บทที่ 2951 เทวาดับสูญ 11
เขากล่าวว่า “คุณชายเชียนซื่อ ท่านวู่วามเกินไปแล้ว! สกุลถูซานเป็นเผ่าพันธุ์บรรพกาล ลึกลับเก่าแก่ เดิมทีเผ่านี้ก็มีลำนำโบราณบางอย่างที่สืบทอดกันมาอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่ได้แพร่งพรายแก่โลกภายนอกเท่านั้น อีกทั้งเผ่าจิ้งจอกเก้าหางก็มีความสามารถในการรู้แจ้งโองการสวรรค์ด้วย ราชินีถูซานสืบทอดแก่นแท้แห่งสกุลถูซานมาอย่างลึกล้ำ ช่ำชองสิ่งเหล่านี้ก็มิน่าประหลาดใจเลย นางก็เป็นห่วงพระองค์เจ้าผู้สร้างโลกเช่นกัน เมื่อได้เห็นนิมิตหมายทั้งหมดแล้ว หัวใจกระสับกระส่าย ถึงได้บอกกล่าวให้ทุกคนได้ประเมินกันอย่างละเอียด เดิมทีนี่คือเรื่องดี แต่ท่านกลับลงมือต่อนางหนักหนาเพราะว่านางพูดความจริง…ช่างหยาบคายเกินไปแล้ว!”
“มิผิด ทุกคนล้วนเป็นห่วงเทพผู้สร้างโลกเหมือนกัน อีกอย่างเทพผู้สร้างโลกไหนเลยจะเกิดเรื่องขึ้นได้เพราะคำแช่งชักเพียงไม่กี่คำ? คุณชายเชียนซื่อทำเรื่องเล็กให้เป็นใหญ่เกินไปแล้ว ลงมือเช่นนี้ อาจจะสูญเสียศักดิ์ฐานะและภาพลักษณ์ของศิษย์ผู้สร้างโลกไป”
“ใช่แล้ว คุณชายเชียนซื่อวู่วามเกินไปแล้วจริงๆ! ไม่คล้ายศิษย์ของเทพผู้สร้างโลกเลยสักนิด…”
“เหอๆ มุทะลุวู่วามถึงเพียงนี้ ไม่แปลกเลยที่เทพผู้สร้างโลกจะไม่พึงใจ…”
“นี่ก็ใช่ พวกเจ้าดูสิ หากว่าเทพผู้สร้างโลกดับสูญในแดนต้องห้ามของทวยเทพจริงๆ นางก็น่าจะไปพบคุณชายเชียนซื่อเพื่อส่งมอบเรื่องกิจการในภายหน้าให้เขาสิ แต่นางไม่ได้อะไรกับเขาเลยนี่”
“แน่นอนว่าต้องไม่บอกเขา พระองค์เจ้าเดียดฉันท์เขาอย่างยิ่งแล้ว ข้าคิดว่าพระองค์เจ้าคงเสียใจแล้วเป็นแน่ที่รับเขาเป็นศิษย์…”
“พวกเจ้าอย่าลืมสิ ราชครูตี้ก็เข้าไปด้วยนะ ไม่แน่นะพระองค์เจ้าอาจจะส่งมอบตำแหน่งให้ราชครูตี้ก็ได้ ถ่ายทอดมรดกและพลังยุทธ์ทั้งหมดให้แก่เขา…”
ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์มีหลายร้อยคน พูดกันอย่างเจ้าคำข้าคำ
