงุดหงิดที่สุดเวลาที่ผู้อื่นต้องการลบความทรงจำของเขา!
ต่อมาประเหมาะบังเอิญ ถูซานอิงบังเอิญหลงเข้าไปที่นั่นครั้งหนึ่ง ถูกกระเรียนสองตัวนั้นไล่จิก ด้วยความโมโหนางจึงจับมาด้วยตัวหนึ่ง หลังจากกลับมาก็ป้อนโอสถวิญญาณอันใดให้ จากนั้นก็ใช้ศาสตร์ลับเร่งการเจริญเติบโต ไม่น่าเชื่อว่านกเหอถงตัวนั้นจะกลายเป็นปีศาจน้อยอีกครั้ง
ปีศาจน้อยตัวนี้เมื่อก่อนได้พบพานเผ่าพันธุ์เดียวกันน้อยยิ่ง ครั้งนี้พอได้เข้าสู่ภพปีศาจก็ปานมัจฉาได้วารี ได้คบหามิตรสหายดีๆ มากมาย เขาค่อนข้างปากเปราะอยู่บ้าง จึงเผลอแพร่งพรายข้อมูลเกี่ยวกับแดนต้องห้ามของทวยเทพออกมามากมาย…
ด้วยเหตุนี้ แดนต้องห้ามของทวยเทพที่เป็นความลับอย่างยิ่งจึงถูกหกภพภูมิรับรู้กันจนทั่วแล้ว ทุกคนที่พอมีฐานะสักหน่อยล้วนรู้จักสถานที่แห่งนี้
แน่นอน ผู้คนต่างสนใจใคร่รู้ในแดนต้องห้ามของทวยเทพแห่งนี้ยิ่ง มีนักผจญภัยหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย ต้องการจะบุกเข้าไป จนปัญญาที่ล้วนไม่อาจข้ามผ่านประตูไปได้ เพียงเข้าใกล้ประตูหยกของแดนต้องห้ามนั้นเล็กน้อยก็จะปวดร้าวไปทั่วสรรพางค์แล้ว บางคนที่ไม่หวั่นเกรงความตายฝืนข่มความเจ็บปวดขยับเข้าไปใกล้ยิ่งขึ้น…ก็จะมอดไหม้เป็นจุณไปทันที!
เป็นเช่นนี้อยู่มากมายหลายครั้ง ผู้คนของหกภพภูมิก็ไม่กล้าเข้าใกล้ที่นี่แล้ว ที่นี่จึงหวนสู่ความสงบเงียบเปลี่ยวร้างอีกครั้ง
แต่วันนี้ ที่นี่กลับมีคนกลุ่มใหญ่มาชุมนุมกัน
บุคคลมีหน้ามีตาของหกภพภูมิต่างมารวมตัวกันที่นี่โดยมิได้นัดหมาย
หกภพภูมิปรากฏอาเพศใหญ่โตเช่นนี้ขึ้น ปวงชนของหกภพภูมิต่างไม่เป็นสุข ดังนั้นทุกคนจึงนึกถึงเทพผู้สร้างโลกขึ้นมาโดยมิได้นัดแนะกันเลย!
ผู้นำของหกภพภูมิออกโรงด้วยตัวเอง ไปเยี่ยมเยือนที่หุบเขาเสียงสวรรค์ กลับต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าเขตแดนของหุบเขาเสียงสวรรค์พังทลายแล้ว ฟั่นเชียนซื่อพุ่งออกมาจากด้านในหุบเขาดุจคลุ้มคลั่งไปแล้ว ไม่พูดพร่ำทำเพลงอันใดก็มุ่งมาที่แดนต้องห้ามของทวยเทพ
————————————————————————————-
บทที่ 2948 เทวาดับสูญ 8
ด้วยเหตุนี้ ทุกคนจึงแล่นตามมาที่นี่ด้วย
เมื่อมาถึงที่นี่ก็พบว่าประตูหยกบานนั้นยังคงปิดสนิทอยู่ ส่วนนกเหอถงเฝ้ายามตัวนั้นก็หดซุกแอบอยู่ไม่ไกล
ฟั่นเชียนซื่อแทบจะหิ้วนกเหอถงตัวนั้นขึ้นมาแล้ว “อาจารย์ข้าล่ะ?!”
