บทที่ 2953 เทวาดับสูญ 13
พากันก้าวเข้าไป คุกเข่าถวายความเคารพ “คารวะเทพผู้สร้างโลก! เจ้าแห่งลิขิตสวรรค์!”
….
“แค่ก! แค่กๆ!” ตี้เฮ่าพลันหายใจไม่ออก สำลักขึ้นมา
เสียงไอนี้ปลุกกู้ซีจิ่วที่หลับอยู่ด้านข้างให้ตื่นขึ้นมา เธอลืมตาขึ้น มือลูบลงบนหลังของตี้เฮ่าตามสัญชาตญาณ “ลูกรัก เป็นอะไรไป? นอนหลับก็สำลักได้หรือ?”
ไม่ง่ายเลยกว่าตี้เฮ่าจะกลับมาหายใจได้คล่องอีกครั้ง อารมณ์สารพัดหมุนวนอยู่ในใจเขา จึงมุดเข้าหาอ้อมอกของผู้เป็นมารดา รำพันประโยคหนึ่ง “ท่านแม่ ดีจริงๆ ที่ท่านมีชีวิตอยู่…”
กู้ซีจิ่วไม่เข้าใจอยู่บ้าง เธอหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ลูบหัวเขาเล็กน้อย “เจ้าคงมิได้ฝันว่าแม่ตายไปแล้วกระมัง?”
ตี้เฮ่าเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ท่านแม่จะมีชีวิตยาวนานยั่งยืน ท่านแม่ไม่มีทางตาย!”
“เจ้าตัวน้อยปากหวานจริงๆ” กู้ซีจิ่วยิ้มแล้ว เธอหาวคราหนึ่ง มองดูท้องฟ้าด้านนอก
ฟ้ายังไม่สว่าง กระดาษกรุหน้าต่างยังไม่มีแสงกระจ่างส่องลอดเข้ามา
“เอาล่ะ นอนต่ออีกสักงีบเถอะ” กู้ซีจิ่วตบร่างกายกระจ้อยร่อยของตี้เฮ่าเบาๆ แล้วหาวอีกครั้ง หลับตาลงไป
แปลกจัง เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเธอนอนไปไม่น้อยเลย แต่ยังคงง่วงงุนอยู่ ไม่กี่วันมานี้เธอมักจะค่อนข้างง่วงซึมอยู่ตลอดเลย
เธอหลับสนิทไปอย่างรวดเร็วยิ่งอีกครั้ง ตี้เฮ่าก็ง่วงแล้ว แต่ตอนนี้กลับนอนไม่หลับยิ่งกว่าเดิม
เขามองดวงหน้ายามหลับใหลของผู้เป็นมารดาค่อนข้างใจลอยอยู่บ้าง
ในชาติก่อนสายใยระหว่างศิษย์อาจารย์ที่ท่านแม่มีต่อฟั่นเชียนซื่อยังคงแน่นแฟ้นอยู่ ตอนนั้นก่อนนางจะดับขันธ์ไป น่าจะติดตั้งอะไรบางอย่างไว้ในแดนต้องห้ามของทวยเทพ ทำให้หลังจากที่ฟั่นเชียนซื่อบุกเข้าไปแล้ว ได้จับพลัดจับผลูบำเพ็ญสำเร็จผล กลายเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเทพผู้สร้างโลก
เรื่องราวเหล่านี้ที่ได้เห็นในตอนหลัง ฟั่นเชียนซื่อและตี้ฝูอีรวมถึงคนอื่นๆ ล้วนลืมเลือนเรื่องราวทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับพระองค์เจ้าซีจิ่วไปแล้ว
บางทีท่านแม่ในชาตินั้นอาจไม่อยากเห็นลูกศิษย์ของตนกับตี้ฝูอีหันมาห้ำหั่นแค้นเคืองกันเพราะมีสาเหตุมาจากตัวเองกระมัง? ดังนั้นจึงลบทุกสิ่งนั้นไปเสีย
แน่นอน ทุกอย่างนี้ล้วนเป็นการคาดเดาของตี้เฮ่า และไม่ได้ถูกต้องแม่นยำ
ดูเหมือนว่าแดนต้องห้ามของทวยเทพแห่งนั้นจะมีความลับบางอย่างอยู่ บางทีตนน่าจะไปตรวจดูที่นั่นสักหน่อย
แต่ว่า แดนต้องห้ามของทวยเทพแห่งนี้อยู่ที่ไหนกันล่ะ?