ฟั่นเชียนซื่อนิสัยหยิ่งทะนงมาตั้งแต่เกิด ก่อนจะได้กราบอาจารย์ก็เคยล่วงเกินผู้คนไว้ไม่น้อย หลังกราบอาจารย์แล้วทุกคนเห็นแก่หน้าของเทพผู้สร้างโลก นับว่ายังให้ความนับถือต่อเขาอยู่บ้าง
แต่ตอนนี้เทพผู้สร้างโลกเป็นตายไม่แน่ชัด มีความเป็นไปได้สูงที่จะดับขันธ์ไปแล้วจริงๆ ทุกคนย่อมไม่ไว้หน้าเขาอีกต่อไป
เมื่อเห็นเขาลงมือทำร้ายคน ก็พากันตำหนิวิจารณ์เขา
ที่พูดจาแทงใจอย่างไรก็พูดแทงใจไป ที่พูดจาโจมตีคนอย่างไรก็พูดโจมตีไป
ใบหน้าหล่อเหลาของฟั่นเชียนซื่อเขียวคล้ำแล้ว! มือเท้าล้วนสั่นเทาไปหมด
อูเชียนเหยียนที่อยู่ข้างกายเขามาโดยตลอด พอได้ยินวาจาก็โกรธเกรี้ยว “ทุกท่านอย่าได้เอ่ยเหลวไหล! พระองค์เจ้าเมตตาคุณชายเสมอมา ถ่ายทอดวรยุท์ให้เขามากมายนัก…ปฏิบัติต่อเขาในฐานะลูกศิษย์เสมอมาช่วงก่อนยังเสี่ยงอันตรายพานายน้อยเข้าสู่แดนมังกรประทีป ล่าไข่มังกรประทีปใบหนึ่งมาให้เขาอยู่เลย และถ่ายทอดวิธีการฟูมฟักให้เขา หากว่าพระองค์เจ้าไม่ไยดีเขา แล้วจะเสี่ยงอันตรายใหญ่หลวงเช่นนี้ไปทำไมเล่า?”
“เหอะๆ ส่งมอบมรดกศักดิ์สิทธิ์ให้สิถึงจะเป็นความเมตตาอย่างแท้จริงที่อาจารย์มีต่อศิษย์ ไข่มังกรประทีปใบเดียวจะบ่งบอกอันใดได้? ไม่แน่ว่าไข่มังกรประทีปใบนี้อาจเป็นสิ่งที่พระองค์เจ้าโยนให้เขา เพื่อไล่เขาไปให้พ้นหน้า ให้เขามีเรื่องทำจะได้สงบเสงี่ยม ไม่ก่อเรื่องขึ้นมาอีกก็ได้…”
….
อันที่จริงตี้เฮ่าไม่เข้าใจอยู่บ้าง ตนกำลังดูชาติก่อนของท่านแม่อยู่ชัดๆ แต่ท่านแม่ก็ดับขันธ์ไปแล้ว ตามหลักแล้วไม่น่าจะได้เห็นฉากต่อมาพวกนี้เลยสิ
กลับคาดไม่ถึงเลยว่าเขาจะได้รับชมทุกอย่าง ซ้ำยังได้เห็นอย่างถ่องแท้ยิ่ง!
ที่แท้วาจาก็สามารถทำร้ายคนได้ถึงขั้นไหน วันนี้ในที่สุดเขาก็ได้ประจักษ์แล้ว
ในยุคนี้ไม่มีไซเบอร์บูลลี แต่เหตุการณ์นี้ก็ไม่ต่างไปจากไซเบอร์บูลลีสักเท่าไหร่…
นิสัยของฟั่นเชียนซื่อเดิมทีก็สุดโต่งอยู่แล้ว อีกทั้งเนื่องจากไม่สมหวังในรักจึงค่อนข้างน้อยเนื้อต่ำใจในตนเอง ยามนี้เขาได้ฟังวาจาเหล่านี้ไปในใจจะรู้สึกเช่นใดกันเล่า?