นกเหอถงตกใจจนแทบจะร้องไห้แล้ว “พระองค์เจ้า…พระองค์เจ้าเข้าไปแล้ว พระนาง…สีหน้าพระนางย่ำแย่ยิ่ง เดินเหินก็ส่ายโงนเงน ทว่าฝืนเปิดประตูหยกของที่นี่ แล้วตรงเข้าไปเลย ข้า…ข้าก็ไม่กล้าขวางเช่นกัน จากนั้น…จากนั้นราชครูตี้ก็บุกมา เขาอาศัยจังหวะที่ประตูยังไม่ปิด เข้าไปแล้วเช่นกัน ผู้น้อยจะขวางอย่างไรก็ขวางไม่อยู่ ถึงได้…ถึงได้แจ้งต่อท่าน…ด้านในมีเสียงแปลกๆ แว่วมาอยู่ไม่ขาด ทำให้ผู้อื่นตื่นตระหนก…”
นกเหอถงตัวนี้พูดจาตะกุกตะกักอยู่บ้าง โชคดีที่ทุกคนยังคงฟังรู้เรื่อง
ฝูงชนต่างเจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า
จักรพรรดิเซียนขมวดคิ้วเอ่ยถามนกเหอถง “มิใช่เจ้ากล่าวไว้ว่า ที่นี่มีเพียงเทพผู้สร้างโลกที่สามารถเข้าไปได้ คนอื่นไม่อาจเข้าได้ แล้วเหตุใดราชครูตี้ก็เข้าไปได้เหมือนกันล่ะ?”
นกเหอถงส่ายหัว มันก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน
มีบางคนเอ่ยโพล่งขึ้นมา “หรือว่าราชครูตี้ก็เป็นเทพผู้สร้างโลกเช่นกัน? เสี่ยวเซียนคลับคล้ายคลาว่าเคยได้ยินมาว่าใบยุคอดีตบรรพกาลเทพผู้สร้างโลกมิได้มีองค์เดียว…”
“เหลวไหล! เทพผู้สร้างโลกมีเพียงองค์เดียว! นั่นก็คือท่านอาจารย์ของข้า! ตี้ฝูอีนับเป็นตัวอันใด? เขาก็คู่ควรหรือไร?!” ฟั่นเชียนซื่อร้องตะโกน เอ่ยขัดการคาดเดาของเซียนน้อยผู้นั้น
ผู้นำของหกภพภูมิล้วนขมวดคิ้วนิ่วหน้า ในใจของพวกเขาได้นับถือตี้ฝูอีเป็นนายไปแล้ว ย่อมไม่อยากได้ยินผู้อื่นพูดจาโจมตีเขา
ผู้คนมากมายคิดโต้แย้งขึ้นมาตามสัญชาตญาณ แต่เมื่อเห็นดวงตาที่แดงฉานปานจะล้มล้างโลกาของฟั่นเชียนซื่อแล้ว ก็หุบปากลงอีกครั้ง
ในเมื่อผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองต่างหายเข้าไปในสถานที่แห่งนี้ ส่วนด้านในก็มีเสียงดังแว่วออกมาอย่างไม่ขาดสายอยู่ตลอด
ทุกคนจึงปักหลักเฝ้ารออยู่ในละแวกประตูเสียเลย รอคอยบทสรุป
แน่นอน ในช่วงเวลานี้ ราชันของหกภพภูมิก็คอยติดต่อกับบริวารของตนอยู่ตลอดด้วย
จากนั้นทุกคนก็พบว่า หลังจากเทพผู้สร้างโลกเข้าไปในแดนต้องห้ามนี้ได้ไม่นาน ภัยพิบัติของหกภพภูมิก็เริ่มเบาบางลง พิรุณโลหิตลดลง แผ่นดินหยุดไหว น้ำในทะเลสาบก็ค่อยๆ ผุดออกมาแล้ว…
หรือว่าภัยพิบัติในครั้งนี้จะเป็นเพราะมีสัตว์ประหลาดอันใดในแดนต้องห้ามของทวยเทพอาละวาดก่อกวน? จากนั้นเทพผู้สร้างโลกเลยเข้าไปปราบให้มันสงบลง?