จากในฉากที่ได้เห็น ดูคล้ายสถานที่พำนักของเจ้าแห่งลิขิตสวรรค์ แต่รูปแบบของสิ่งปลูกสร้าง แผนผังดารา กลับไม่คล้ายสักเท่าไหร่ ด้านในยังคงมีจุดที่แตกต่างกันอยู่มากนัก
สถานที่พำนักของเจ้าแห่งลิขิตสวรรค์ตี้เฮ่ารู้จักดี แต่แดนต้องห้ามของทวยเทพแห่งนี้เขาคิดอยู่พักหนึ่ง ก็ไม่รู้สึกเลยว่าพอจะจับคู่กับที่ไหนได้บ้าง
เขาหลับตาลงนิดๆ ถอนหายใจเบาๆ หากว่าพลังยุทธ์ของตนเป็นเช่นกาลก่อน ไม่เชื่อหรอกว่าหากรื้อค้นทั้งหกภพภูมิแล้วจะยังหาที่นั่นไม่พบอีก แต่ตอนนี้…
มารดามันเถอะ สถานที่ในอดีตไม่รู้กี่หมื่นปีมาแล้ว ถ้าต้องการจะตามหา เกรงว่าคงยากเย็นกว่าปีนขึ้นสวรรค์อีกกระมัง?!
จะว่าไป ทำไมเนื้อหน้าส่วนหลังเหล่านั้นของฟั่นเชียนซื่อถึงปะปนเข้ามาได้เล่า?! แล้วเขาก็ไม่ได้ย้อนทวนอดีตของฟั่นเชียนซื่อด้วย ช่างน่าแปลกประหลาดโดยแท้…
ที่แน่ใจแล้วคือทางฟั่นเชียนซื่อก่อจากรักแล้วเกิดเป็นแค้น แต่ความทรงจำในส่วนนี้ของเขามิใช่ว่าถูกแสงทองของแดนต้องห้ามของทวยเทพลบล้างไปแล้วหรอกหรือ? ทำไมยังแค้นเคืองพวกตี้ฝูอีสามีภรรยาถึงเพียงนี้อยู่เล่า?
หรือว่าความทรงจำของเขาจะไม่ได้ถูกลบล้างไปอย่างสมบูรณ์?!
ดังนั้นถึงได้แอบชักใยวางอุบายมากมายขนาดนี้ ปักใจหมายจะเอาชีวิตของตี้ฝูอี อยากเข้าแทนที่…
จู่ๆ ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในสมองของตี้เฮ่าคงมิใช่ว่าฟั่นเชียนซื่อก็บังเอิญฝันเรื่องนี้อยู่พอดี เลยทำให้วิชาย้อนทวนปางบรรพ์ของตนเชื่อมโยงไปหาเข้าโดยมิได้ตั้งใจกระมัง?!
เขามองดูมือของตน วิชาย้อนทวนของตนร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
เช่นนั้นลองดูอีกทีดีไหมนะ?
….
ท้องนภาครามเข้มกระจ่างปานล้างน้ำ ดวงดาวนับไม่ถ้วนส่องแสงพร่างพราว
ฟั่นเชียนซื่อเหงื่อชุ่มศีรษะ พลันลืมตาขึ้นมาทันที เขาฝันร้ายถึงเรื่องนั้นอีกแล้ว!
ฝันร้ายนี้ตอแยเขามานานยิ่งนัก แถมยังเป็นรูปเป็นร่างขึ้นเรื่อยๆ…
————————————————————————————-
บทที่ 2954 เทวาดับสูญ 14
ฝันร้ายนี้ตอแยเขามานานยิ่งนัก แถมยังเป็นรูปเป็นร่างขึ้นเรื่อยๆ…โดยเฉพาะหลังจากได้พบกับกู้ซีจิ่ว ความฝันนี้ก็ยิ่งชัดเจนสมจริงราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้!
เขามองนภาดาราเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง เหยียดมือออกไปแล้วมองดู มุมปากผุดรอยยิ้มเยาะหยันจางๆ แวบหนึ่ง “คนโง่! ช่างโง่เง่าโดยแท้!”
เขาลุกขึ้นมาอย่างเอื่อยเฉื่อย เขาสะบัดเสื้อคลุมสีดำบนร่างที่ดูราวกับทองคำลงยาเบาๆ กวาดสายตาแวบหนึ่ง มองเห็นเงาร่างสีดำสายหนึ่งแอบมองอยู่ตรงมุมชายคาพอดี มันซ่อนร่างของตนดียิ่ง แทบจะกลืนไปกับเงามืดแล้ว แต่ตะเกียงน้อยดวงนั้นที่อยู่บนศีรษะของมันกลับเปิดโปงร่องรอยของมันออกมา
ใบหน้าหล่อเหลาของฟั่นเชียนซื่อครึ้มลง “เสี่ยวเฮย มานี่!”
เงาร่างสีดำเมื่อมนั้นพ่นลมหายใจคราหนึ่ง ในที่สุดก็เลื้อยเข้ามาอย่างไม่เต็มใจนัก เป็นเจ้ามังกรประทีปตัวนั้น
ยามนี้ขนาดตัวของมันอยู่ในอัตราหนึ่งส่วนร้อยของร่างจริง เสมือนงูใหญ่ตัวหนึ่ง เลื้อยวนรอบกายฟั่นเชียนซื่อรอบหนึ่ง จากนั้นก็เชิดหน้าสูง ตะเกียงดวงน้อยบนศีรษะแกว่งไกวไปมา ราวกับกำลังเอ่ยว่า ‘เรียกผู้เฒ่ามาทำไม? ผู้เฒ่ายุ่งมาก…’
ฟั่นเชียนซื่อยื่นมือไปคว้าตะเกียงบนศีรษะมัน มังกรประทีปพลันแข็งทื่อ หดกายถอยหลังไปตามสัญชาตญาณ
ฟั่นเชียนซื่อดึงตะเกียงของมันคราหนึ่ง แทบจะเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้ว “สารเลว! เจ้าฉวยโอกาสตอนข้าหลับทำให้ข้าฝันร้ายอีกแล้วสินะ!”
เขาแทบจะกระชากตะเกียงดวงน้อยของเจ้ามังกรประทีปลงมาแล้ว มังกรประทีปรีบยื่นอุ้งเท้าทั้งสี่เพื่อดึงออกมา ดึงไปดึงมาก็ยังดึงให้ขยับไม่ได้ กลับเป็นมันที่ถูกกระชากจนหัวเจ็บไปหมด มันก็โมโหแล้วเหมือนกัน จึงเชิดหน้าแล้วร้องฮี้ด้วยความโกรธเกรี้ยว…
ฟั่นเชียนซื่อเข้าใจภาษาของมัน เอ่ยเสียงเยียบเย็นว่า “เจ้าเป็นมังกรประทีปตัวหนึ่งแต่กลับไม่ทำตัวเยี่ยงมังกรกลับเรียนรู้ที่จะร้องเหมือนลา! เป็นลามานานจนหลงลืมไปแล้วกระมังว่าตนคือผู้ใด? ช่างเป็นตัวที่สุดแสนจะเข็นไม่ขึ้นโดยแท้!”
มังกรประทีปโมโหยิ่งกว่าเดิม แผดร้องใส่เขาอีกครั้ง ‘ยามผู้เฒ่าเยาว์วัยเจ้าโยนผู้เฒ่าเข้าไปในฝูงลา ทำให้ผู้เฒ่าจดจำว่าลาเป็นมารดาอยู่นานหลายปี! เจ้ายังจะกล่าวโทษที่ผู้เฒ่าร้องเสียงลาอยู่อีกหรือ?! อีกอย่างเจ้าก็ให้ผู้เฒ่าแสร้งทำตัวเป็นลาอยู่บ่อยครั้ง ยังบอกด้วยว่าผู้เฒ่าเล่นเป็นลาได้ดี ตอนนี้กลับมาเดียดฉันท์ผู้เฒ่างั้นรึ!’