เกรงว่าคงนึกสงสัยในสายใยศิษย์อาจารย์ที่กู้ซีจิ่วมีต่อเขาแล้ว และสงสัยว่ากู้ซีจิ่วจะดูแคลนเขาจริงๆ…
ตี้เฮ่ามองไปที่ประตูหยกอย่างเป็นกังวล เขาทราบว่าตี้ฝูอีที่อยู่ด้านในประตูหยกจับพลัดจับผลูฟื้นฟูพลังยุทธ์และฐานะของเจ้าแห่งลิขิตสวรรค์ได้แล้ว เดิมทีนี่เป็นเรื่องดี
แต่พอเขาออกมา ฟั่นเชียนซื่อได้รับรู้ว่าอาจารย์ดับสูญไปแล้ว อีกทั้งได้เห็นว่าพลังยุทธ์ของตี้ฝูอียกระดับขึ้นมากมายถึงเพียงนี้ คาดว่าต้องเกิดปัญหาแน่
————————————————————————————-
บทที่ 2952 เทวาดับสูญ 12
สำหรับเขาแล้ว นี่สิถึงจะเป็นการโจมตีที่ส่งผลถึงชีวิตที่สุด…
ความคิดของตี้เฮ่าเพิ่งจะแล่นมาถึงตรงนี้ ก็มองเห็นประตูหยกที่ปิดสนิทมาโดยตลอดในที่สุดก็เปิดออกแล้ว คนผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นมา อาภรณ์ม่วงพราวระยับ สวมหน้ากากภูตผี ถึงแม้จะมองไม่เห็นรูปโฉมดั้งเดิมของเขา แต่มองจากร่างแล้วเป็นตี้ฝูอีอย่างมิต้องสงสัยเลย
ถึงแม้ตัวคนจะยังเป็นคนผู้นั้นอยู่ แต่รัศมีอำนาจบนกายเปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์แล้ว!
ลึกลับ กล้าแกร่ง มีแสงรุ้งศักดิ์สิทธิ์ส่องระยิบระยับน้อยๆ อยู่รอบกายเขา ทันทีที่ยืนอยู่ตรงนั้น ราวกับได้ช่วงชิงแสงตะวันจันทรามาแล้ว
เขากลายเป็นเทพแล้ว!
ฝูงชนทึ่มทื่อ มีบางคนทนไม่ไหวถามออกมาประโยคหนึ่ง “เทพผู้สร้างโลก…พระองค์เจ้าเล่า?”
ไม่มีใครเห็นว่าสีหน้าของตี้ฝูอีที่อยู่เบื้องหลังหน้ากากเป็นเช่นใด ได้ยินเพียงน้ำเสียงเย็นกระจ่างเลื่อยลอยของเขาที่ราวกับแว่วอยู่ในฟ้าดิน “พระองค์เจ้าดับขันธ์แล้ว…”
ตี้เฮ่าที่อยู่ด้านนอกอดไม่ได้ที่จะกุมขมับ
สีหน้าของฟั่นเชียนซื่อที่อยู่ในฉากซีดขาวดุจคนตายไปทันที! ยืนตาค้างอยู่ตรงนั้นจะร้องก็ร้องไม่ออก
อูเชียนเหยียนหลั่งน้ำตาอาบหน้า แต่เมื่อเห็นฟั่นเชียนซื่อในสภาพนี้ก็ยังคงสะดุ้งโหยง นางทนไม่ไหวจึงเขย่าแขนของฟั่นเชียนซื่อ “นายน้อย ท่านร้องออกมาเถิด! ท่านร้องออกมาเถิดเจ้าค่ะ…”
ฟั่นเชียนซื่อไม่ได้ร้องไห้ เขาพลันเชิดหน้าหัวเราะเสียงดังก้อง! เสียงหัวเราะทลายศิลาทะลวงเมฆา สั่นสะเทือนขุนเขา
เขาไม่พูดอะไร แต่พุ่งเข้าไปด้านในประตูหยกเลย!
ฝูงชนหน้าเปลี่ยนสี
อูเชียนเหยียนหวีดร้อง “นายน้อย!” พลันทะยานกาย กระโจนเข้าไปในประตูหยกอย่างไม่คำนึงถึงสิ่งใดทั้งนั้น…
นางแตกต่างกับฟั่นเชียนซื่อ ฟั่นเชียนซื่อกระโจนเข้าไปได้ทั้งร่างแล้ว
แต่ร่างของอูเชียนเหยียนเพิ่งจะเข้าใกล้ประตูหยก ทั้งร่างก็ลุกไหม้ขึ้นมา ยังไม่ทันเข้าสู่ประตูหยก ก็มอดไหม้กลายเป็นเถ้าธุลีปลิวว่อนแล้ว
ถึงแม้ตี้ฝูอีจะกลายเป็นเทพแล้ว แต่ตัวเขาเองกลับดูมึนงงอยู่บ้าง เห็นได้ชัดว่าไม่ได้คาดการณ์เรื่องนี้ไว้ รอจนเขาคิดจะฉุดดึงคนทั้งสองออกมา ก็ไม่ทันกาลแล้ว
เขาตะลึงงันไปแวบหนึ่ง กำมือจนข้อนิ้วขาวโพลนแล้ว
ช่วยอูเชียนเหยียนไว้ไม่ได้แล้ว แต่ฟั่นเชียนซื่อน่าจะได้อยู่
เขาเป็นศิษย์เพียงคนเดียวของซีจิ่ว หากว่าเกิดเหตุขึ้นมาในยามนี้ เขาก็จะยิ่งผิดต่อนาง...