….
เนื่องจากทุกคนล้วนทราบกันว่าอีกหนึ่งเดือนให้หลังที่นี่ถึงจะเปิดใช้งานได้อีกครั้ง ดังนั้นราชันของหกภพภูมิจึงปักหลักสร้างค่ายอยู่ที่นี่เสียเลย เตรียมพร้อมป้องกันการรุกรานในหนึ่งเดือนนี้
ถึงอย่างไรกลับไปก็ทำอะไรไม่ได้ชั่วคราวอยู่ดี อยู่ที่นี่ยังพอได้รับข่าวสารโดยตรงบ้าง และสามารถแสดงให้เทพผู้สร้างโลกและเจ้าแห่งหกภพภูมิเห็นถึงความภักดีของพวกเขาด้วย…ส่วนใหญ่แล้วทุกคนเยือกเย็นยิ่ง มีเพียงฟั่นเชียนซื่อคนเดียวที่เดี๋ยวก็ยืนทึ่มทื่ออยู่ตรงนั้น เดี๋ยวก็คิดจะเปิดประตูหยกอีกครั้งโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใดทั้งสิ้น
ในช่วงแรกๆ ทุกคนยังคงพยายามเกลี้ยกล่อมอยู่ด้านข้างบ้าง กล่อมให้เขาอย่าทำเรื่องไร้ประโยชน์เช่นนี้
ภายหลังเมื่อเห็นว่าเขาไม่รับฟังเลย จึงปล่อยให้เขาดันทุรังต่อไป ถึงอย่างไรเขาก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
สำหรับคุณชายเชียนซื่อผู้นี้ ทัศนคติที่ผู้คนของหกภพภูมิมีต่อเขาค่อนข้างพูดยากยิ่งนัก
เมื่อสองปีก่อนเขาก่อกวนงานวิวาห์ของพระองค์เจ้ากับตี้ฝูอี ทำให้ผู้คนในหกภพภูมิล้วนทราบกันทั่วว่าเขาแอบรักผู้เป็นอาจารย์ ทว่าผู้เป็นอาจารย์ไม่พึงใจ
กว่าสองปีมานี้เขาเก็บเนื้อเก็บตัวมาโดยตลอด แต่พอออกไปข้างนอกก็ถูกผู้คนตำหนิวิจารณ์ไล่หลังอยู่เสมอ…
และมักจะมีคนนำเขาไปเปรียบเทียบกับตี้ฝูอีเป็นประจำ ผลลัพธ์ของการเปรียบเทียบคือฟั่นเชียนซื่อพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์ เขาเกิดความคิดอันมิบังควรต่อผู้เป็นอาจารย์ เป็นคางคกที่ริอาจเอื้อมอยากกินหงส์ฟ้า…
แน่นอน ถ้อยคำเหล่านี้ไม่ได้แว่วไปถึงหูฟั่นเชียนซื่อตัวต้นเรื่องผู้นี้เลย
แต่เขาสามารถรับรู้ถึงทัศนคติที่ผู้คนในหกภพภูมิมีต่อเขาได้…
ปกติแล้วเขาคร้านจะสนใจคนพวกนี้ ตอนนี้ทุกคนต่างรอคอยอยู่ที่นี่ เลี่ยงไม่ได้ที่จะรู้สึกเบื่อหน่าย จึงมีบางคนเริ่มนินทาเขาลับหลังแล้ว…
————————————————————————————-