ฟั่นเชียนซื่อมองมันอยู่ครู่หนึ่ง มันก็จ้องตอบอย่างไม่ยอมลดราวาศอกเช่นกัน!
ฟั่นเชียนซื่อนวดหว่างคิด ค่อนข้างจนปัญญายิ่ง “เจ้าเป็นมังกรประทีปแต่กลับมีนิสัยเยี่ยงลา”
มังกรประทีปพ่นลมออกจมูกคราหนึ่ง ร้องดังเฮอะ ‘ถ้าเจ้าถูกโยนทิ้งให้เติบโตขึ้นมาในฝูงหมาป่า เจ้าก็อาจจะมีนิสัยแบบหมาป่าเหมือนกัน’
แต่ไหนแต่ไรมาฟั่นเชียนซื่อยังไม่เคยเถียงชนะมันเลย เขาจึงคร้านจะเถียงกับมันแล้ว ออกคำสั่งทันที “ต่อไปห้ามใช้เวทวิชาห่วยๆ ของเจ้ามาทำให้ข้าฝันร้ายอีก! มิเช่นนั้นข้าจะถลกหนังลาของเจ้าออกมากวนเป็นกาวเสีย!”
มังกรประทีปแกว่งตะเกียงเหนือศีรษะ ชี้แจงแก่เขา ‘ความจริงแล้ว มิใช่ผู้เฒ่าที่ทำให้เจ้าฝันร้าย แต่เป็นเพราะเกล็ดของผู้เฒ่าสามารถกระตุ้นความหมกมุ่นยึดติดของผู้คนได้ ส่วนเจ้าก็หมกมุ่นอย่างลึกล้ำ ดังนั้นจึงได้รับผลกระทบอยู่บ่อยครั้ง ก่อตัวเป็นฝันร้าย…’
ฟั่นเชียนซื่อยิ้มเย็นแวบหนึ่ง “ความหมกมุ่นของเปิ่นจุนมิใช่นาง! ความหมกมุ่นของเปิ่นจุนคือต้องการเป็นอันดับหนึ่งของหกภพภูมิ!” จากนั้นก็ชะงักไปแวบหนึ่ง “วันหลังเจ้าอยู่ให้ห่างเปิ่นจุนหน่อย!”
มังกรประทีปโมโหแล้ว เจ้าคิดจะไล่ผู้เฒ่าไปอีกแล้วหรือ?!‘’
ฟั่นเชียนซื่อหลับตาลง “เจ้าไสหัวไปให้ไกลจากเปิ่นจุนซะ เปิ่นจุนเห็นเจ้าแล้วหงุดหงิด!”
เห็นได้ชัดว่าวาจานี้ทำร้ายจิตใจของมังกรประทีปยิ่ง มันหันหลังออกไป ‘ถ้าผู้เฒ่าหนีออกจากบ้านไป เจ้าอย่าเสียใจภายหลังก็แล้วกัน!’
ฟั่นเชียนซื่อไม่สนใจมัน
มังกรประทีปเลื้อยไปจนถึงริมตำหนักแล้ว เมื่อเห็นว่ากำลังจะออกจากสถานที่แห่งนี้ไปแล้ว ฟั่นเชียนซื่อก็ยังคงไม่มีทีท่าว่าจะยื้อมันไว้ เห็นได้ชัดว่ารำคาญมันแล้วจริงๆ
มังกรประทีปแกว่งตะเกียงเหนือศีรษะ จู่ๆ ก็เอ่ยออกมาประโยคหนึ่ง ‘อันที่จริง เมื่อครู่ที่เจ้าเกิดความฝันเช่นนี้ก็มิใช่เพราะผู้เฒ่าไปเสียทั้งหมดหรอก ผู้เฒ่าใช้วิชาเกินเหตุไป เลยทำให้ตี้เฮ่าได้เห็นส่วนหนึ่งในความฝันของเจ้าเข้า…’
….
————————————————————————————-