เขาหันหลังแล้วพุ่งทะยานกลับเข้าไปอีกครั้ง
และทันทีที่เขาเข้าไปได้ ประตูหยกที่เดิมทีสมควรจะเปิดอ้าต่อไปครึ่งชั่วยามก็ปิดลงเสียงดังตึง
ฝูงชนตกตะลึง…
ตี้เฮ่าก็ตะลึงเช่นกัน…
แดนต้องห้ามสำหรับทวยเทพหวนคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง ฝูงชนต่างเจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นอีกแล้ว
ทุกคนต่างค่อนข้างรู้สึกผิดกันเป็นธรรมดา เทพผู้สร้างโลกมีบุญคุณต่อหกภพภูมิ แต่นางเพิ่งจะดับขันธ์ไป พวกเขาก็บีบคั้นจนทำให้ศิษย์ของนางเป็นตายไม่แน่ชัด ส่วนสาวใช้ก็มอดไหม้เป็นเถ้าธุลีไปแล้ว
เสียใจ! ผู้คนที่เคยพูดจาโจมตีล้วนค่อนข้างสำนึกเสียใจแล้ว
แต่เรื่องเกิดขึ้นมาแล้ว ต่อให้สำนึกเสียใจไปก็ไม่มีประโยชน์ ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงรอคอยอยู่นอกประตูต่อไป
เพียงแต่ ทุกคนไม่มีความหวังแล้วว่าฟั่นเชียนซื่อจะสามารถรอดชีวิตออกมาได้ ถึงอย่างไรปีนั้นเขาเข้าไปเพียงครู่เดียวก็เกือบจะโดนไฟครอกจนเป็นตอตะโกแล้ว
ยามนี้ประตูปิดลงแล้ว เขาต้องอยู่ด้านในถึงหนึ่งเดือนเต็ม และจะรอดชีวิตได้อย่างไร?
ความจริงคือ พวกเขาล้วนเดาผิดกันหมด!
ผ่านไปครึ่งเดือนประตูหยกบานนั้นก็เปิดออกแล้ว ทันทีที่ประตูเปิดออก มีแสงทองพวยพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้า! กระจัดกระจายไปในอากาศ
และหลังจากแสงทองสลายไป คนทั้งหมดล้วนมีสีหน้าเลื่อนลอย เนื่องจากจู่ๆ พวกเขาก็พบว่าตนจดจำเรื่องราวเกี่ยวกับเทพผู้สร้างโลกไม่ได้แล้ว
เพียงมองเห็นว่ามีคนสองคนเดินเรียงกันออกมาจากประตูโดยหนึ่งนำหน้าหนึ่งตามหลัง
สองคนนี้ผู้หนึ่งสวมชุดดำดั่งรัตติกาล ผู้หนึ่งสวมชุดม่วงดุจแสงอรุโณทัย ล้วนสวมหน้ากากไว้บนหน้า บนร่างมีแสงศักดิ์สิทธิ์ครอบคลุม
ข้างกายชายชุดดำยังมีมังกรประทีปน้อยตัวหนึ่งบินร่อนวนเวียนไปมาอย่างกระฉับกระเฉงอยู่ด้วย
ทุกคนค่อนข้างงงงันกันไปชั่วขณะ ไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมตนมาอยู่ที่นี่
แต่เมื่อเห็นสองคนนี้ก้าวออกมา จู่ๆ ทุกคนก็คล้ายจะแจ่มแจ้งอันใดขึ้นมาในทันที